ดังตฤณ : ไม่นะครับ ไม่เกี่ยวนะ ความกลัวผีก็ส่วนหนึ่ง ความกลัวตายก็อีกส่วนหนึ่ง
การที่จะคุ้นเคยกับความตายในแบบพุทธจริงๆ ไม่ใช่การนึกถึงความตายของคนอื่น ไม่ใช่นึกถึงการเห็นผีแล้วไม่กลัว แต่เป็นการเห็นกายนี้อย่างแจ่มชัด จะอยู่ในท่านั่งก็ดี ในท่านอนก็ดี
เคยมีคำสอนของครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่า นั่งก็ตาย ยืนก็ตาย เดินก็ตาย นอนก็ตาย หมายความว่า เราเห็นสภาพกายนี้อยู่ในสถานะเดียวกับศพ คือรู้จริงๆไม่ใช่ไปสมมติเอานะว่านี่คือศพ
ในแบบที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านจะสอนให้รู้ลมหายใจให้ได้ก่อนนะครับ เสร็จแล้วก็รู้ว่ากำลังหายใจอยู่ในท่านั่ง ท่านอน ท่าเดิน ท่ายืน พอมีความรู้กายอันเกิดจากการเหนี่ยวนำของลมหายใจแล้ว มันจะเหมือนกับทุกอิริยาบถมีความเบาใจ แล้วความเบาใจนี่แหละ จะทำให้เห็นกายปรากฏประดุจแก้วใสๆ เบาๆ ตอนแรกเนี่ยมันน่าดูนะ แต่พอส่งจิตเข้าไปรู้ว่าสภาพที่แท้จริงที่มันแออัดยัดทะนานอยู่ในร่างกายนี้มันเต็มไปด้วย ตับ ไต ไส้ พุง มันเต็มไปด้วยของโสโครก เต็มไปด้วยปฏิกูลไม่น่ารัก เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น เต็มไปด้วยสภาพที่อุจาดตา ตัวนี้มันถึงจะเริ่มเข้าสู่ประตูแห่งการรู้ว่ากายนี้เป็นเพื่อนกับผี กายนี้เป็นเหมือนกับระเบิดเวลาในตัวเองที่จะแตกดับ ที่พร้อมจะระเบิด ที่สำนวนพระพุทธเจ้าคือ กายแตก
แล้วพอจิตมีความหยั่งรู้เข้ามาในธรรมชาติของกายว่า ในที่สุดมันต้อง .. มันเกิดขึ้นมาจากสภาพตัวอ่อน โตขึ้นมาแล้วก็ต้องแก่หง่อมลงไป แล้วก็แตกกระจัดกระจายไป เห็นอย่างชัดเจน คือเห็นด้วยความรู้สึกแบบนี้เลยนะ เนี่ยนั่งอยู่ด้วยความรู้สึกแบบนี้ มันจะมีสติรู้ขึ้นมาแบบหนึ่งว่า กายนี้เดี๋ยวมันต้องหายไปในเวลาไม่นาน มันจะมีสภาพเสื่อมไปเป็นธรรมดา
แล้วถ้าอยู่ในสมาธิจริงๆก็จะเห็นเป็นนิมิตแสดงความเน่าเปื่อยผุพัง แบบที่ครูบาอาจารย์พระป่าชอบพูดกัน ตรงที่ท่านพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แล้วรวมลงเป็นสภาพกายนี้ เป็นนิมิตกายที่เน่าเปื่อยผุพังให้ดู
แล้วจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้สักแต่เห็นนิมิต ก็ตรงที่เวลาเราหายใจอย่างรู้ว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถไหนนะครับ นั่งหายใจอยู่ หรือว่ายืน เดิน หายใจอยู่ แล้วปรากฏว่าความรู้สึกเกี่ยวกับกายนี้เนี่ย มันรู้สึกเหมือนกับเป็นซากศพที่จะตั้งอยู่ได้อีกแป๊บเดียว คือคำว่าแป๊บเดียวเนี่ยนะ ในการรับรู้ของคนธรรมดาทั่วไปมันหมายถึง สองสามวินาที แต่แป๊บเดียวในจิตที่ใหญ่เป็นสมาธิ มันจะมีความรู้สึกครอบความปรากฏเป็นแบบนี้ของกายว่า ไม่เกินร้อยปีมันแป๊บเดียว มันเดี๋ยวเดียว มันรู้สึกด้วยจิตที่เป็นสมาธิ แล้วเห็นความจริงเกี่ยวกับกายว่า มันเกิดแล้วต้องดับเหมือนกับฟองน้ำที่พระพุทธเจ้าเคยอุปมาไว้บอกว่า ร่างกายไม่ต่างจากฟองน้ำที่ผุดฟองขึ้นมาแล้วมันก็ต้องแตกโพละไป เป็นอย่างนั้นจริงๆ เห็นอย่างนั้นจริงๆ
แล้วถ้าเห็นถึงขนาดนั้นได้ถึงจะเรียกว่า เป็นการรู้จักความตายอย่างแท้จริง คือมันเห็นเข้ามาที่สภาพอันเป็นธรรมชาติทางกายนี้เลย ไม่ใช่แค่นิมิตชั่วคราว หรือไม่ใช่ว่าอารมณ์ชั่ววูบว่ากลัวหรือไม่กลัวนะครับ
พอเราเห็นความตายของกายได้เป็นปกติ
เห็นนิมิตเกิดดับได้เป็นปกติ มันจะไม่มีความอาลัยไยดีในสภาพร่างกาย
เหมือนอย่างที่ผมมักจะบอกว่า เวลาที่เราไปบริจาคเลือด หรือว่าอุทิศอวัยวะให้เป็นครูใหญ่กับนักศึกษาต่อไป
ลักษณะที่เป็นอวัยวะทานแบบนั้นเนี่ยมันเกื้อกูลนะ
มันช่วยให้เวลามาพิจารณากายแล้วเนี่ย รู้สึกว่าสามารถให้จิตเนี่ยสลัดอุปาทาน หรือว่าความยึดมั่นถือมั่นในกายได้ง่ายๆนะครับ
อันนั้นก็เป็นส่วนของเรื่องของการบริจาคทานที่จะมามีผลกับการเจริญปัญญานะครับ
ไม่ใช่ว่าทานอยู่ส่วนทาน ปัญญาอยู่ส่วนปัญญา
จริงๆแล้วมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหมดนะครับ
----------------------------------------
๑๖
มกราคม ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน อย่าขับไล่ความมืดด้วยความมืด
คำถาม : ในฝันเรารู้ว่าเราเจอผีแต่เราไม่รู้สึกกลัว อาจจะมีตกใจในช่วงเเรกที่รู้แต่ก็ผ่านไป แสดงว่าเราเริ่มคุ้นชินกับการตายไหม?
ระยะเวลาคลิป ๖.๐๒ นาที
รับชมทางยูทูบ
https://www.youtube.com/watch?v=Km-ThaX_p1I&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=18
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น