วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2564

ชอบคิดไม่ดีคิดต่ำๆกับพระ มันติดอยู่ที่ใจ จะทำอย่างไรเมื่อความคิดเลวเข้ามาสู่ใจเรา

 ดังตฤณ : ก็คิดว่า ไอ้ความคิดเลวๆเนี่ย มันมาตอนที่เราไม่ได้ตั้งใจให้มันมา เพราะฉะนั้นความคิดเลวๆนั้นไม่ใช่ความคิดของเรา มันเป็นความคิดที่เกิดจากการปรุงแต่ง

จิตของคนยุคเรามันเต็มไปด้วยความโกลาหล มันถูกรบกวนด้วยเรื่องไม่ดีต่างๆนาๆมากมาย อย่างบางทีเรานึกว่ากำลังทำเรื่องเล่นๆอยู่ ดูหนังดูละครมันเป็นเรื่องที่ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร แต่หารู้ไม่ เรื่องบางเรื่องมันอัดฉีดนรกเข้าสู่หัวเราโดยตรง บางทีมันมาในรูปของความจำ บางทีมันมาในรูปของความคิดไม่ดีเวลามองสิ่งดีๆ

อะไรต่างๆที่มันเข้าสู่หัวเราโดยที่ไม่ใช่ความยินยอมพร้อมใจของเรา มันไม่ใช่กรรมของเรา

อันนี้ต้องท่องให้ขึ้นใจนะครับ ระลึกให้ได้ว่า กรรมของเราคือเจตนายึดเอาความคิดแบบใดแบบหนึ่งด้วยความเต็มใจพร้อมใจสมยอมว่า อันนี้แหละคือความคิดของฉัน ฉันจะคิดอย่างนี้ ฉันพอใจคิดอย่างนี้ เนี่ยอันนี้คือกรรมของเรา เป็นมโนกรรม เราพูดไปด้วยความเต็มใจ ถ้าเราลงมือทำไปด้วยความเต็มใจด้วยอีก นั่นยิ่งเป็นกรรมที่ชัดเจน ทำทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม

แต่ถ้าหากว่ามันผุดขึ้นมาในหัวเฉยๆ แล้วเราไม่มีความยินยอมพร้อมใจ อันนั้นไม่ใช่กรรมของเราแล้ว มันเป็นนรกที่ถูกอัดฉีดเข้ามาในหัวเราโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้มาจากไหน หรือบางทีมันก็เป็นผลของกรรมเก่าๆของเรานั่นแหละ ที่เคยไปคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีเอาไว้ แล้วมันย้อนกลับเข้ามาสู่สมองของเราอีกนะครับ

แต่ถ้า ณ ขณะนั้นเราไม่ได้เต็มใจ ก็ไม่เป็นไร มันไม่ได้เป็นบาปเป็นกรรม ณ ขณะนั้น พิสูจน์ได้ยืนยันกับตัวเองได้ให้สบายใจ 

อย่างสมมติว่าคิดไม่ดีกับพระ หรือว่าคิดอะไรหยาบๆคายๆกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอยู่คนเดียวให้พนมมือไหว้ขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย เนี่ยคือใจจริงของผม เนี่ยคือใจจริงของดิฉัน คืออยากกราบไหว้ อยากที่จะเคารพบูชา ไม่ได้อยากที่จะลบหลู่อย่างที่มันเกิดขึ้นทางความคิด ตรงนี้เราก็จะได้เห็นว่า กรรมของเราที่แท้จริงคือการกราบไหว้ คือการนบนอบบูชา คือการที่มีใจอ่อนให้ความเคารพ เราก็สบายใจแล้ว นี่คือกรรมที่แท้จริง เป็นบุญไม่ใช่เป็นบาป

แล้วพอเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราจะเข้าใจคำว่า อนัตตา ชัดเจน เวลามันเข้ามาในหัว มันเข้ามาเองโดยที่เราไม่ต้องเชื้อเชิญ แต่เวลาที่มันจะออกไป มันก็ไม่ได้ออกไปได้ด้วยการขับไล่ไสส่งเช่นกัน

คุณไประบุไม่ได้ว่า สิบโมงเช้าจงเข้ามาในหัวเรา สิบโมงห้านาทีจงออกไปจากหัว แบบนั้นไม่ได้ เพราะมันเป็นอนัตตา มันอยากจะเข้ามาเมื่อไหร่ มันมีรอบของมัน คิดเสียว่ามันเป็นกระสุนที่ยิงเข้ามาให้กระทบใจเราให้เกิดความเจ็บปวด เจ็บแสบเจ็บร้อน ปวดแสบปวดร้อน
แล้วปืนอยู่ที่ไหน ปืนใหญ่มันก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ อันเป็นกิเลสดิบที่ยังมีอยู่กับทุกตัวคน 

ถ้าหากว่ายังมี ราคะ โทสะ ปนอยู่ด้วยกันเนี่ย มันจะเกิดไอ้ความคิดพิเรนทร์สัปดน หรือว่าอะไรที่มันน่ารังเกียจขึ้นมาได้เสมอ เนี่ยตัวนี้มันยังมีปืนใหญ่อยู่ เราก็ยอมรับไป เออ มันมีปืนใหญ่ แล้วมันถึงรอบมันขึ้นมา มันก็ยิงใส่เรา แต่ไม่ใช่เราเป็นคนยิง กรรมของเรามันอยู่ตรงนี้แหละนะครับ เราเป็นคนยิงหรือเปล่า เพราะเราไม่ใช่คนตั้งใจยิง ไม่ใช่คนกดปุ่ม มันก็ไม่ใช่กรรมของเรา

แต่ถ้ามันยิงขึ้นมาเองตามรอบตามเวลาของมัน เราก็จะได้รู้ว่า เออ เรายังมีสิ่งที่มันพร้อมจะทำร้ายจิตใจของตัวเองได้อย่างสาหัสสากรรจ์ แล้วพอเราสำรวจว่ากิจกรรมอะไรบ้างระหว่างวัน ที่ทำให้ใจของเราเข้าไปเอาปืนพวกนี้มาจ่อหน้าประตูจิตใจของเรา เราก็จะได้ห่างๆออกมา ไม่เอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วมาก

อย่างคุยกับคนบางคนเนี่ยนะ คือคุยเป็นชั่วโมงชั่วโมงเนี่ย ไม่พูดเรื่องอื่น พูดเรื่องใต้สะดืออย่างเดียว คนพวกนี้นี่แหละ ที่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ในหัวของเราเต็มไปด้วยคำหยาบๆคายๆ หยาบโลนอะไรแบบนี้ มันมีให้พิจารณาเยอะ อะไรที่ทำให้ของหยาบโลน หรือว่าของร้ายๆ คำร้ายๆเข้าสู่หัวเรา นั่นน่ะหมดเลย เป็นปัจจัยเป็นเหตุ ไม่ต้องไปสนใจนะว่าจะเป็นใคร เกี่ยวข้องกับเรายังไง แต่นั่นแหละคือเหตุ คือต้นเหตุให้เรามีกระสุนปืนที่จะยิงตัวเองไม่หยุดนะครับ

-------------------------------------------

๙ มกราคม ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน อยากได้ดีทั้งทางโลกและทางธรรม

คำถาม : มีความรู้สึกคิดไม่ดีกับพระ เห็นพระแล้วคิดเลวคิดต่ำๆติดอยู่ที่ใจ กลัวบาป ขอขมากำหนดกลัวตกนรก จะกราบพระก็มีจิตคิดอีกแล้ว ภาวนาทำอย่างไรดี จะบาปไหม เราต้องคิดอย่างไรเมื่อความคิดเลวเข้าสู่ใจเรา?

ระยะเวลาคลิป    ๖.๐๔  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=nvkUUUt6qZg&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=9

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น