ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน นั่งสมาธิแล้วกลัวตายให้ทำอย่างไร?
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561
ดังตฤณ: นิยามตัวเองใหม่นะ
เป็นคนจิตใจปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ที่เดิมที ไม่มีใครคิดดีหรอก เชื่อเถอะ
เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสนะ บอกว่า จิตคน นี่ เหมือนกับ น้ำ
ที่มีธรรมชาติไหลลงต่ำ คือไม่ต้องไปทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ มันไหลลงต่ำได้เอง
เหมือนอย่างความคิดนี่ ที่คิดไม่ดีนะ มันไม่ใช่อยู่ๆ
มีตัวความคิดไม่ดีติดตั้งอยู่ในจิตของเรา แต่ว่าจิตของเรามีความมืด ได้มากกว่าความสว่าง มีความทุกข์
ได้มากกว่าความสุข มีความอยากอิจฉา ริษยา เปรียบเทียบ เทียบเขาเทียบเรา
มากกว่าที่จะเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ ว่าดีขึ้นหรือยัง
อาการของจิตเหล่านี้
มันปรุงแต่ง นึกออกไหม อย่างเวลาเราร้อนนี่ เรามักจะนึกอยากด่าคน
หรือว่าอยากสาปแช่งคนอยู่ในใจ แต่เวลาเราหนาวๆ เวลาเรารู้สึกเย็นๆ อากาศสบายๆ นี่
เราจะมีแก่ใจมองหาอะไรดีๆ ได้ จิตมันมีการปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลาด้วยสภาพแวดล้อม
หรือไม่ก็สภาวะของจิตเอง
ถ้าสภาวะของจิตมันกำลังวุ่นวาย
ฟุ้งซ่าน แล้วก็ชอบไปดูละคร ชอบไปดูอะไรที่ทำให้รบกวนจิตใจ
มันก็อยู่ในภาวะพร้อมที่จะคิดไม่ดีอยู่ตลอดเวลา อยู่ในภาวะ เหมือนกับยืนอยู่บนเวที
หรือว่ายืนอยู่ในป่ารกที่เต็มไปด้วยยุง เต็มไปด้วยอากาศที่อบอ้าว
หรือว่าเต็มไปด้วยสภาพที่เป็นพิษ เป็นมลพิษ เราพร้อมที่จะป่วยไข้
เราพร้อมที่จะรู้สึกตะครั่นตะครอ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อาการแบบนี้ของจิตนี่
ทำให้เราคิดไม่ดีอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะมองใครไม่ดีอยู่ทุกคน
อย่างเจอใครใหม่นี่
คิดแล้ว คนนี้นี่ สมมติว่าเป็นคนที่ทำงาน จะต้องติดต่อกัน เอ๊ะ เขาจะโกงหรือเปล่า
หน้าตาดีๆ เดี๋ยวนี้ หน้าตาดีๆมักจิตใจชั่วร้าย คดโกง ชอบเอาเปรียบ โน่น นี่ นั่น
คือเราเสพย์แต่ข่าว
หรือว่าเจอแต่ประสบการณ์ที่เหมือนกับ บีบ ให้เราคิดไปในทางนั้น
แล้วก็เกิดความเคยชินที่จะคิดกับทุกคนที่เจอหน้าใหม่ๆ
หรือแม้กระทั่งคนที่เราอยู่ด้วยมานาน บางทีก็คิดระแวง เพราะปัจจุบันนี่
มีสมบัติส่วนตัวเป็นมือถือกันนี่ จ้องแล้ว เอ๊ะ ก้มหน้ายิ้มๆ นี่ คุยกับใคร หรือ
เอ๊ะนี่ พิมพ์ พิมพ์จังเลย พิมพ์อยู่นั่นแหละไม่หยุดสักที แอบโฉบผ่านไป ดู
เอ๊ะนี่คุยเรื่องอะไรกับใคร อ้าว นี่คุยกับผู้ชายไม่เป็นไร อะไรแบบนี้นี่
มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แล้วการที่เรานี่ไม่มีช่วงเว้นวรรคเลย
ก็กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ทางความคิดลบ
ปฏิกิริยาลูกโซ่ทางความคิดลบมีความหมายยังไง
มีความหมายว่า พอความคิดไม่ดีกับคนๆหนึ่งเกิดขึ้น ทำให้จิตใจของเรานี่แย่
เต็มไปด้วยความระแวง เต็มไปด้วยความระวัง เต็มไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้นเก่าๆ
เต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนกับอยากจะเอาให้ได้แบบเขาบ้าง ขอลัดๆ ได้ไหม
วิธีไหนที่ได้เร็วๆ แบบเขา อยากได้แบบนั้น ความรู้สึกแย่ๆ ที่ตกค้างอยู่
ขยะทางอารมณ์ที่ไม่ไปไหน เหมือนกับขยี้ ขยำให้จิตเป็นก้อนๆ เป็นอะไรที่มั่วๆ
และความรู้สึกมั่วๆ เป็นก้อนๆ ร้อนๆ ตรงนั้นนี่ ก็ผลิตความคิดไม่ดี ระลอกต่อมา
ไม่ต้องเจอหน้าใคร คิดถึงหน้าคนเก่าๆ ที่เรารู้สึกเกลียดชัง
หรือเรารู้สึกระแวงอยู่
ฉะนั้น
ก็เกิดเป็นความคิดไม่ดีขึ้นมา แล้วความคิดไม่ดีนั้น ก็ไปทำให้อกุศลจิตยังคงอยู่
คือเลี้ยงอกุศลจิตไว้ ฉะนั้นไปเจอคนใหม่ ไปเจอคนต่อมา ก็คิดไม่ดีกับเขาอีก
นี่แหละปฏิกิริยาลูกโซ่ทางความคิดไม่ดีนะ เป็นแบบนี้ .. .คิดไม่ดี
แล้วเกิดอกุศลจิต อกุศลจิตทำให้เกิดความคิดไม่ดี ความคิดไม่ดี ทำให้เกิดอกุศลจิต
... อย่างนี้เรียกว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่ทางอกุศลธรรม
คิดไม่ดีแล้วก็เกิดอกุศลจิต อกุศลจิตก็ไปจุดชะนวนความคิดไม่ดีต่อไปเรื่อยๆ
ไม่รู้จบ
ถามว่าทำยังไง
นี่แหละ ตอนที่เราเริ่มต้นตั้งคำถามแบบนี้ เขาเรียกว่าเป็นศุภนิมิต ในโลกทางวิญญาณ
เขาถือว่าเป็นศุภนิมิตแล้ว ถ้าสมมติว่าเรามีเทวดาค่อยดูแลรักษาอยู่นี่
พอแค่เราตั้งคำถามนี้ ท่านเห็นแล้ว นี่ มีแสงสว่าง มีอะไรบางอย่างที่เป็นกุศลเกิดขึ้นมาในจิตของเราแล้ว
ทีนี้ทำยังไงให้ชะนวนที่เกิดขึ้นนี้ กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ทางกุศลจิตขึ้นมา
นั่นก็คือ เราเคยมองแง่ไม่ดีกับคนไว้ยังไง จำแง่ไม่ดีกับคนไว้ยังไง
ลองงัดเอาแง่ดีของเขาขึ้นมา ทันทีที่คิดไม่ดีเกี่ยวกับเขา
คนเรามีทั้งมืด
ทั้งสว่าง มีทั้งดี มีทั้งไม่ดี แล้วก็ความทรงจำของเราเกี่ยวกับตัวเขา
ก็ต้องมีทั้งดีและไม่ดีเหมือนกัน ทันทีที่แอบคิดไม่ดี จะอยู่หน้าเขา
หรือว่าลับหลังเขาก็ตาม บอกตัวเองว่า เรื่องไม่ดีของเขานี่ เป็นกรรมของเขา
ที่คิดไม่ดี นี่คือกรรมของเรา ถ้าหากว่าเราตั้งใจจะเปลี่ยนจากความคิดไม่ดีนี้
ให้กลายเป็นความคิดที่ดีขึ้น ชีวิตของเราก็จะพลิกจากลักษณะคว่ำ เป็นหงายขึ้นมา
เตือนตัวเองให้ได้แบบนี้บ่อยๆ นะ พอทันทีที่นึกเรื่องไม่ดีของใคร ง่ายๆ เลย
เอาเรื่องดีมาชน เอาของดีมาสู้ เหมือนกับให้มีสองคนอยู่ในตัวเรา
รู้แล้วรู้รอดไปเลย ฝ่ายหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาจะฉุดตัวเองลงต่ำ
อีกฝ่ายหนึ่งก็ตั้งอกตั้งใจที่จะฉุดตัวเองขึ้นสูงนะ
พอมีความเคยชินสักครั้ง
สองครั้ง ที่เวลาคิดไม่ดีกับใครแล้วนึกถึงแง่ดีของเขาขึ้นมาทันที ครั้งแรกๆ
เหมือนจะแพ้ เพราะว่าคนมักจะสู้ความเคยชินที่ผ่านๆ มาของตัวเองไม่ค่อยจะได้หรอก
แต่ถ้าหากว่าเรายังมีแก่ใจที่จะทำให้เกิดขึ้นครั้งที่สอง ครั้งที่สามไปเรื่อยๆ
ในที่สุด ปฏิกิริยาลูกโซ่ทางความคิดดี จะจุดติด จุดชะนวนติด สังเกตได้ว่า
ทันทีที่คิด ตั้งใจจะคิดไม่ดีกับใคร จะเอะใจขึ้นมา นี่อย่างนี้เกิดสติ เรียกว่า
รู้ตัวว่ากำลังคิดไม่ดี แล้วนึกทันทีถึงอะไรดีๆ เกี่ยวกับตัวคนๆ นั้น
ต่อให้เขาเคยทำให้เราเจ็บใจมาขนาดไหนก็ตาม อาจนึกแง่ดีว่า
เขาเป็นคนที่กตัญญูกับพ่อแม่เขา ดูเขารักลูกนะ หรือว่า นี่ท่าทางเขาถึงแม้จะโผงผาง
พูดจาจิกกัดให้เราเจ็บใจได้ง่ายๆ แต่ดูท่าทางจะซื่อสัตย์ดี ไม่คดโกง ไม่เจ้าเล่ห์อะไรแบบนี้
หาเรื่องดีๆ ที่จะเอามารีบสู้กัน หรือกลบทับความทรงจำที่เป็นลบชองเรานะ
ก็อาจไม่ได้ถึงขนาดว่า
เปลี่ยนจากเกลียดเป็นรัก หรือเปลี่ยนจากหมั่นไส้เป็นชื่นชม
แต่อย่างน้อยเปลี่ยนจากความมืดในใจของเราเองเป็นความสว่างขึ้นมาได้
แล้วถ้าสว่างบ่อยๆ เราจะติดใจรสชาติความสว่างนั้นมากขึ้นทุกทีนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น