วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ตอนเริ่มนั่งสมาธิ ทำไมสังเกตหัวแล้วแต่ยังรู้สึกแน่นอยู่

ถาม : ตอนเริ่มนั่งสมาธิ ทำไมสังเกตหัวแล้วแต่ยังรู้สึกแน่นอยู่  

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/OZYJCHriTEk      

ดังตฤณวิสัชนา๒๕๕๖ ครั้งที่ ๕ การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส  
๖ กันยายน๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก  

ดังตฤณ:   
เพราะว่าคุณไม่ได้สังเกตที่เท้านะ มันเป็นการจ้องเข้าไปที่เท้า จ้องกับสังเกตเท้ากระทบเนี่ยมันคนละเรื่องกันเลยนะ เวลาที่ เรารู้สึกถึงกระทบ อ่าเนี่ยตอนเนี้ยคุณลองเคาะ เคาะ เคาะ หน้าตัก อันเนี้ยจ้อง เห็นไหมมันตั้งใจ มันตั้งใจเคาะ แต่ที่นี้ถ้าลองเคาะหน้าตักไป เคาะเล่นๆ แล้วรู้สึกถึงกระทบเฉยๆ เคาะเร็วเลย เร็วกว่านี้นิดนึง อันนี้ตั้งใจ เอ่อโอเค อย่งเนี้ย เห็นไหม ตอนเนี้ยที่รู้สึกถึงกระทบเนี่ยใจมันเบาเห็นไหม รู้สึกไหมใจเบากว่าเมื่อกี้ ตอนที่เราตั้งใจ ตั้งใจเอาจริงเอาจังกับการเคาะเนี่ยมันเป็นอีกแบบนึง แต่ตอนที่รู้สึกถึงกระทบเร็ว ๆ มันจะรู้สึกว่า ในหัวเราเบา ในใจเราเนี่ยมันคลาย สังเกตถึงข้อแตกต่างออกไหม ตอนเนี้ยมันจะแค่นิดเดียวนะ  

ลองไปสังเกตดู เวลาที่เรารู้เท้ากระทบจริงๆ น่ะ ถ้าเป็นแค่กระทบอย่างเดียวแล้วไม่จ้องเข้าไป ไม่นึกถึงเท้ามากเกินไป นะ แต่นึกถึงกระทบ ความรู้สึก ที่มันฟ้องตัวเองอยู่ ว่าความรู้สึกกระทบเป็นยังไงเนี่ย ใจเราจะเบา มันเบาทันทีที่รู้สึกถึงกระทบ แต่ถ้าหากว่า เอ่อ เรา ไปนึก ถึงรูปร่างของเท้า ไปนึกตั้งใจ ว่า เอ่อเนี่ย เท้าเรากำลังย่างซ้าย ย่างขวา ย่างซ้ายหรือย่างขวาอยู่ มันจะมีอาการเหมือนกับแน่น ๆ ขึ้นมา อันเนี้ยเรียกว่าเพ่งเกินไป เพ่งมากเกินไป อย่างตอนเนี้ยเพ่งมากเกินไป ตั้งใจมากเกินไป คือพอพยายาม ที่จะ รู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มากเกินกว่าที่จะจำเป็น มันจะมีอาการยึด มันจะมีอาการหน่วงขึ้นมา ตอนเนี้ยมันยังมีความกระวนกระวายอยู่ รู้สึกไหมมันมีความกระวนกระวาย มันจะมีอาการวิ่ง ๆ อยู่ อ่า ตัวเนี้ย แค่เรารับรู้ตามจริงว่ามันมีความกระวนกระวาย มันจะหายไปให้ดู  

แต่ถ้าหากว่าเนี่ยตอนเนี้ยมันยังอึ้งๆ อยู่นิดนึง จะรู้สึกอึ้ง ๆ ลองหายใจ หายใจสบาย ๆ หายใจเหมือนกับเราหายใจเป็นปกติ เราไม่ได้ตั้งใจที่จะดูลมหายใจนะ แต่แค่ มีการรับรู้ ว่าเนี่ยเราหายใจอยู่ เรามีอาการเหมือนกับยังคา ๆ หน่วง ๆ อยู่กลางอก แค่รับรู้ มันก็จะเหมือนกับภาวะที่มันกำลังปรากฏอยู่จริง ๆ ปรากฏให้เรา เห็นแบบง่ายๆ ไม่ได้ไปจับยึดอะไรแน่นหนา อย่างตอนนี้มันทื่อไปและ คือตอนที่รู้สึกทื่อเนี่ย มันจะมัว ๆ มันจะเหมือนไม่ตื่น มันจะเหมือนจม ๆ ลงไป เห็นความแตกต่างนะ เนี่ยลองไปสังเกต สังเกตเรื่อยๆ แล้วก็ ถ้าหากว่าสามารถสังเกต ไอ้การเคาะ ที่หน้าตักได้ มันก็จะสามารถไปสังเกตฝ่าเท้ากระทบได้เช่นกัน มันเป็นอันเดียวกันแบบเดียวกันนะ อันเนี้ยมันเริ่มตื่นขึ้นมา เห็นความเบาไหม รู้สึกถึงความเบา ขึ้นกว่าปกติไหม คือ มันจะไม่ยึด ไม่มีอาการเหนียว ๆ ไม่มีอาการแน่น ๆ  

ถาม : ก็ยัง งง ๆ อยู่ 
  
ดังตฤณ: 
แต่อย่างน้อยแยกได้นิดนึงใช่ไหมถึงความแตกต่าง นะ ว่า ตอนที่มันไม่ยึดมาก เราจะรู้สึกสบายขึ้น ความรู้สึกสบายขึ้นนั้นแหละคือเครื่องบอก ของคุณมันจะไม่สบายทั้งหมดทันทีหรอก เพราะว่ามันมีอาการจับแน่น มา ค่อนข้างนาน นะ ฝึกแบบยึดแน่นมาค่อนข้างนาน เหมือนกับบางทีเนี่ยเราสังเกตในระหว่างวันก็ได้ ในชีวิตประจำวัน บางที มีปัญหา สมมติว่าแก้ไขลุล่วงไปแล้ว คนอื่นเค้าดีใจกัน บางทีเรารู้สึกคาๆ อยู่ คือไม่ได้ดีใจสุด มันเหมือนมี เอ้ กังวลอะไรอยู่เล็ก ๆ ว่าจะเกิดขึ้นอีกต่อไปหรือเปล่า จะมีอะไรปัญหาแบบเดิมกลับมาไหม อะไรทำนองเนี้ย มันจะคล้าย ๆ กับเราเห็น เราเป็นคนที่มองเห็นปัญหาว่ามันมีสิทธิเกิดขึ้นยังไงบ้าง นะ แล้วก็ ใจเนี่ยมันจะจับยึดกับตัวความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น มากกว่าตรงที่เรา เอ่อ แก้ไขปัญหาลุล่วงไปแล้ว  

คือ นึกออกไหม คนปกติเนี่ย พอแก้ไขปัญหาลุล่วงไปเนี่ย มันจะสบายใจโล่งอก เฮ้ กัน ใช่ไหม แต่ของคุณเนี่ย มันจะมีคา ๆ อยู่ ลึก ๆ ว่า ต้นตอของปัญหามันยังอยู่หรือเปล่า มันจะไม่ดีใจไปสุด ๆ ถึงแม้ว่าเราจะมีส่วนในการที่จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ จะคล้าย ๆ มีความคาใจ พูดง่าย ๆ เป็นคนที่มีความคาใจ กับต้นเหตุ ของปัญหา อันนี้เหมือนกัน คือ ปฏิบัติไป แบบไหนก็แล้วแต่ มันจะมีความรู้สึกคาใจ ความคาใจมันเกิดจากอาการที่ใจของเรายึดแน่น เอ่อ ตอนเนี้ยค่อยดีขึ้น มันจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ซ้อมบ่อย ๆ นะ ใช้วิธีเคาะนิ้วอย่างเนี้ยแหละ แล้วรับรู้เฉพาะสิ่งที่มันฟ้องอยู่ปลายนิ้วกับต้นขาของเรา มันฟ้องความรู้สึกยังไงเราเอาแค่นั้น แล้วไม่ไปนึกจินตนาการมากไปกว่านั้น เนี่ยอย่างเนี้ย ตอนเนี้ยโอเค อย่างเนี้ย อยู่ในจุดที่เกือบสมดุลและ คำว่าสมดุลคือมันรู้ นะ และก็ไม่ได้เพ่งมากเกินไป  















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น