ถาม : เออ...เป็นคนที่นั่งสมาธิแล้วยอมรับว่าฟุ้งซ่านมาก
อาจจะด้วยภาระหน้าที่การงานซึ่งจะต้องคิดอะไรเตลิดเปิดเปลิงอยู่ตลอดเวลานะครับ แล้วก็ชอบนั่งสมาธิ
สวดมนต์ ไหว้พระ ธรรมะปฏิบัติธรรม ทำครบทุกอย่าง ก็..ก็ดีใจอย่างหนึ่งว่า
พอตั้งคำถามนั้น พอมาถึงพี่ตุลย์ เริ่มจากฝ่ามือ เออ..ฝ่าเท้า มือ หน้า เออ..
มันทำลายความฟุ้งซ่านของผมได้ มันทำลาย
ทำให้ผมยังมีเวลาพอที่จะกลับมานึกถึงอานาปาณสติ นึกถึงลมหายใจของผม เออ...พี่ไกด์มาว่า
มันยาวบ้าง สั้งบ้าง ไม่ต้องหายใจบ้าง เออ..มันได้ แต่พอมันมาถึงจุดหนึ่งมันเข้ามาถึงข้างในมันจะเกิดคือยอมรับว่า
วันนี้ที่มามันก็จะมีภาวะทางจิตใจที่มันมีความรู้สึกผิด รู้สึกไม่ดี
รู้สึกไม่อยากที่จะรับรู้อะไรหรือยอมรับอะไรมาติดตัวตั้งแต่มาถึง….
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/PrhDLjsHSp4
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๗
๙ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๗
๙ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก
ดังตฤณ:
อืม..มันๆเหมือนจิตเราจะรู้สึกคล้ายๆมีอะไรเปื้อนๆ
ถาม : ครับ
ดังตฤณ:
มีอะไรที่มันเหมือนกับไม่..ไม่สมบูรณ์แบบ
ไม่สะอาดเหมือนอย่างที่เรา เออ.. รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นอะไรอย่างเนี่ย
ถาม : อืม..มัน
ดังตฤณ:
คือไอ้ความรู้สึกผิดนี่นะหรือความรู้สึกแย่ๆอะไรก็แล้วแต่นี่นะ
มันเหมือนปฏิกูล มันเหมือนของปนเปื้อน
เออ..เพราะว่าใจเราถ้าอย่างจะรู้สึกดีกับตัวเองรู้สึกดีกับโลกเนี่ย
มันต้องเป็นความรู้สึกที่สะอาดนะครับ.
ถาม : ครับ..ก็เลยจะมา
ก็เลยอยากถามพี่ว่า เอ..แล้วผมจะจัดการกับก้อนนี้ยังไง เพราะว่าตอนแรกมาถึง
พอควบคุมตัวอยู่ เข้ามาลึกถึงในความคิด มันเหมือนอะไรสักอย่างที่แผ่อยู่เต็มหัว
ดังตฤณ:
ตรงนี่ไงที่..พี่ ที่พี่พูดเมื่อกี้เนี่ย
ว่ามันรู้สึกเหมือนมีอะไรเปื้อนๆอยู่ คือพอเรามีภาพทางใจที่ชัดเจน ว่าตอนเนี่ย
เราคล้ายๆเห็นอะไรที่มันไม่ค่อยสะอาดอยู่ คือไม่ใช่หมายความว่าสกปรก
เออ..แบบอกุศลอะไรแบบนั้นอะนะ แต่หมายความว่ามันไม่สะอาด
เหมือนอย่างที่เราคิดว่าที่มันน่าจะสะอาด
ตัวนี้จะเป็นภาพทางใจที่ชัดเจนว่าเราจะดูตรงไหน
คือถ้าไม่มีภาพทางใจที่ชัดเจนอยู่ข้างในเนี่ย บางทีเราไม่รู้ว่าจะดูด้วยความเป็นยังไง
เพราะลักษณะของอารมณ์หรือลักษณะของความปรุงแต่งทางจิตเนี่ย
มันค่อน..ค่อนข้างพิศดาร การที่เราแค่รู้สึกผิดหรือรู้สึกแย่ แต่..เออ..ไอ้ความรู้สึกตรงนั้นพอมันเปลี่ยนแปลงไป
เรา..เรามองไม่เห็นชัดเจนเนี่ย มันก็เหมือนกับไม่ได้ดูไม่ได้รู้
แต่ถ้าเราบอกกับตัวเองไว้เนี่ย มันคล้ายๆ กับขยะสกปรก อะไรที่แปดเปื้อนจิตเราอยู่
แล้วอะไรที่แปดเปื้อนนั้นมันหายไป เวลาที่มันหายไปเรารู้สึกสะอาดขึ้น มันจะได้เห็นความแตกต่างชัดเจน
เนี่ย..เหมือนอย่างตอนนี้ ทีพอมัน อ๋อ แล้วเออ..มันเคลียร์ ตัวนี้เคลียร์ออกไปเนี่ย
มันก็คือลักษณะความแตกต่างของจิตที่มันแสดงตัวให้เราดู นี่คือ..อย่างเมื่อกี้นี้
ตอนอย่างก่อนเข้ามา เรื่องของเรื่องเนี่ย คือเราไม่ได้รู้ แต่เราใจร้อนว่าอยากจะเห็นมันหายไป
ถาม : อยากรู้ว่ามันจะหายไปได้อย่างไรมากกว่า
ดังตฤณ:
นั่นแหละ..คืออยากจะให้มันหายไปดังใจ
ถาม : อยากรู้..พอมาถึงปุ๊บมันจะช่วยผมได้ไหม
ดังตฤณ:
ลักษณะที่คือเราไม่ได้มีอาการยอมรับไว้ก่อนว่าเนี่ยอาการแบบนี้มันกำลังปรากฏอยู่
มันมีความอยากรู้ อย่าง..ใช้..ใช้คำของน้องก็ได้ อยากรู้ว่าจะทำยังไง
ตัวอยากรู้ว่าจะทำยังไงมัน..มันไม่ยอมรับแล้ว มันไม่ยอมรับสภาวะตรงนั้นแล้ว
เข้าใจไหมมันรอไปข้างหน้า มันเล็งไปข้างหน้า มันไม่ได้ดูไปตรงนั้น ณ
จุดที่เกิดขึ้น ณ จุดเกิดเหตุ มัน..มันรอไปเอาคำตอบข้างหน้าแล้ว
หรือว่ารอไปพยายามกำจัดในเวลาต่อมาไม่ใช่ในเวลานั้น แต่ถ้าอย่างเราคุยกันอยู่ตอนนี้ ไอ้เนี่ยคือน้องดูในขณะที่มันกำลังปรากฏอยู่ตอนนี้เลย
เวลาที่เกิดการยอมรับ มันยอมรับเดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่รอไปที่อื่นอีก
ถาม : ครับ
ดังตฤณ:
มันก็มีอยู่แค่นี่ตรงเนี่ยว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็นขณะปัจจุบัน
บางทีเรารู้สึกแล้วว่าเนี่ยมันปรากฏอยู่ เราเห็นแต่ไม่ยอมรับ
คืออาการทางใจมันต่างกันเห็นปะ คือมันเห็นก็จริงแต่ไม่ยอมรับ
แล้วเราพยายามเออ...เนี่ยสักแต่รู้ แต่จิตจริงๆ คือคือคำสั่ง กับอาการของจิตจริงๆ มันแตกต่างกัน เราบอกตัวเองว่าเออเนี่ยเรารู้แล้วนะ
แต่มันไม่เห็นหายหรือว่าพยายามทำลายด้วยวิธีนั่งนึกอะไรก็แล้ว แต่..มันก็ไม่สำเร็จ
เนี่ยพี่ชี้แค่นั้นเองว่า ในอาการ ณ เวลานั้นนะ มันไม่มีอาการยอมรับ
พอมีอาการยอมรับ มันเบาทันที คือลักษณะของการยอมรับเนี่ย ขอให้มองไว้เลยว่า เป็นเครื่องหมายของสติ
เพราะคำว่าสติเนี่ยหมายถึงความสามารถที่จะระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจบัน
ตัวเนี่ยเรียกว่าสติ แต่คนเนี่ยไม่มีสติมีแต่ความอยาก
จะให้เป็นอย่างนั้นจะให้เป็นอย่างนี้
หรือไม่ให้เป็นอย่างนั้นหรือไม่ให้เป็นอย่างนี้ เข้าใจพ้อยส์นะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น