ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนวันเสาร์ สามทุ่มนะครับ
หัวข้อคืนนี้ คือ อย่าขับไล่ความมืดด้วยความมืด
ฟังดูเหมือนเป็นคอมมอนเซนส์ (Common
Sense) เหมือนทุกคนจะรู้อยู่แล้ว แต่ในทางปฏิบัติปรากฏว่า คนในยุคเราขับไล่ความมืดกันด้วยความมืด
แล้วก็ชักชวนให้ทำตามๆ กัน โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
จิตมืดเป็นอย่างไร? เวลาจิตมืดจะคิดไม่ออก มีความรู้สึกว่า ทางมันตัน
โลกมันตัน
ส่วนตอนที่จิตสว่าง จิตดีๆ ..หัวจะแล่น
ทางจะโล่ง เหมือนกับโลกนี้โล่งไปทั้งใบ ..นี่ คือ ความต่าง
พูดเรื่อง จิตมืด จิตสว่าง
บางทีคนไปนึกถึงความสว่างแบบแสงไฟนีออน หรือแสงอาทิตย์ ซึ่งถ้าปฏิบัติไปจริงๆ ทำสมาธิได้ถึงระดับหนึ่ง
ก็จะเป็นอย่างนั้น
แต่ประสบการณ์จิตสว่างของคนทั่วไปๆ
ไม่ได้ขนาดนั้น เอาแค่ว่ารู้สึกใจเบา มีความสุข อยากยิ้ม รู้สึกถึงพลังใจที่จะทำอะไรดีๆ
ให้แก่โลกใบนี้ อยากจะเผื่อแผ่ความสุขที่มีอยู่
คือ ถ้าคนเรามีความสุขมากๆ
อยากจะเผื่อแผ่ให้คนอื่น เป็นความสุขชนิดไม่เห็นแก่ตัว
ชนิดที่รู้สึกถึงความรักออกมาจากข้างใน ลักษณะธรรมชาติของจิต จะแผ่ออก
การที่จิตแผ่ออกนั่นเอง จะไม่คิดเรื่องเปรียบเทียบ
ว่าจะได้เปรียบ เสียเปรียบอะไร จะมีแต่ความรู้สึกอยากเจือจาน
มีความเป็นกุศลนั่นเอง ลักษณะของความสว่างเป็นแบบนั้น รู้สึกโล่ง รู้สึกแผ่ออกไป อาการที่จิตแผ่ออกไป
ก็คือ ความรู้สึกโล่ง ..รสชาติของความปลอดโปร่งนั่นเอง
ความปลอดโปร่งไม่ได้มีแต่สภาพพื้นที่ ที่ว่างๆ
บนโลกใบนี้ แต่มีสภาพของจิตใจที่มีพื้นที่กว้างขวาง ขยายขอบเขตออกไปแบบไม่มีประมาณได้ด้วย
ในขณะที่จิตแคบ จิตมืด
จะเป็นลักษณะของจิตที่กระจุกตัว อัดเข้ามา รู้สึกอึดอัด รู้สึกว่ามุมมองของเรา สามารถเห็นอะไรได้ในช่วงแค่สั้นๆ
เหมือนกับคนสายตาสั้น จิตจะเห็นสั้นๆ มีความรู้สึกว่าออกไปไหนไม่ได้ ถูกครอบไว้
ถูกปิดไว้
หลายคนบอกว่า เมื่อพูดถึงจิตมืด จิตสว่าง
นึกไม่ออกว่า จิตมืดเป็นอย่างไร จิตสว่างเป็นอย่างไร
บางคน จิตสว่างตลอดเวลา แต่ก็ไม่รู้ตัวว่า
นั่นเรียกว่าจิตสว่าง ขณะที่บางคน จิตมืดคับแคบตลอดเวลา ก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่า
นั่นเรียกว่าจิตมืด
จนกว่าจะได้เปรียบเทียบอย่างชัดเจน ในเวลาไล่เลี่ยกันช่วง
2-3 ลมหายใจ หรือชั่วอึดใจเดียวว่า “พลิก”
จากจิตที่กำลังโกรธแค้น
กำลังคิดอยากฆ่าฟัน กำลังคิดอยากด่าทอ มีความอึดอัดคับแคบอยู่ แล้วมีอะไรสักอย่างหนึ่งมาไขก๊อก เปิดจุกออก ให้ลักษณะของจิตแผ่ออก
สู่ความโล่ง ความกว้าง ความสว่าง ถึงจะเริ่มเข้าใจว่า จิตมืดหน้าตาเป็นอย่างนี้ จะตันๆ
จุกๆ อยู่ ส่วนจิตสว่าง จะโล่งออกไป มีความสบาย มีความรู้สึกที่ดี
มีความรู้สึกยิ้มออก และอยากแจกยิ้มให้กับคนทั้งโลก
ซึ่งหากต่อยอดความสว่าง ไปจนถึงจุดที่จิตเกิดสมาธิ
มีความนิ่ง มีความตั้งมั่นเป็นฌานได้ มีความสว่างต่อเนื่องได้ นั่นก็น่าจะเห็นจิตอีกแบบหนึ่ง
ออกมาจากภายในชัดๆ จะเห็นลักษณะจิตของตัวเองจากข้างในเลยว่า ความเต็มดวงมีความเต็ม
และลักษณะแผ่กว้างไพศาลเหมือนพระอาทิตย์ได้จริงๆ
แต่จิตคนธรรมดาที่ยังฟุ้งๆ อยู่ จะมีอาการกระจัดกระจาย
แส่ส่าย แม้จะมีความสว่าง มีความโล่งได้แป๊บเดียว ก็จะกลับเข้ามาสู่ความฟุ้งซ่าน
มีอาการวกวน ไม่รู้จะคิดอะไรดี คิดส่งเดช สุ่มไปสุ่มมา ..แบบนี้
เวลาพูดเรื่องจิตสว่าง จึงยังไม่สามารถเห็นภาพได้อย่างแจ่มแจ้ง
และจะทำความเข้าใจเปรียบเทียบกับคำที่ว่า
"ขับไล่ความมืด ด้วยความสว่าง" โดยเล็งเข้ามาที่จิตได้ยาก
เพราะยังมีจิตที่ดีไม่พอ จะรู้สึกว่าควรหวงไว้ ควรรักษาไว้ ควรจะสร้างให้มันยิ่งๆ
ขึ้นไป ไม่รู้จะเอาจิตสว่างไว้กับตัวทำไม?
ในเมื่อมันไม่สนุก
เพราะจิตมืดนี่แหละ ที่นำอะไรสนุกๆ มาเยอะ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนยุคเราที่มองออกข้างนอก
มองเรื่องชีวิตที่สว่าง คือ ชีวิตที่มีความมั่งคั่งทางการเงิน ทางหน้าตา
ฐานะทางสังคม ไม่มีการสอนตั้งแต่อยู่ในชั้นเรียน ในโรงเรียน ว่าเวลาเรามองเรื่องความมืดความสว่าง
ถ้าน้อมมาที่จิต เห็นว่าจิตแบบไหนที่มืด จิตแบบไหนที่สว่าง ก็จะมีความรับรู้ ตรงตามจริงทางธรรมชาติ
เหมือนกับที่เราเห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไหร่ .. พอกลางคืนก็สลายตัวไปเมื่อนั้น
คนยุคเรา (หรือยุคไหนๆ ก็ตาม) พอจิตมืดแล้ว จะไม่คิดขับไล่ด้วยจิตที่สว่าง
แต่จะระดมความคิดร้ายๆ หรือไปลากจูงเอาอกุศลธรรมเข้ามาใส่ตัว คือ
สังเกตว่าเมื่อเรารู้สึกอับจนหนทาง มักจะมีอาการคิดโทษโลก บุคคล สถานการณ์ หรือโทษโน่นนี่ต่างๆ
ที่ไปปรุงแต่ง หรือผลิตความคิดแย่ๆ คำด่าร้ายๆ ออกมา แล้วหมกจมอยู่อย่างนั้น
แล้วมีความรู้สึกขึ้นมาว่า สมควรแล้วที่ตัวเราจะนั่งเจ่าจุกอยู่
และคิดด่าโลก หรือคิดโทษโน่นโทษนี่ จะมีความรู้สึกจริงๆ ว่า ก็เป็นอย่างนั้น
จะไม่ให้ด่าได้อย่างไร เป็นความผิดของคนอื่น เป็นความผิดของนู่นนี่นั่น
เรื่องความผิดของโลก เรื่องความร้ายกาจของโลก แม้มีอยู่จริง
แต่ประเด็นคือ ทำไมเราต้องร้ายเพิ่ม ด้วยการทำจิตให้แย่แบบเดียวกับโลก
ทำไมไม่คิดว่า จิตของเราก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งของโลก
ถ้าหากจิตสว่างขึ้นมาดวงหนึ่ง อะไรที่ร้ายๆ ในชีวิตเรา อย่างน้อยก็ยังเหลืออะไรดีๆ
อยู่บ้าง!
พอคิดว่า (ปัญหา) เป็นอะไรที่เราแก้ไม่ได้
เป็นปัญหาที่อับจน และคนอื่นเป็นคนทำ หรือโลกนี้กำลังบีบให้มนุษย์ตาย ทั้งอากาศ
โรคระบาด เศรษฐกิจ ดินฟ้าอากาศ ฯลฯ เลยกลายเป็นว่า โลกที่ร้ายอยู่แล้ว มันร้ายจริงๆ
.. เพราะไม่เหลือแม้กระทั่งใจดีๆ ของเรา ที่จะมาเป็นแสงสว่างให้กับโลกบ้างเลย
คนทั่วไป พอจิตมืดและขนเอาความคิดอันเป็นอกุศล
ความคิดแย่ๆ มามากๆ เข้า ที่สุดแล้ว จะรู้สึกว่าจิตถูกบีบ และจิตที่ถูกบีบนี่แหละ จะเป็นทางมาของความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ พอคนเรามีอาการน้อยเนื้อต่ำใจยืดเยื้อไปสักพักหนึ่ง
จะมีอาการดิ่ง คือ เป็นฝั่งตรงข้ามกับการทำสมาธิที่มีคุณภาพ
ถ้าเราจับลมหายใจ บริกรรมพุทโธ
หรือสวดมนต์อะไรต่างๆ พอนานๆ ไป จิตจะดิ่งลงสู่สภาพรวม ผนึกรวม มีความตั้งมั่น
มั่นคงเป็นปึกแผ่น แผ่กว้างออกเป็นสมาธิ เรียกว่าเป็นด้านของจิตสว่าง
แต่จิตมืด ถ้าถึงขั้นน้อยใจ
แล้วดิ่งลงเข้าจุดที่จิตรวมลงสู่หลุมดำ จะมีความรู้สึกว่า ไม่มีทางออกจริงๆ ติดตันอยู่ในหลุมดำ
คิดอย่างเดียวว่าอยากตายๆ ไปให้พ้น หรือบางคน อาจอยากเผาโลกให้มอดไหม้เป็นจุล
มีอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่ทำร้ายตัวเอง ก็ทำร้ายคนอื่น ไม่เผาตัวเอง ก็เผาโลก
นี่คือ จุดตั้งต้นของจิตมืด ที่ลงเอยเป็นจิตมืด
"เอาความมืดมาไล่ความมืด" คือ นึกว่าด่าโลกแล้ว โลกจะดีขึ้น สำคัญผิดอย่างนี้
เวลาที่(ถูก)โมหะครอบ เวลาที่จิตมืดจริงๆ จะเข้าใจว่า เวลานั่งซึมเศร้าเจ่าจุก จะมีคนมาเห็นใจ
เทวดาจะสงสาร หรือถ้าตัวเองออกอาละวาด ฟาดงวงฟาดงา
ด่าด้วยความคิดที่คิดว่าฉลาดที่สุด โดยเฉพาะคนในสมัยนี้ ที่คิดว่า ด่าให้แรงๆ
ด่าให้ร้ายๆ เดี๋ยวโลกจะดีขึ้น
มีไอดอลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด
บางคนด่าแล้วได้ดี ด่าแล้วรวย ฯลฯ อันที่จริง มีเบื้องหลังเบื้องลึกเกี่ยวกับเรื่องจิต
คือ จิตเขาไม่ได้ด่าจริง หรือมีคาริสมาบางอย่างที่ตรึงใจคนได้ แล้วเวลาด่า ก็ไม่ได้มาจากจิตที่ประทุษร้าย
ร้ายกาจ แต่มาจากจิตที่ด่าเอามัน แต่คนไปจำว่า ถ้าด่าแล้วจะได้ดี
แล้วเลียนแบบด้วยการใช้โทสะ ด้วยจิตที่มืด ในหลุมดำของตัวเอง ไปด่าเลียนแบบเขาบ้าง
ผลคือ มีแต่ความวิบัติทั้งทางจิตและทางชีวิต คือ ไม่ได้รวยแบบเขา แต่ยิ่งจนลงๆ
จิตมืด จริงๆ คือ วิธีคิด วิธีใช้อารมณ์
วิธีปล่อยให้อกุศลธรรมครอบงำเราอยู่ โดยไม่มีสติอยู่เลย ไม่มีความตั้งใจดีๆ
จะให้อะไรกับใครเลย ไม่มีความตั้งใจดีๆ ที่จะเอาตัวเองออกจากหลุมดำเลย
ไม่คิดว่าจะหาทางออกจากก้นถ้ำ ไม่อยากออกมาเจอแสงสว่างนอกถ้ำ
ส่วนคนที่เขาด่าแล้วได้ดี อย่างน้อย ก็ยังมีการให้สติคนอื่นบ้าง
มีกลเม็ดลูกไม้ที่จะทำให้คนอื่นขำบ้าง แต่คนที่เอาตามอย่าง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ เข้าใจแต่ตรงที่ว่า ถ้าด่าแล้วจะได้ดี นั่นคือ
การเอาความมืดไปเสริมความมืดเดิม ให้หนักเข้าไปอีก
===============
เรามาเอาแบบไม่เสี่ยงกันดีกว่า เพราะถึงแม้จะด่าไปแล้วจะดีไปด้วย
แต่ก็ครึ่งดีครึ่งร้าย เวลารับผล ก็ครึ่งดีครึ่งร้ายอยู่เหมือนกัน
เรามาดูวิธี "ขับไล่ความมืดแบบพุทธ"
เอาความสว่างมาขับไล่ความมืดแบบพุทธ
คนที่กำลังมีจิตมืดอยู่จริงๆ จะนึกอะไรไม่ออก
จะฟังอะไรเยอะแยะ รายละเอียด ข้อปฏิบัติ 1 2 3 จะจำไม่ได้ ไม่สามารถทำได้จริง
แต่ถ้าง่ายๆ แบบที่สืบๆ กัน
เห็นพระพุทธรูปองค์ไหน แล้วเกิดความเลื่อมใส ก็กราบพระพุทธรูปองค์นั้น ..จะเป็นพระพุทธชินราช
พระพุทธรูปที่บ้าน หรือเห็นทางอินเตอร์เน็ต ถ้าพบว่าเป็นพระ ที่ยังใจของเราให้เกิดความใสสว่าง
เลื่อมใส มีความรู้สึกสบายเบา รู้สึกเหมือนได้รับพลังอะไร
เรียกว่าใจคุณคลิกกับตรงนั้น
อาจขยายรูปพิมพ์ออกมา ถ้ามีกำลังทรัพย์ ก็ไปเดินดูตามร้านสังฆภัณฑ์
หรือร้านที่ให้เช่าพระพุทธรูป มาประดิษฐานที่บ้าน คุณก็สามารถได้รับต้นแหล่งความสว่างแบบง่ายๆ คือ ตัวสว่างไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูปนะครับ
แต่อยู่ที่ใจของคุณ ที่เอาตาไปมองพระพุทธรูป แล้วใจรู้สึกดีขึ้น
ถ้าใจรู้สึกดีขึ้นได้ง่ายๆ
จากการมองพระพุทธรูป แล้วก็ยกมือไหว้ ด้วยอาการของใจที่อ่อนน้อม ..อาการของใจที่อ่อนน้อมนี้
จะเกิดความรู้สึกเปิดรับพลังความสว่างเข้ามาได้ แค่นี้ก็ถือว่า เป็นแม่บทของการขับไล่ความมืดด้วยความสว่างแล้ว
ไม่ใช่ขับไล่ความมืดด้วยความมืด
ที่คนเรากราบพระ แล้วไม่รู้สึกว่าสว่าง
ไม่รู้สึกดี ก็เพราะไม่ได้กราบด้วยจิต คือกราบด้วยมืออย่างเดียว ซึ่งไม่พอ!
คุณสังเกตเข้ามาที่ใจ
เราต้องพูดกันตรงไปตรงมานะครับ ใจของเรา มีปฏิกิริยาต่อพระพุทธรูปแตกต่างกัน
สำหรับบางคนเห็นพระพุทธรูปเก่าๆ แล้วเกิดความรู้สึกเลื่อมใส บอกไม่ถูก
อธิบายไม่ได้ ก็ไม่ต้องอธิบาย เอาเป็นว่ารู้สึกดีสำหรับคุณ รู้สึกคลิกสำหรับคุณ
ก็พอแล้ว
สำหรับบางคน ต้องเป็นพระพุทธรูปแบบโอ่อ่าอลังการ
ต้องตกแต่งอย่างดี มีความงดงาม มีความอ่อนช้อย
ส่องให้เห็นถึงจิตใจของปฏิมากรผู้ประดิษฐ์ ที่พยายามทำให้พระพุทธรูปเกิดความงดงาม
อย่างนี้ถึงจะโดนใจใครบางคนได้ ก็ไม่ต้องว่ากัน ไม่ต้องบอกว่าใครถูกใครผิด
เอาเป็นว่าถ้าคุณคลิกได้
แล้วเกิดความรู้สึกว่า สามารถพร้อมรับพลัง มีความเปิดใจได้ นั่นคือ
ที่เหมาะที่จะเป็นที่ตั้งของใจ ที่คิด “กราบด้วยใจ” ไม่ใช่แค่กราบด้วยมือ
องค์พระที่กราบเป็นประจำ
ผมว่าคนนับพันไม่เคยทดลอง ไม่เคยมีประสบการณ์ ที่จะได้รู้ว่า
เราได้ประจุพลังแห่งความสว่างของเรา เข้าไปสู่องค์พระไว้มากมายเพียงไหน มีความหมายมากนะครับ
ทดลองดูได้เลย
พระที่กราบเป็นประจำ จะมีพลังสว่าง ขณะที่เอามาวางเทิดไว้บนศีรษะ
คุณจะเกิดความรู้สึกเหมือนเย็นวาบสว่าง เพราะอะไร? เพราะดึงเอาภาคความสว่างของคุณกลับมา
โดยอาการแบบนั้น และองค์พระที่ประจุความสว่างของคุณไว้เอง
ก็จะเตือนให้นึกได้ถึงกุศลธรรมเก่าๆ หรือ สภาพดีสภาพใจที่สว่างใสของคุณเอง
พูดง่ายๆ ว่าไปปลุกเอาภาคของความเป็นเทวดาในตัวเอง
หรือขุดเอาหลุมขาว ที่ถูกหลุมดำทับอยู่ ให้โผล่พ้นหลุมดำขึ้นมา คุณจะเกิดความรู้สึกว่า
ความสว่างนั้นปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกิดกำลังใจขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน!
แต่มีข้อแม้ว่า ตอนที่คุณกราบพระองค์นั้น
คุณต้องกราบด้วยใจ และทำมานาน จนกระทั่งเป็นพระประจำใจโดยไม่รู้ตัว คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวหรอกว่า
กราบพระองค์ไหนเป็นประจำ พระองค์นั้นจะปรากฏเป็นนิมิต เหมือนเกราะแก้วคุ้มภัยคุ้มครองตัวคุณอยู่
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน หากใจมีความนอบน้อมเคารพสักการะสิ่งใด
สิ่งนั้นก็จะเหมือนเข้ามาประดิษฐานในใจคุณ ราวกับว่าใจของคุณเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียเอง!
นี่เป็นเรื่องพลัง เป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ ธรรมดาสามัญ แต่ไม่มีใครสังเกต ไม่มีใครรู้จนกว่าจะได้ทดลอง
คุณทดลองดูนะครับ แล้วจะเข้าใจจริงๆ
..พระองค์ใดที่คุณกราบประจำ
เอามาเทิดหัว ตอนสบายใจก็ได้ จะยิ่งสบายใจขึ้น ยิ่งมีความรู้สึกสว่าง
ยิ่งมีความรู้สึกว่ามีพลังอะไรบางอย่าง ที่อยู่เหนือชีวิตคุณ
เหมือนคุณเอาพลังนั้นไปฝากธนาคาร
คุณไม่ต้องเป็นเกจิ
คุณไม่ต้องเป็นพระที่ทรงอภิญญา คุณก็สามารถประจุพลังเข้าองค์พระได้ พลังที่เป็นกุศล พลังที่มีความวิเศษ มีความศักดิ์สิทธิ์
มีความยิ่งใหญ่ มีความสว่างพอ ที่จะยังจิตของคุณให้รู้สึกได้ สัมผัสได้
แต่มีเงื่อนไข คือ ที่พูดไปทั้งหมด
เราพูดกันเรื่อง ความสว่างในองค์พระ ที่เกิดจากการกราบไหว้ด้วยความเคารพศรัทธา
บางคนอาจตั้งคำถามว่า พระที่กราบอยู่เป็นประจำ
อุตส่าห์รู้สึกศรัทธาแล้ว แต่เห็นทีไรกลับไม่เกิดความรู้สึกว่ามีกำลังใจเพิ่มขึ้น
เหตุผลง่ายๆ ให้ลองสำรวจดูว่า
หากเป็นคนที่สวดมนต์ทีไร ก็ขอพร ขอนู่นนี่จากองค์พระ
นึกว่าเป็นตัวแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนา นึกว่า เราอุตส่าห์บูชา
แล้วต้องได้ผลตอบแทนอะไรบ้าง
แล้วขอเท่าไหร่ๆ ขอ 10 ที ได้ทีเดียว บางคนขอ 100
ที ไม่เคยได้เลยสักที
เวลากราบไหว้ จะกราบไหว้ด้วยอารมณ์แบบแห้งๆ
กราบไหว้แบบที่ไม่ได้เกิดความรู้สึกว่า นี่คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยอะไรเราได้
ด้วยอาการกราบพระแบบนี้
ด้วยอาการทางใจที่เราทุ่มใส่องค์พระแบบนี้ จึงทำให้รู้สึกว่า องค์พระไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา
เป็นเหมือนกับพระอิฐพระปูน พระแก้ว ที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีค่างวดอะไร
สมัยนี้เขาตีราคากันด้วยความขลัง ที่บันดาลให้รวยได้
หรือกันกระสุน แต่ถ้าหากเข้าใจถึงความเป็นพุทธจริงๆ แล้ว เราจะเห็นจากที่เรากราบองค์พระ
ถ้าหากเราเห็นองค์พระนั้นปุ๊บ เห็นแวบแรกแล้วเกิดความรู้สึกดี สบายใจขึ้นมา
นั่นแสดงว่า ทุกครั้งที่เรากราบไหว้
เรากราบไหว้ด้วยความเคารพศรัทธา ไม่ได้ขออะไรจากท่าน นอกจากจะกราบ
เพื่อเอาความรู้สึกศรัทธา ความรู้สึกเชื่อมั่นในศาสดา
ให้เป็นที่ตั้งของความระลึกถึง ในคุณวิเศษของพระพุทธเจ้า
หรือพระธรรมที่พระองค์สอนมา .. เมื่อเห็นองค์พระ แล้วรู้สึกดีขึ้นทันที นี่
คือหลักฐาน ..
แต่ถ้าเห็นองค์พระ แล้วเกิดความรู้สึกว่า จะไหว้ไปทำไม
เหมือนกับจะเดินเชิดใส่องค์พระ ด้วยจิตที่ต่ำแบบนี้ อย่างนี้แสดงว่า
เวลากราบไหว้องค์พระ เรามีจิตที่คิดไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อันนี้เป็นร่องรอยที่เราสามารถสำรวจตรวจสอบ
ที่มาที่ไปของพลังในชีวิตของเราได้ ว่าเป็นความสว่างอยู่แท้ๆ
แต่ทำไมถึงไม่สว่างเต็ม
จุดเริ่มออกจากใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน
อะไรๆ ใหลออกมาจากใจ ..ถ้าเห็นองค์พระที่เรากราบไหว้ แล้วรู้สึกว่า เกิดกุศลยิ่งใหญ่
นั่นแสดงว่า เรากราบไหว้มานี่ กราบไหว้ด้วยการถวายพร ไม่ได้กราบไหว้ด้วยการขอพร
แต่ถ้าเห็นองค์พระแล้ว
รู้สึกว่าน้อยเนื้อต่ำใจ หรืออยากเดินเชิดใส่ อย่างนี้แสดงว่าเราสวดขอพร
แล้วไม่ได้ตามพรที่ขอสักที
ให้หัดสวดแบบถวายพรดู แล้วจะรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง
สร้างได้ด้วยใจ ..
ถ้าใจเราศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใจเราใหญ่พอ
พอในที่สุด องค์พระจะศักดิ์สิทธิ์ตาม ..ถึงแม้ว่าจะไม่ขออะไรดีๆ อะไรดีๆ ก็จะ ใหลมา เทมาเอง
โดยไม่รู้ตัวว่าจะเข้ามาวันไหน
=======
จากหัวข้อวันนี้
"การขับไล่ความมืดด้วยความสว่าง" ที่ยกตัวอย่างเป็นองค์พระ
เพราะเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับคนทั่วไป ที่จะเข้าหาและเห็นผลทันตา
แต่หากเรามาพูดกันแบบพุทธ ที่พึ่งทางใจ
หรือกุศล ที่จะเป็นเงาตามตัวเราไป ไม่ใช่แค่การกราบไหว้องค์พระอย่างเดียวนะครับ เพราะการกราบไหว้องค์พระ
เป็นเรื่องของศรัทธา มาง่ายไปง่าย
แต่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่ง เป็นความสว่าง
พร้อมจะขับไล่ความมืดให้กับเราได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ..
พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว แต่ไม่ค่อยมีคนเอาเท่าไร่
ส่วนตัวของผม ..
เวลานึกถึงที่พึ่งทางใจของตัวเอง ผมบอกตัวเองว่า หากุศลที่ติดตัวเจอแล้ว แล้วก็อยากให้ทุกท่านได้หาสิ่งที่เป็นกุศลติดตัว
ให้เจอด้วยเช่นกัน
แต่ละคนก็จะอาจจะคลิกต่างกัน
เพราะสิ่งที่เป็นกุศลใช้ได้จริงๆ เฉพาะตน
ส่วนตัวของผม ตอนแรกๆ ผมก็ไม่เข้าใจว่า
ทำไมผมถึงเอาจริงเอาจัง แน่วแน่กับการได้ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้ “หายใจเป็น” แบบพุทธ ทั้งที่แรกเริ่มเดิมที สุขภาพผมไม่ดีเท่าไหร่
และหายใจติดขัด
แต่มีความเชื่ออยู่ในส่วนลึก
(ในตอนนี้ผมรู้คำตอบแล้วว่าทำไมจึงปักใจเชื่อ) คือ มันโยงใย มีที่มาที่ไป
ที่อธิบายไม่ได้ในชีวิตเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม ณ
เวลาที่ผมเริ่มต้นศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผมดิ่งไปตรงนี้แหละ ว่าถึงแม้จะไม่มีคนสอน แบบที่พระพุทธเจ้าสอน
แต่ผมก็จะพยายาม ทำแบบที่พระพุทธเจ้าสอนให้ได้
คือ หายใจเข้า รู้ว่า หายใจเข้า
หายใจออก รู้ว่า หายใจออก
หายใจยาว รู้ว่า หายใจยาว
หายใจสั้น รู้ว่า หายใจสั้น
จนกระทั่ง จิตมีความแยกออกไป เป็นผู้ดูลมหายใจทั้งปวง
ทั้งสั้น ทั้งยาว ทั้งเข้า ทั้งออก
ซึ่งเรียกว่าคุ้มค่า เพราะในช่วงแรกๆ
มีความสับสน ฟังคนนู้นคนนี้ที แต่โดยส่วนตัวแล้ว อยากให้ลมหายใจเป็นที่ตั้ง
ที่ประดิษฐานของแสงสว่างประจำตัว แล้วก็มาได้เข้าใจจริงๆ อย่างหนึ่ง ด้วยการสังเกตเอาจากชีวิตจริงๆ
ว่าถ้าดูลมหายใจอย่างเดียว จิตมันไม่เต็ม จิตมันไม่สว่างจริง มันคับแคบ
แต่ถ้าหากรู้ลมหายใจด้วย
พร้อมกันก็ดูกายไปด้วย
คือ นั่งอยู่ รู้ว่านั่งอยู่
นั่งหายใจยาว หรือหายใจสั้น
นั่งหายใจเข้า หรือหายใจออกอยู่
รู้ตัวไปด้วยแบบนี้
ถึงจะมีความสุขความสบายเพียงพอ ที่จะเป็นความสว่างขับไล่ความมืดได้
นี่คือ การอธิบายแบบสั้นๆ
ที่ผมอาศัยเป็นความสว่างติดตัว เป็นกุศลธรรม ที่ตามเราเป็นเงาไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนของคุณ ต้องสังเกตเอาเอง ว่ามีสิ่งที่เรียกว่ากุศลธรรมแบบไหน
ที่พร้อมพอจะเป็นความสว่าง ขับไล่ความมืดของตัวเองได้ทุกเมื่อ
นี่จึงไม่ใช่แค่การให้กำลังใจกัน
แต่เป็นการให้ที่พึ่ง ซึ่งเป็นกำลังของจริง ติดตัวกันไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ทุกวันนี้ เห็นเด็กยุคนี้แล้ว รู้สึกเป็นห่วงนะครับ
พอจิตมืดแล้ว หาทางออกด้วยการด่าโลก จิกกัดชาวบ้าน พยายามเผาโลก ชวนกันเผาโลก แม้กระทั่งบางคน
รู้จักทฤษฎีทางพุทธศาสนาเป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ตัว ว่าจิตไม่มีธรรมะเลย
จิตชอบไปอาละวาด อวดศักดา ไล่กัดชาวบ้านเขา หรือเบ่งทับคนอื่นเขา
อยากให้ใครต่อใครรู้ว่า ตัวเองรู้ดีที่สุด และวิธีก็คือ
ไปด่าคนที่คนเขานับถือกันว่ารู้
ตรงนี้เหมือนกับเทรนด์ของยุคไอที ที่ทำกันได้ง่าย
ถ้าเป็นยุคก่อน หากอยากจะอวดศักดา หรือข่มขี่กันด้วยความรู้ จะต้องเจอคนที่อยากจะคุยด้วยเสียก่อน
เพราะอยู่ๆ จะไปด่าชาวบ้านเขานี่ จะไม่มีใครมาคุยด้วย
แต่ยุคนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากฟัง
ไม่อยากเสวนาด้วย ก็ยังสามารถไประรานเขา ไปตามป่วนเขาในกระทู้ก็ดี
ในสเตตัสของส่วนตัวของใครก็ดี เหมือนโลกเปิดช่อง ให้สร้างความมืดมาทับถมความมืดของตัวเองได้มากกว่ายุคไหนๆ
อย่างเวลาที่ผมสอนลูกให้รู้จักพุทธศาสนา
ผมรอให้ลูกเป็นทุกข์เสียก่อน แล้วชี้ให้เขาเห็นต้นเหตุทางใจของเขา วิธีคิดของเขา
ว่าคิดอย่างไร ถึงเกิดความทุกข์ขึ้นมา ให้เขาเห็นความทุกข์เป็นภาพ
จากนั้นจึงสอนให้เห็นว่าจิตแบบไหนเป็นกุศล จิตแบบไหนเป็นอกุศล
ซึ่งไม่ใช่มาพูดกันด้วยศัพท์แสงทางวิชาการ
แต่อธิบายให้เขาเห็นความรู้สึก ณ ขณะนั้นของเขา ว่าตอนที่คิดดี ตอนที่รู้สึกดี
ตอนที่เขาบอกว่าแฮปปี้ (happy) อย่างนั้น เป็นเพราะจิตเขาเป็นกุศล
แต่ตอนที่เขาคับแค้น จิตเขาเต็มไปด้วยความทุรนทุราย อยากจะเอาแต่ใจอะไรต่างๆ ให้เขารู้ว่า
นี่คืออกุศลจิต
ตรงนี้สำคัญมาก
ถ้าเราปูพื้นฐานให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็ก ให้รู้จักเรื่องจิต แบ่งได้ว่า
จิตสว่างเป็นอย่างไร จิตมืดเป็นอย่างไร เขาจะโตขึ้น แบบคนที่เข้าใจตัวเองว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
ไม่เหมือนคนทั่วไป
ที่ถูกสอนให้รู้ว่าจะเอาอะไรให้ได้!.. สิ่งที่ดี คือ ได้หน้าได้ตา ..สิ่งที่ไม่ดี
คือ ด้อยกว่าคนอื่นเขา ..ผลสอบออกมานี่ด้อยกว่าชาวบ้านเขา อย่างนี้ไม่ดี .. แต่เรื่องจิตเรื่องใจไปถึงไหนแล้ว
ไม่มีใครสอนกัน!
ถ้าจะสอนพุทธศาสนา อย่าเริ่มสอนด้วยทฤษฎี สอนด้วยการให้เขารู้จักของจริงก่อน
ยิ่งเด็กสมัยนี้ พอเขาไม่รู้จักเรื่องจิตเรื่องใจตัวเอง โตขึ้นมาจะเหมือนกันหมดเลย
คือ แยกไม่ออกระหว่างกุศลและอกุศล
รู้อย่างเดียวว่า อะไรถูก อะไรผิด อยู่ข้างนอก
พอจนแต้มขึ้นมา จะคิดอย่างเดียวเลย คือ อาการซึมเศร้า
มันเป็นสิ่งที่เป็นผลผลิตของสมอง เป็นเคมีของสมองที่ไม่สมดุล คือ
พูดเป็นอยู่คำเดียวเลย โทษสมองอยู่อย่างเดียวเลย แต่ไม่รู้แม้กระทั่งว่า
ถ้าจิตมืดอยู่นี่ จะสามารถขับไล่ได้ด้วยจิตที่สว่าง
ผมก็เคยพยายามเสนอแนวทาง ทำนิทานจอมเทพขึ้นมา
มีทั้งภาพสว่างและภาพมืด คือ โดยปกติ นักจิตวิทยาเด็ก เขาจะไม่ส่งเสริมให้เอาภาพดาร์ก
(dark) มาใส่ในนิทาน
แต่ผมเห็นตรงกันข้ามเลยนะครับ ว่าเด็กควรจะรู้จักจริงๆ ว่า ภาคสว่างกับภาคมืดจากภายนอก
ที่จะสะท้อนให้เขาเห็นจิตภายใน ทั้งภาคสว่างและภาคมืด นี่สำคัญขนาดไหน
เพราะถ้ารู้ตั้งแต่เด็กๆ เข้าใจจริงๆ
ที่จะอ่านตัวเอง เห็นจิตใจของตัวเอง ว่ากำลังมืดอยู่หรือสว่างอยู่
แล้วเห็นอย่างแจ่มชัด เห็นอย่างแจ่มแจ้ง ว่าจิตสว่างมาเมื่อไหร่
จิตมืดหายไปเมื่อนั้น ก็จบเลยนะครับ ปัญหาทั้งปวงที่เกี่ยวกับจิตใจอารมณ์ของคน
ผมเองก็โตมาด้วยการสอนให้มองข้างนอก เหมือนกับคนอื่น
แต่พอเริ่มต้นจะทำความรู้จักกับศาสนา ก็ได้รับคำสอนที่ยากเหมือนยาขม
กลืนยากเคี้ยวยาก ให้ท่องจำโน่นนั่น ก็เลยไม่เห็นค่าศาสนาตั้งแต่แรก ยังเสียดายอยู่ทุกวันนี้
มาเห็นค่าของศาสนาเมื่ออายุ 16-17 ปี เริ่มมีความทุกข์สาหัส ทั้งสุขภาพจิต สุขภาพกาย
ที่ใกล้แตกพัง
ถึงตรงนั้นจึงได้หาคำตอบจากข้างใน จึงรู้ว่า ถ้าเริ่มต้นจากการทำความรู้จัก
ว่าจิตมืด จิตสว่าง หน้าตาเป็นอย่างไร ทางออกทั้งหมดของชีวิตอยู่ตรงนั้นเลย
จิตสว่างนี่
ถ้าคุณทำให้เกิดขึ้นได้เป็นปกตินะครับ จะแทบจะไม่เหลือความมืดในชีวิต ให้ต้องทนขมขื่นกันอีกต่อไป
ต่อให้คุณมีสุขภาพกายย่ำแย่ยังไง ก็จะมีจิตที่สว่าง มาช่วยแบ่งเบาให้เกิดความรู้สึกดีกับชีวิตที่เหลือได้บ้าง
เราอยู่ในยุคที่จำเป็นจริงๆ
ที่ต้องเข้าใจเรื่อง "การไล่ความมืดด้วยความสว่าง" และเท่าที่เห็น
หลายคนยอมให้โลกที่มืด ทำชีวิตตัวเองให้มืดตาม
แบบที่ไม่มีกำลังใจจะออกไปจากความมืดอีกแล้ว!
___________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน อย่าขับไล่ความมืดด้วยความมืด
วันที่ 16 มกราคม 2564
ถอดคำ : นกไดโนสคูล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น