ถาม : สวัสดีค่ะ เพิ่งมาครั้งแรกเหมือนกันนะคะ
เออ...แต่ก่อนนะคะ เวลาที่นั่งสมาธิก็จะนั่งแบบดูลมหายใจตัวเองคะ แล้วก็จะรู้สึกสงบ
แล้วก็นั่งได้อย่างสบายค่ะ
แต่ว่ามาพักหลังๆ จะรู้สึกอึดอัดมากเลย ทั้งอยากนั่งในสงบ
และอยากที่จะดูลมหายใจให้เห็นนะคะ
ยิ่งนั่งก็จะยิ่งอึดอัด ก็หายใจไม่ออก
จนต้องมาเปิดธรรมะฟังควบคู่กับการนั่งสมาธิไปด้วยค่ะ ต้องแก้ยังไงบ้างคะ
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/LYX9k499cIA
เสวนาดังตฤณวิสัชนา
๒๕๕๖ ครั้งที่ ๗
๙ กันยายน ๒๕๕๖
ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
คือไม่ใช่เริ่มต้นด้วยคำถามว่าจะแก้ยังไงถึงจะกลับไปนั่งสมาธิได้ดีเหมือนแต่ก่อนนะครับ น้องต้องเข้าใจอารมณ์ตัวเองนิดหนึ่ง
คือมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาง่ายอยู่แล้ว
มันพลิกจากสุขเป็นทุกข์
พลิกจากสบายใจอยู่ดีๆ ไปคิดมาก เรื่องไม่เป็นเรื่อง อะไรอย่างนี้
เพราะว่าคนรอบตัวเรา มันชวนคุยเรื่องแบบ ทำให้กังวลไปล่วงหน้าอะไรอย่างนี้
หรือไม่ก็ไปคิดเรื่องคนอื่น
บางทีใจเรามันมี 2 แบบ
บางทีเราก็เต็มใจคิดตามเขา พูดไหลไปตามเขา
แต่บางทีมันก็รู้สึก
มันไม่อยากไปเรื่องเล็กเรื่องน้อยอะไรอย่างนั้นอะไรอย่างนี้อะนะ คือมันมี 2 อารมณ์ 2 อารมณ์นี้มันขัดแย้งกันได้
แล้วสะสมเป็นความรู้สึกอึดอัดมากขึ้นได้
เข้าใจคำว่าเรื่องไม่เป็นเรื่องไหม บางที บางที เรารู้สึกเหมือนกับว่า
ไอ้นี่ไม่เห็นต้องคิด รู้สึกอยู่ในใจลึกๆ นะ ไม่เห็นต้องคิดก็ได้
แต่มันก็เก็บมาคิด นี่แค่นี่เป็นความขัดแย่งที่ก่อให้เกิดความอึดอัดได้ก่อนนั่งสมาธิแล้ว พูดง่ายๆ ก่อนนั่งสมาธิมันมีความอึดอัด
มันมีความเป๋ไปเป๋มาตามคลื่นรบกวนในสมองอยู่แล้วก่อนหน้า พอนั่งสมาธิเนี่ยเราก็ไปเห็นมัน ถึงไอ้ความขัดแย้ง
ถึงไอ้ลักษณะที่มันปั่นป่วนอยู่ข้างใน
มันไม่ใช่ว่าเรานั่งสมาธิถูกหรือผิด
ที่นี่เราต้องดูจิตที่มันดำเนินไประหว่างวันเนี่ย
เวลาเราใช้ชีวิตระหว่างวันเนี่ยนะ มันประมาณ 16
ชั่วโมงต่อวัน คนทั่วไป ถ้าหากว่าเรานั่งสมาธิแค่ครึ่งชั่วโมง แปลว่ามีเวลา 15
ชั่วโมงครึ่ง ที่เราไปทำอย่างอื่น หรือไปสะสมพฤติกรรมทางจิตในแบบอื่นที่ไม่ใช่นั่งสมาธิ
นี่ถ้าเราสำรวจ คืออย่างที่พี่เห็นเนี่ย
คือ คนรอบตัวเรา คุยกันแบบผู้หญิงนะ
ผู้ถาม : ใช่ค่ะ
ดังตฤณ:
มันผู้หญิ้งผู้หญิงนะ แล้วก็จะไม่นินทาคนโน้นคนนี้ก็นะ
จะแบบเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมาใส่หัว
ผู้ถาม : เม้าท์กันตลอดเวลาค่ะ
ดังตฤณ:
บางทีเราก็สนุกไปกะเขา บางทีเราก็รู้สึก
เอ๊ะมันพูดไปทำไมเนี่ย อะไรแบบนี้ วนไปวนมาอยู่นั่นแหละนะ แล้วก็
แต่เนื่องจากรู้สึกเซฟ (SAVE) ตรงนั้นไง
เรารู้สึกว่ามันเป็นเพื่อนนะ
นี่คบคนฉันท์ใดก็กลายเป็นคนฉันท์นั้นแหละ คือ
ผู้ถาม : บางทีอาชีพมันพาไปค่ะ
ดังตฤณ:
เข้าใจ เข้าใจ โอเค
ก็เห็นอยู่ว่าเนี่ยคนเพี่อนในอาชีพนั่นแหละ ประเด็นคือพอเราทำความเข้าใจเป็นภาพรวมอย่างนี้
มันก็จะเกิดมุมมองอีกมุมมองหนึ่งนะ จำได้ไหม เมื่อกี้ตั้งต้นขึ้นมาเราถามพี่ว่าจะทำยังไงให้กลับมาสงบในการนั่งสมาธิ
ตอนหลังๆนั่งแล้วอึดอัด ตอนหลังๆ นั่งแล้วรู้สึกปั่นป่วน ที่จริงที่พี่พูดก็คือว่า
มันไม่ได้ตอนหลังๆ มันหนัก ตอนหลังๆ
มันปั่นป่วน มันปั่นปวนอยู่แล้ว คือมารับคลื่นความปั่นป่วนมา 15 ชั่วโมงครึ่ง แล้วเสร็จแล้วเราจะมาใช้ครึ่งชั่วโมงเนี่ยเป็นตัวฟอกนะครับ
เป็นตัวทำความสะอาดชำระล้างอะไรให้เสร็จสิ้น แล้วก็คาดหวังว่าทุกอย่างจะดีภายในครึ่งชั่วโมงต่อหนึ่งวัน
เห็นไหมมันไม่สมเหตุสมผล น้ำหนักมันไม่ได้ เราเห็นภาพตรงนี้ชัดเจนแล้วเนี่ย ท่าทีต่อไปในระหว่างชีวิตประจำวันเนี่ย
เออ...มันจะปรับไปนิดหนึ่ง
โอเคเราไม่สามารถที่จะเลิกคบคนที่เป็นนกกระจิกนกกระจอกรอบตัวนะครับ
แต่เรามีวิธีใหม่ที่จะรับมือกับนกกระจิกนกกระจอกเหล่านั้น เราคือเราไม่ต้องไป ปริบ
ปริบ ปริบ ตามเขาก็ได้
คือบางทีเราให้สติเขาบ้าง
เรารู้สึกไหมบางทีเนี่ย
เราเห็นนะเนี่ยว่าเรื่องนี้ไม่ต้องพูดซ้ำก็ได้ แต่ที่ผ่านมาเราตามใจ เราปล่อยตาม
หรือไม่ก็เออออ อย่างมากก็ฉีกยิ้มรับนะว่า โอเคเข้าใจว่าเพื่อนเราเขาเป็นอย่างนั้น
ก็ต้องพูดอย่างนั้น
ที่ถ้าเราเปลี่ยนท่าทีใหม่
คือแค่คิดว่าเราจะให้สติเขาบ้าง เออ...ไอ้ตรงนี้พูดซ้ำแล้ว เราฉีกไปเรื่องอื่นบ้างก็ได้
หรือพูดเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงว่าเราจะพูดนะครับ พูดเรื่องสติ พูดเรื่องนะ
มันดูเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม
ผู้ถาม : บ้างทีหนูก็คล้อยตามเขาค่ะ
ดังตฤณ:
คือพูดเรื่องว่า
“เฮ้ย พูดอย่างเนี่ยฟุ้งซ่านวะ” อะไรแบบนี้ คือแกล้งพูดขึ้นมา
ไม่ต้องพูดเรื่องสมาธิก็ได้
เฮ้ย..ตอนนี้ไม่ไหวแล้ววะ มันมันปั่นปวนเหลือเกินอะไรอย่างนี้ เออ..อย่างน้อยมีการเบรค ด้วยท่าทีที่
เราเบรคคนอื่นด้วยท่าทีที่มันเฟรนด์ลี่ (Friendly)
นะ ไม่ใช่ท่าทีที่แบบ เฮ้ย...อย่าไปสอนเขา หรือว่าจะไป
เออ..นี่นี่ฉันไปนั่งสมาธิมาอย่ามารบกวนจิตใจฉันอะไรอย่างนี้
อย่าให้เขารู้สึกเป็นลบ นะ คือคือก็แค่ประมาณว่า ตอนนี้มันเปลี่ยนเรื่องดีกว่า
เออ...อย่างนี้ คือ มันมันเป็นไปได้ แล้วมันตรงกับใจเราลึกๆด้วย
บางคนที่เคยนั่งสมาธิเนี่ยนะ มันไม่ชอบหรอก
อะไรที่มันแบบหยุกหยิกหยุกหยิก อยู่แบบเหมือนกับนกกระจิกนกกระจอกมาพูดอยู่ในหัวเราเนี่ย เราจะเป็น พอมาเริ่มต้นเนี่ย โอเค
เราเราอย่างน้อยเรากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงนะ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงแบบหักหักดิบ
แต่ว่าค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป
ทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็ชวนคุย คือเตรียมท็อปปิค (Topic) ไว้เลย เนี่ยว่าถ้าเอาละนะเข้าเข้าขั้นนั้นขึ้นมาเนี่ยเราจะงัดท็อปปิค
(Topic) นี้มาใช้ เออ...นี่ถ้าเป็นได้อย่างนี้
สติมันจะเริ่มเริ่มได้จุดเริ่มต้น
แล้วก็ เออ...เวลาสวดมนต์
คืออย่าเป็นพวกอธิษฐานขอหรือว่าอย่าเป็นพวกคาดหวังอะไรจากการสวดมนต์
นะครับให้ ถ้าจะคาดหวังถ้าจะขอ
ขอเดี๋ยวนั้นเลยคือว่าสวดมนต์แล้วเนี่ยให้ใจของเรามีความสุขกับการสวด เปล่งเสียงไปแค่ไหนเราจะใช้แก้วเสียงนี่บูชาพระ
เราจะมีความสุขกับการใช้แก้วเสียงนี้บูชาพระ เอาแค่ความสุขตรงนั้น
ก็บางที มันเหมือนกับเหมือนกับในขณะสวดนะ เรายังคิดๆ
เรื่องอื่นอยู่ มันมันไม่มีความสุขอยู่กับการสวดจริงๆ คือคล้ายๆ
อยู่กับคลื่นความฟุ้งซ่านนะครับ
ในการสวดเราสวดเต็มๆเสียงไปเลย “อิติปิโส ภะคะวา
อะระหังสัมมาสัมพุทโธ” แล้วก็รู้สึกถึงความสุขที่ได้เปล่งเสียง
แล้วก็รู้ หยั่งรู้ว่าเนี่ยที่เราเปล่งเสียงเนี่ยเป็นการเปล่งเสียงบูชาพระรัตนตรัย
แล้วก็มีความสุข พยายามมีความสุขกับมัน
พยายามมีความสุขกับการเปล่งเสียง ไม่งั้นเนี่ยคลื่นความคิดจะพาเราไปเรื่อยนะครับ
สวดเสร็จบ้างทีก็อาจไม่ได้อธิษฐานอะไรทุกครั้ง หรือว่าตั้งความคาดหมายอะไร แต่มัน
เออ...ความคิดมันจะไม่อยู่กับบทสวดนะครับ
ก็อาจจะบางทีเนี่ย ประมาณว่าเรายังหวังโน้นหวังนี้จากการปฎิบัตินะ
แทนที่จะหวังที่จะได้ความสุขเดี๋ยวนั้นเลย หวังที่จะได้
เออ...เห็นความไม่เที่ยงของภาวะอย่างพี่สั่งสอนมาตั้งแต่ต้นเนี่ยตั้งแต่การไกด์เรื่องสมาธินะครับ ตรงนี้พอเราเข้าใจภาพรวม แล้วก็เอาไปลองทำดูใหม่ ทีละสเต็ป (Step) ทีละขั้นทีละตอนนะครับ
จากเรื่องพูดระหว่างวันนะครับ จนเรื่องการสวดมนต์เอาความสุขในการเปล่งเสียง
ตอนนี้เวลากลับมาทำสมาธิอีกครั้งหนึ่งเราจะรู้สึกว่า เออ....เป็นภาวะที่มันเป็นอุปสรรคมันหายไป
มันเหมือนกับมีความพร้อมที่จะนิ่งกลับมาใหม่นะครับ
ผู้ถาม :
แล้วปกติเวลาที่หนูนั่งสมาธิอะค่ะ หรือว่าแบบนั่งกับเพื่อนๆ
ก็จะเปิดธรรมะฟังกันไปด้วยอะคะ
แล้วเวลาที่นั่งสมาธิแล้วเสียงของพระเทศน์ก็จะเข้ามา แล้วหนูก็จะคิดตาม
พอคิดตามแล้วก็จะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบางทีพยักหน้าหรือว่าอมยิ้มไปกับเสียงที่พระเทศน์อะไรอย่างนี้
จนมารู้ตัวอีกทีก็คือพยักหน้าไปแล้วอะค่ะ อันนั้นคือการฟังธรรมเฉยๆ รึเปล่าคะ
ดังตฤณ:
เออ....ไม่จำเป็นต้องไปคาดคั้นตัวเองรู้ทุกกระดิ่งนะครับ เอาแค่ว่าเราพยักหน้าไปแล้ว
ก็รู้ว่าพยักหน้าแค่นั้นก็เรียกว่าสติแล้ว
หรือถ้าหากว่าเราจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอิริยาบทปัจจุบัน
แต่ว่ายังติดตามเนื้อหาธรรมะได้ต่อเนื่อง นี่ก็เรียกว่าสติเช่นกัน
แล้วก็เวลาที่เราจะ
เออ..นั่งสมาธิไปด้วยหรือว่าฟังเทศน์ไปด้วยเนี่ยนะ สิ่งที่มันควรเกิดขึ้น
คือสำรวจใจของตัวเองว่ามันมีอาการที่ไม่วอกแวกไม่ซัดส่ายรึเปล่า
ถ้าวอกแวกถ้าซัดส่ายเรายอมรับตามจริงไป แต่ถ้ามันมีความนิ่งมีความตั้งมั่นดี
เราก็รู้อยู่เห็นอยู่ว่าที่มันนิ่งมันตั้งมั่น
เพราะว่ามันโฟกัสอยู่กับบทเทศน์หรือว่าโฟกัสอยู่กับลมหายใจนะครับ อันนั้นแหละถึงเรียกว่าเป็นการรู้
แล้วก็ถ้าให้ดี
คือเราสังเกตไปด้วยนะครับว่าไอ้อาการทางใจนะเดี๋ยวมันก็สงบเดี๋ยวมันก็ฟุ้งซ่าน
เดี๋ยวมันก็ตั้งมั่นขึ้นมาชั่วขณะ เดี๋ยวมันวอกแวก เออ..เป๋ไปมันต่างกันยังไง
อาศัยลมหายใจในแต่ละครั้งๆ เป็นเครื่องวัดเป็นเครื่องสังเกตนะครับ
ผู้ถาม :
ขอบคุณค่ะ หนูอยากจะบอกพี่ว่าพี่เป็นไอดอลของหนูมากเลยค่ะ
เพราะพี่เป็นคนที่พาหนูเข้าสู่ประตูธรรมะเลยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ดังตฤณ:
ยินดีครับ