วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วิธีถอนจากนิสัยทางใจ ที่ชอบบงการ


รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/f5HdHEuDIUk    (7:51) ดังตฤณวิสัชนา๒๕๕๖ ครั้งที่ ๗ การเจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฆราวาส ๙ กันยายน๒๕๕๖ ที่ณัฐชญาคลินิก  ถาม : เคยถามพี่ตุลย์ทางเฟสบุ๊คที่พี่ตุลย์แนะนำให้ไปดูลมหายใจค่ะ ก็ไปดูบ้างค่ะ แต่ดูแล้วรู้สึกว่า บางทีก็เหมือนไปจ้อง ไปควบคุม อะไรทำนองนี้ค่ะ 

ดังตฤณ:   
ใช่ เพราะเราเป็นอย่างนั้น คือโดยนิสัยทางใจของเราเนี่ย มันชอบบงการ บางทีเนี่ย พอบงการแล้วไม่ได้อย่างใจ มันจะเกิดโทสะ ค่อนข้างเป็นคนเกิดโทสะแรงเมื่อไม่ได้อย่างใจ คือ แค่คิด แล้วอยากให้ใครเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ แล้วไม่เป็นเนี่ย เอาละ มันมีอาการของขึ้นขึ้นมา  

การนั่งสมาธิก็เช่นกันนะ พอเราดูลมหายใจ คือ เรายังไม่ทันเห็นลมใจเลย เราก็ไม่พอใจแล้ว ทำไมเราต้องมาดู ทำไมต้องมีภาระอย่างนี้ อยู่ดีๆ คือ เราจะมาลดภาระแท้ๆ เราจะมาทางนี้เพื่อให้มีความสุขมากขึ้น จะให้โกรธน้อยลง ขึ้นมาลมหายใจแรก เอาเลย โกรธ..โกรธแล้วคนสั่งเนี่ย มาสั่งให้เราต้องไปทำอะไรเพิ่ม งานหนักใช่ไหม ขึ้นต้นมาเนี่ย ก็ฤกษ์ไม่ดีแล้ว  

ตอนที่เราสามารถยิ้มได้ อย่างนี้ รู้สึกว่าจิตใจมันผ่อนคลายได้ ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นที่ถูกต้อง ใจมันผ่อนคลาย แล้วค่อยถามตัวเองว่า นี่คือหายใจเข้าหรือหายใจออก  คือไม่ใช่ภาระ หายใจเข้า หายใจออก คือสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่ “การรู้” เราต้องเพิ่มเข้ามา เพื่อที่จะฝึกให้ใจมันเลิกหรือถอนออกมาจากอาการบงการเสียบ้าง  

คือ ที่ผ่านมาตลอด เราจะรู้ตัวเอง ว่าเป็นคนชอบบงการ พอไม่ได้อย่างใจ เรารู้สึกว่ามันมีความร้อนรุ่ม ดังนั้น ถ้าเราเห็นว่าลมหายใจมันเข้าออกอยู่ตลอด แล้วเราไม่ได้บงการลมหายใจ เราไม่ได้สั่ง ไม่ได้บังคับ ให้ตัวเองต้องไปรู้อยู่เรื่อยๆ เอาแค่ว่า เราสังเกตเห็นเป็นขณะๆ ว่า เราหายใจด้วยอาการเป็นอิสระ แล้วก็ สามารถที่จะรับรู้ได้อย่างไม่ต้องบังคับใจตัวเอง ตรงนี้ มันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของสติที่ถูกต้องในตัวเราแล้ว  

ที่ผ่านมาที่เราบอกทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเราทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าเราไม่เข้าใจอาการของใจตัวเองอย่างนี้ คือ พี่เข้าใจนะ ว่ามันไม่ได้ตั้งใจอะไรทั้งนั้น ว่าทำไมพี่ต้องมาบอก อย่างนั้น อย่างนี้ หรืออะไร คือมันไม่ใช่เจตนา แต่มันคิดขึ้นมาเอง เหมือนความเคยชินที่จะอยากเป็นอิสระ อยากเป็นตัวของตัวเอง และถ้าเป็นไปได้ อยากจะบงการคนอื่น ไม่ใช่ให้คนอื่นมาบงการตัวเอง มันเหมือนกับอย่างนี้ เราฝึกดูลมหายใจเพื่อที่จะเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง ว่าเราต้องมาถูกบังคับ ควบคุม หรือว่าถูกโยนภาระให้ เราจะไม่ชอบมากๆ เวลาที่ใครมาโยนภาระให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เราต้องไปเป็นลูกน้อง และต้องทำตามคำสั่ง มันจะโกรธอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่บางที เขาไม่ได้สั่งอะไรเกินหน้าที่เรานะ แต่เรารู้สึก..โดนสั่งอีกแล้ว เนี่ย ความเป็นเจ้าใหญ่นายโต มันได้รับการฝังแน่นมา ไม่รู้มาจากไหน เอ้า..โอเค ไม่ต้องไประลึกชาติก็ได้ แต่ว่ารู้ก็แล้วกัน ยอมรับก็แล้วกัน ว่ามันมีอยู่ในใจเราจริงๆ  

คราวนี้ การที่เราจะค่อยๆถอดถอน เห็นไหมนี่ ตอนนี้ จิตมันคนละเรื่องกันเลยนะ ตอนที่มันเริ่มยอมรับ ตอนที่มันเห็นเข้ามา โดยที่ไม่มีตัวโทสะมากั้น มันมีอยู่แค่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้มีใครมาบงการ ไม่ได้มีใครมาบังคับ แล้วพอเราเริ่มที่จะเห็นโดยไม่มีความหงุดหงิด โดยไม่มีความรู้สึกอึดอัด เวลาที่ความหงุดหงิดหรือความอึดอัดแบบเก่าๆ กลับเข้ามาอีก เราก็จะเห็นได้ง่าย ด้วยใจที่กำลังเบาอยู่อย่างนี้ ถ้ามันหนักขึ้นมา เราก็เห็นได้ทันที ด้วยใจที่กำลังเย็นอยู่อย่างนี้ เมื่อใจร้อนขึ้นมา เราสามารถเปรียบเทียบได้ทันที ถูกไหม  

เวลาที่เราเกิดความไม่พอใจ เวลาถูกใครสั่ง ตอนที่เราคิดว่า เราไม่ใช่ทาสนะ เราไม่ใช่ข้าทาสนะ ตรงนี้ ลองนึกในใจดูนะ ว่าเราไม่ชอบอย่างไร เราจะไม่ทำกับคนอื่นอย่างนั้น ด้วยความคิด ด้วยความตั้งใจอย่างนี้ มันเปลี่ยนเส้นทางกรรมของเราได้เลยนะ เพราะของเก่าของเรา ไปบังคับคนอื่นไว้มาก มากกว่าที่เราเข้าใจ คือ ตอนนี้ เราก็ยังติดนิสัยอย่างนั้นอยู่ แต่มันจะแผ่วลงไปหน่อย คือ จะมีความรู้จักคิดว่า เราอย่าไปทำเขาเลยนะ แต่ก็ยังมีติดอยู่ในใจแหละ  

ทีนี้ ต่อไป ถ้าหากว่า เราเกิดความไม่พอใจเวลาถูกสั่ง แล้วเราตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ไปบังคับจิตใจใครเขา ให้มาอยู่ใต้อำนาจของเรา ใต้บงการของเรา โดยไม่สมเหตุสมผล มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง ว่ามันเป็นอิสระขึ้นมาจริงๆ เนี่ย..อย่างดูตอนที่ฟังพี่พูดไป ถ้าใจเราปรับตามไปด้วย มันจะรู้สึกเป็นอิสระขึ้นมา มันเป็นอิสระจากกรงขังที่เราสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ กรรมที่เราเคยไปบงการคนอื่นไว้ พอเราตั้งใจว่า เราจะไม่เอาอย่างนั้นอีกแล้ว ความไม่สมเหตุสมผลอะไรต่างๆ มันเหมือนมันจะหลุดออกจากต้นขั้วของกรง มันเปิดกรงที่ตัวประตูที่มันล็อคเอาไว้ ที่ไขด้วยกุญแจดอกนี้ ถ้าไม่งั้น เราก็จะรู้สึกแย่อยู่ร่ำไป  

อย่างตอนนี้ ถ้าเราลองไปถูกใครเขาสั่งใหม่นะ เราจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์เหมือนแต่ก่อน ด้วยจิตแบบนี้นะ ด้วยจิตแบบในขณะนี้ เราจะรู้สึกว่า เออ..มันก็แค่ตามหน้าที่ ไปครั้งหนึ่ง หรือเกิดความรู้สึกว่า มันก็ถูกแล้วที่จะต้องเป็นอย่างนี้ แต่ที่ผ่านมา มันไม่ใช่ เพราะเรายังติดอยู่ในกรงของตัวเอง เวลาที่เราทำสมาธิ เราก็เริ่มต้นจากจุดนี้เหมือนกันนะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น