วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้านวาระพิเศษ สวดมนต์ข้ามปี

 ดังตฤณ :  สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านวาระพิเศษเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเราจะมาสวดมนต์ข้ามปีกันเหมือนกับปีที่แล้วนะครับ

ปีที่แล้วก็พูดถึงว่าการสวดมนต์ข้ามปีมีผลยังไง หรือว่ามีอานิสงส์ยังไงนะครับ

ปีนี้มาพูดในอีกแง่หนึ่ง แง่ที่ปีใหม่นี้เป็นวาระพิเศษระดับโลกนะครับ บันดาลใจให้นึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ อยากเป็นคนใหม่ อยากมีชีวิตใหม่ อยากมีเส้นทางกรรมแบบใหม่ๆ สร้างความตื่นเต้นที่จะพบกับตัวเองในปีต่อไป

แล้วคุณไม่มีทางนะครับที่จะสร้างคนใหม่จากศูนย์ ทุกคนต้องเอาคนเก่าไปต่อยอดเป็นคนใหม่ขึ้นเสมอ

ที่จะคาดหวังว่า จะมีอีกตัวหนึ่งที่มันแตกต่างไปจากความเป็นคุณตอนนี้อย่างสิ้นเชิง เซ็งตัวเก่าเหลือเกิน อยากได้ตัวใหม่แบบที่มันสดเอี่ยมชนิดที่ใหม่ถอดด้าม ไม่มีนะครับ!

มีแต่เราจะเขยิบจากฐานขึ้นไปสู่ขั้นตอนไป หรือว่าเอื้อมไปถึงยอดได้อย่างไรนะครับ

สำหรับชาวพุทธจะถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้พิจาณาเส้นทางกรรมแบบเก่าๆ แล้วก็อย่างน้อยสำรวจเข้ามา แล้วถามตัวเองว่า อยากได้เส้นทางใหม่ๆกันมั้ย

เคยสังเกตมั้ยว่า จิตของคุณแปรไปตามบุคคลหรือไม่ก็สถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น คุณชอบตัดสินใจอะไรผิดเมื่อเจอเงื่อนไขล่อใจแบบหนึ่งๆ ยกตัวอย่าง เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา หรือว่ากดเปิดมือถือ มันจะมีความเคยชินอะไรบางอย่างที่บังคับหรือว่าจี้คุณ จี้ใจคุณให้ไปเลือกเปิดโปรแกรมบางโปรแกรมที่รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ หรือว่าบั่นทอนเวลา ดูแล้วเล่นแล้วจิตตก หรือว่าเกิดความรู้สึกฟุ้งซ่านมีอกุศลธรรมเกิดขึ้น แต่คุณก็แพ้ทาง จับคอมพิวเตอร์หรือว่าเปิดมือถือเป็นต้องเข้าหาที่ตรงนั้น นี่เรียกว่าจิตของคุณมีความเป็นอกุศล หรือพูดง่ายๆว่า มีจิตผิดเมื่ออยู่กับอะไรอย่างหนึ่ง หรือว่าใครสักคนหนึ่งสถานการณ์สักอย่างหนึ่งนะครับ

นอกจากนั้นบางทีก็มีการเลือกคำพูดผิดๆ เมื่อพบกับใครบางคน หรือคนบางกลุ่ม ความรู้สึกในตัวตนของคุณที่เจอกับใคร เผชิญหน้ากับกลุ่มไหน บางทีเป็นเรื่องที่คุณรู้สึกเศร้าใจว่า เอ๊ะมันไม่เปลี่ยนสักที

คือเวลาอยู่กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง จิตคุณดีทุกอย่าง คุณเลือกคำพูดได้ใช่ คุณมีจิตที่ชัด คุณมีสติที่แจ่มใส แต่พอเปลี่ยนคน หรือเปลี่ยนกลุ่มเท่านั้นแหละ โหมดความเป็นตัวตนของคุณมันรู้สึกได้เลยว่า ต่างไปเป็นอีกคนหนึ่ง ที่บางทีคุณไม่พอใจ คุณเกิดความรู้สึกว่า อยากจะเปลี่ยนไอ้ความเป็นตัวเดิมแบบนั้นที่คุณไม่พอใจ เป็นอีกตัวหนึ่งที่มันพูดถูกเสียที มันคิดถูกเสียที เวลาไปอยู่กับคนกลุ่มนี้ แต่มันก็ทำไม่ได้

เพราะอะไร?

เพราะว่าบางทีนะ เหตุผลมันตื้นๆ คุณยังไม่ได้เลือกว่าจะเอาตัวตนดีๆแบบไหน ไปหันเข้าหาบุคคล หรือว่ากลุ่มคนแบบนั้นๆที่คุณมักจะเกิดโหมดจิตผิดๆ เข้าโหมดความคิดผิดๆ บางทียังละล้าละลังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะว่าทำตัวไม่ถูก เลือกไม่ถูกว่าจะเอาตัวตนแบบไหนไปเข้ากับพวกนั้น

นอกจากนั้นบางทีก็มีอาการของจิตที่ยึดอารมณ์ผิดๆ อย่างเช่น เกิดความรู้สึกยอมแพ้ หรือว่าท้อแท้ กับการเจอปัญหาแบบหนึ่งๆ บางคนเจอปัญหาที่ทำงาน บางคนเจอปัญหาที่บ้าน บางคนเจอปัญหาทางใจของตัวเอง ก่อนนอนบ้าง หรือว่าตอนตื่นนอนบ้างนะครับ

พอเจอกับปัญหา หรือว่ากำแพงที่มันกั้นไม่ให้เดินไปข้างหน้าเนี่ย เกิดความรู้สึกขึ้นมาทันที ตัวเล็กตัวลีบลง แล้วก็ไม่ไปไหน นี่เป็นความเคยชินอีกแบบหนึ่ง พูดง่ายๆนะว่า ตัวอารมณ์มันไม่ได้ติดตั้งอยู่ในตัวคุณถาวร ไม่ได้ติดตั้งอยู่ในตัวคุณตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่มันจะมีมาเป็นบางเวลา หรือว่าเป็นบางสถานการณ์

ทีนี้พอยท์(point)ก็คือว่า พอเกิดสถานการณ์นั้นๆขึ้นมา แล้วเกิดอารมณ์แบบเดิมๆ ห่อเหี่ยว หดหู่ ท้อแท้ แล้วจิตของคุณก็เล่นกับมัน เอากะมันด้วย ไปยึดมันไว้ แล้วก็มีความรู้สึกราวกับว่าคุณไม่มีทางสู้ คุณไม่มีทางที่จะดีขึ้นไปกว่านั้นนะครับ นี่เรียกว่าเป็นการยึดอารมณ์ผิดๆ

ถามว่าขึ้นปีใหม่เรามาสวดมนต์ข้ามปีกัน มันช่วยได้มั้ย?

มองในแง่ของการรีเซท(reset)จิต มองจิตเป็นวัตถุอะไรสักชิ้นหนึ่งที่มันมีมืดได้ ก็สว่างได้ แล้วก็สามารถที่จะจัดทิศทางให้เกิดความเคยชินแบบใหม่ๆได้นะครับ โดยเราถือเอาวาระโอกาสระดับโลกแบบนี้ ที่คนทั้งโลกเขาถือว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระดับของกาลเวลาที่ทุกคนยอมรับกันว่า จะมีการขึ้น พ.ศ. ใหม่ มีการเปลี่ยนวิถีทางอะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกับระบบดาราศาสตร์โลกอะไรต่างๆ จักรวาลอะไรต่างๆ

เอาเป็นว่าเรารู้ตรงกันกับคนอื่นๆที่จะบันดาลใจของเรา ให้เกิดความคิดเกี่ยวกับจิตใหม่ หรือว่าตัวตนใหม่ที่มันดีขึ้นกว่าตัวตนเดิมหรือจิตแบบเดิมๆ

อย่างที่ผมย้ำนะครับว่า คนใหม่จิตใหม่อย่างสิ้นเชิง มันไม่มี เป็นไปไม่ได้ แต่จิตที่มันดีขึ้นกว่าเดิม หรือว่าคนใหม่ที่มันเอาคนเก่ามาต่อยอด เนี่ยอย่างนี้มี! แล้วก็ทำได้จริง

ทีนี้มันก็ตรงนี้แหละ คือเราสวดมนต์กันเป็นใช่มั้ย เราสวดอิติปิโสกันได้ใช่มั้ย เรามารวมกันตรงนี้ได้ใช่มั้ยว่า ก่อนที่จะหมดปี ก่อนที่จะสิ้นปี เรามาสวดอิติปิโสด้วยกันเพื่อจูนจิต

จูนยังไง?

มันขึ้นอยู่กับเราจะสวดได้สว่างแค่ไหน เต็มใจที่จะโฟกัสอยู่กับบทสวดเพียงใด

ถ้าหากว่าเราสามารถยังจิตของตัวเองให้เป็นมหากุศล เกิดโสมนัส เกิดสุข เกิดความเบิกบานในการสวดมนต์ข้ามปีได้ มันหมายความว่าเราเลือกได้ที่จะมองย้อนกลับไปเห็นตัวเอง ว่าเคยเป็นยังไงเมื่อปีที่ผ่านๆมาปีที่ ๖๓ ที่กำลังจะผ่านไปนี้ แล้วเรายอมรับมั้ยว่า จิตของเราเป็นยังไง แล้วอยากได้จิตใหม่แบบไหน ที่จะช่วยให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น คุณสามารถนะ ถ้าหากคุณตั้งจิตให้เป็นมหากุศลกับการสวดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แล้วอธิษฐานจิต อธิษฐานเอาจากจิตที่เป็นมหากุศลในชั่วข้ามคืนนี้ มันจะมีกำลังมากพอที่จะเบี่ยงเบนเส้นทางกรรมให้ตัวเองได้

คือมันเอาไปใช้ได้...พูดง่ายๆ แต่มีข้อแม้นะ คือไม่ใช่ว่าคุณสวดคืนนี้คืนเดียว แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่นะครับ!

แต่อย่างน้อยที่สุด คุณได้กำลังใจอย่างมหาศาลร่วมกัน เป็นการถักทอพลังของมหากุศลร่วมกันในคืนนี้นะครับ เพื่อที่จะเอาไปเป็นตัวอย่างว่า เออ เราสามารถสร้างจิตดีๆ สร้างจิตที่เป็นมหากุศล สร้างจิตที่มีพลังความสว่างให้เกิดขึ้นได้ เพียงด้วยการสวดมนต์ ไม่ใช่อ้างกับตัวเอง อ้างกับฟ้าดินว่าพยายามแล้ว แต่ทำไม่ได้ ชีวิตมันดีได้แค่นี้

ก็มาลองเอาทางลัดแบบที่เป็นพุทธดูนะครับ เรามาสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า แล้วก็พระอริยสงฆเจ้าว่า พวกท่านรู้ดีรู้ชอบ ทั้งพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติถูกปฏิบัติตรงจากการค้นพบพระธรรมของพระพุทธเจ้าว่า ธรรมนี้มีอยู่ ธรรมนี้มีจริง

ธรรมคืออะไร?

ธรรมคือ กายใจนี้มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด มันไม่ใช่ตัวคุณอย่างที่เรายึดๆเอาตั้งแต่เกิด แล้วก็ยึดมาชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่มันเป็นแค่เหยื่อล่อชั่วคราวให้ยึดไว้ แล้วก็ก่อกรรมทำเข็ญทั้งบุญทั้งบาปเพื่อไปมีกายอื่นๆไม่รู้จบ

ถ้าหากว่าเราสามารถรู้ทัน แล้วก็เจริญสติ สามารถเห็นความจริงเกี่ยวกับกายใจนี้ได้ นี่เรียกว่ายังความเป็นพุทธให้เกิดขึ้น ยังความพ้นทุกข์ให้มีขึ้นได้จริง

แล้วก็ถ้าหากว่าเรามีความเข้าใจในระดับที่จะปฏิบัติในระดับที่จะต่อยอดพัฒนาไปเรื่อยๆแบบเห็นผลนะว่า เออ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่สองพันห้าร้อยกว่าปีที่แล้ว ไม่ใช่เรื่องหลอกๆ ยังสามารถพิสูจน์ได้เสมอ แล้วก็ยังสามารถทำได้มาจนกระทั่งทุกวันนี้ นี่!ตรงนี้ ที่มันจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเราเข้าถึงความเป็นพุทธ เข้าถึงความเป็นชาวพุทธแบบที่พระพุทธเจ้าอยากให้เข้าถึงกันจริงๆ

ถ้ามีคำถามอะไรทักทายจากทางบ้านมา เดี๋ยวเหล่าแอดมินช่วยเอาขึ้นหน่อยนะครับ ก็จะคุยกันต่อสักประมาณ ๓ นาที แล้วเดี๋ยวพอห้าทุ่มสี่สิบห้า เราจะเริ่มสวดมนต์กัน โดยที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะสวดประมาณ ๗ จบนะครับ น่าจะขึ้นวันใหม่ในช่วงนั้น ถ้าหากว่ายังไม่ขึ้นวันใหม่ใน ๗ จบ ก็สวดต่อจนกว่าจะขึ้นวันใหม่ แล้วก็จะดู พูดง่ายๆว่าทุกท่านยังมีความร่วมใจในทางสว่างกันอยู่ดีแค่ไหนนะครับ เราก็เอากันแบบสบายๆ เอาแบบหลวมๆ คือพอข้ามวันใหม่ไปอาจจะมีการถามตอบสักเล็กน้อยตามธรรมเนียมของรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ

แต่อย่างที่เราจะเอากันเป็นหลักก็คือ ทำอย่างไรจะให้ข้ามปีนี้ เป็นการข้ามปีที่คุ้มที่สุดทางจิตวิญญาณ เป็นการข้ามปีที่พูดง่ายๆว่า เรามาทำปีใหม่ให้มีความหวังขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยที่สุดมีความหวังทางจิตวิญญาณ มีความหวังทางความสุขใจ ไม่ใช่บอกปี ๖๓ มันเป็นปีบั่นทอนสุขภาพจิตแท้ๆนะ แล้วก็เป็นปีที่ทำลายความหวัง ปีที่ทำความพินาศให้กับความสุขความมีชีวิตชีวามีชีวิตจิตใจ คือมองไม่เห็นเลย มองไม่ออกเลยว่าปี ๒๕๖๔ มันจะดีขึ้นกว่านี้ได้ยังไง

ทีนี้ถ้าเรามองในจุดเริ่มต้นของชีวิตคือออกมาจากแก่นว่า จิตใจของเราเป็นตัวกำหนดทุกข์กำหนดสุขที่ใหญ่ที่สุด ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน อะไรๆล้วนไหลออกมาจากใจ

ถ้าหากว่าใจของเราในช่วงปีใหม่มันมีความสุข มันมีความเป็นมหากุศล มันเกิดมหาโสมนัสขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดเราอุ่นใจนะครับว่า ปีต่อไปถึงแม้อะไรๆภายนอกมันจะไม่ดีขึ้น เราก็จะตั้งจิตตั้งใจว่า จะทำอะไรๆภายในให้มันดีกว่าเดิม แล้วก็บอกตัวเองได้เต็มปากเต็มคำว่า ยังไม่ต้องฆ่าตัวตาย ยังไม่ต้องห่อเหี่ยวถึงขนาดท้อแท้หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต มันยังมีความสุขที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องลงทุน โดยไม่ต้องรอปัจจัยภายนอก โดยไม่ต้องรอว่าโควิดจะหายไปจากโลกวันไหนนะครับ

เอาล่ะเดี๋ยวเรามาเริ่มกัน ได้ฤกษ์ได้ยามที่ดีแล้วนะครับ ก็มาเข้าสู่ช่วงของการสวดข้ามปีกันนับแต่นี้เป็นต้นไปนะครับ เราก็จะใช้บทเดิม บทที่ผมเชื่อว่าเป็นบทที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกนะครับ คือบทอิติปิโส

บทอิติปิโสคือพุทธวจนนะครับ ทั้งฝ่ายของการจาระไนคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ว่าทำไมถึงเรียกพระพุทธเจ้า ทำไมถึงเรียกว่าเป็นพระสัพพัญญู ทำไมถึงเรียกว่าเป็นผู้ควรแก่การนพไหว้ ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์

นอกจากนั้นก็จะมีการจาระไนว่า เหตุใดพระธรรมจึงเป็นสิ่งที่เราควรน้อมเข้ามาไม่จำกัดกาล น้อมเข้ามาในตน โดยไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย ไม่จำกัดกาล

แล้วก็พระอริยสงฆ์ท่านปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าอย่างไร ถึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ควรกราบไหว้เป็นตัวแทนของพระศาสดานะครับ อันนี้ก็เป็นความเข้าใจกันคร่าวๆเกี่ยวกับบทสวดอิติปิโสนะครับ เดี๋ยวเรามาเริ่มกันเลยนะครับ


                            คุณดังตฤณนำสวดมนต์บทอิติปิโส รอบที่ ๑ ถึง ๓




(หลังสวดจบรอบที่ ๓) ดูนะครับสวดมาครึ่งทางแล้ว ดูนะครับว่าใจของเรามีโฟกัสอยู่กับบทสวด หรือว่ามีโฟกัสอยู่กับท่านั่งภายในมากขึ้นมั้ย ถ้าหากว่าเราสังเกตแล้วก็เห็นว่าแต่ละรอบจิตของเรามีความแตกต่างไป มีความพัฒนาขึ้น หรือว่ามีความเสื่อมลง นั่นก็คือการสวดมนต์ในแบบที่เราเห็นความจริงเกี่ยวกับกายเกี่ยวกับใจว่ามันไม่เที่ยง แล้วถ้าหากว่าขึ้นปีใหม่ เราเริ่มเห็นว่า การสวดมนต์ก็เป็นการทำสมาธิชนิดหนึ่ง แล้วเป็นสมาธิชนิดที่สามารถส่องเข้ามาดูด้วยอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่กลมกลืนกันกับสภาวธรรมภายใน ที่มันมีความปรุงแต่งของสติให้เกิดความรู้ รู้เข้ามาที่ความเป็นกาย รู้เข้ามาที่ความเป็นใจ แล้วก็เห็นว่าที่แท้แล้ว ไม่ได้มีตัวเราหรือตัวใครอยู่ในความเป็นกายความเป็นใจนี้ นี่ตัวนี้แหละ ก็จะเป็นการขึ้นปีใหม่ที่มีความรุ่งเรืองทางธรรม แบบที่อาจจะไม่เคยเกิดขึ้นกับปีไหนมาก่อนเลยก็ได้ มาสวดกันต่อรอบที่ ๔ นะครับ


                                 คุณดังตฤณนำสวดมนต์บทอิติปิโส รอบที่ ๔

(หลังสวดจบรอบที่ ๔) เราก็ดูต่อนะครับว่า เมื่อโฟกัสของเราเข้าที่เข้าทาง เกิดความเป็นสมาธิมากขึ้น มีความยืดหยุ่น มีความเปลี่ยนแปลงทางเสียง ทางภาวะทางกาย หรือภาวะทางจิตอย่างไร มีความสุขมากขึ้น หรือว่าตอนนี้ถ้าหากว่าไม่ได้มีความสุข มีความอึดอัดก็ยอมรับไปตามจริง หรือเสียงหรือโทนเสียงเปลี่ยนเป็นคล้อยต่ำลง หรือว่าสูงขึ้น มีความแตกต่างจากรอบที่แล้วอย่างไร เหล่านี้ล้วนแต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้น แค่เรายอมรับรู้ตามจริงด้วยจิตที่มีสติแจ่มใส นี่ก็คือความสดใหม่ของธรรมะที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาของเรา


                                 คุณดังตฤณนำสวดมนต์บทอิติปิโส รอบที่ ๕

(หลังสวดจบรอบที่ ๕) ถ้าเราสวดในแบบที่ตั้งจิตถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา เราก็จะรู้สึกเข้ามาในกาย รู้สึกถึงความเป็นแก้วเสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอ แล้วก็ตัวที่ตั้งตรง คอตั้ง หลังตรงในท่านั่งที่จะสวดถวายสดุดีหรือว่าคำสรรเสริญในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วถ้าหากว่าโฟกัสของเรา จิตของเราเกิดโฟกัสเข้ามาภายในท่านั่งที่ตั้งสวดถวายเป็นพุทธบูชาอยู่นี่ จิตของคุณอาจจะเกิดปัญญา มีความแจ่มใส มีความรับรู้ รับรู้ถึงภาวะทางกาย รับรู้ถึงภาวะความเป็นสุขทางใจ บางทีอาจจะทำได้ดีกว่าตอนที่พยายามนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมเสียอีก เพราะว่ามีพลังของพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาประดิษฐานในจิตของเราที่คิดแผ่ออกไปเป็นการบูชาอย่างเดียว ไม่ได้ขอพร ไม่ได้ตั้งใจที่จะอธิษฐานเอาอะไรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น มีแต่จิตตั้งปรารถนาไปในทิศทางที่จะน้อมถวาย กายนี้ ใจนี้ จิตนี้ เสียงนี้ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาสถานเดียว มาสวดรอบที่ ๖ กันนะครับ


                                 คุณดังตฤณนำสวดมนต์บทอิติปิโส รอบที่ ๖

(หลังสวดจบรอบที่ ๖) ถ้าหากคุณมีสมาธิ ถ้าหากคุณมีโฟกัสอยู่กับการสวดมาจนถึงตรงนี้นะครับ เดี๋ยวสวดรอบสุดท้าย โดยมากจิตที่เป็นสมาธิจะทำให้คุณเกิดความรู้สึกว่า ภายในมีความผ่องใส คำว่า ผ่องใส ก็คือรู้สึกใสจริงๆ มีความโปร่งโล่ง มีความรู้สึกราวกับเป็นแก้ว แล้วก็เป็นแก้วที่ส่องสว่าง มีความสุขสว่างออกมาจากใจกลางภายใน อันนี้ถ้าหากว่า กำหนดนิดเดียวว่า ที่อยู่ภายในเป็นความสุขสว่างผ่องใสอย่างนี้นะครับ อยู่ในอะไร? อยู่ในโพรงคือกายนี้ กายในท่านั่งคอตั้งหลังตรงพนมมือสวดอยู่ แล้วตั้งจิต จิตมีทิศทางไปในการถวายคำสรรเสริญแด่พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งก็คือการเปิดจิตรับเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาประดิษฐาน ราวกับจิตของเรานั้นกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ด้วยอาการที่เป็นสมาธิ เราก็จะเข้าใจ อย่างน้อยเข้าใจขึ้นมารางๆว่า พระพุทธเจ้าท่านปรารถนาให้พวกเรามีจิตที่เป็นมหากุศลไปในทิศทางใด ไปในทิศทางที่มันมีความว่างอย่างพร้อมรู้ ว่างอย่างรู้ว่าไม่มีตัวตน ว่างอย่างรู้ว่าที่กำลังนั่งอยู่ ไม่มีใครนั่ง มีแต่ท่านั่ง ที่กำลังหายใจเข้าออกอยู่ ไม่มีใครหายใจ มีแต่ลมหายใจซึ่งเป็นธาตุลมไหลเข้าไหลออก ผ่านเข้าผ่านออกในกายนี้ การที่เรามีจิต มีสติที่จะพิจารณาธรรมะที่เป็นของจริงภายในสภาวะทางกายสภาวะทางใจของเราอยู่นี้ นี่แหละที่เป็นเครื่องยืนยันว่า เราสรรเสริญคนไม่ผิด เราสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เพื่อที่จะได้อาศัยกายนี้ใจนี้ของมนุษย์ในชาตินี้ในชาติปัจจุบันเป็นที่ตั้งของทางแห่งการพ้นทุกข์ มันพ้นทุกข์ได้จริงๆ เห็นได้จากขณะจิตเดี๋ยวนี้เลย ถ้าจิตมันไม่ยึดกาย ถ้าจิตมันไม่ยึดภาวะทางใจเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เห็นแต่ว่า ไม่ว่าจะสว่างแค่ไหน มีความสุขเพียงใด หรือว่ามีท่านั่งคอตั้งหลังตรงอย่างไรก็ตาม ในที่สุด มันต้องเปลี่ยนไปทั้งหมด ในที่สุด มันต้องไม่เหลืออะไรที่เป็นของเดิมอยู่เลย มีแต่ภาวะใหม่ๆทางกาย ภาวะใหม่ๆทางความรู้สึก ภาวะใหม่ๆทางจิต ที่มันเป็นกุศลบ้าง ที่มันเป็นอกุศลบ้าง เราเห็นอย่างนี้แหละที่เรียกว่า เห็นตามจริง นี่แหละที่เรียกว่า เห็นอยู่ในปัจจุบัน นี่แหละที่เรียกว่า ได้เป็นพยานของพระพุทธเจ้าอีกคนหนึ่ง มาสวดรอบสุดท้ายกันนะครับ


                              คุณดังตฤณนำสวดมนต์บทอิติปิโส รอบที่ ๗ 

(หลังสวดจบรอบที่ ๗) ด้วยจิตที่มีความเป็นมหากุศล ด้วยจิตที่มีความพร้อมจะเกิดโสมนัส ด้วยจิตที่มีความเบาความสว่างจากการที่ได้สวดมนต์ข้ามปีมาแบบนี้ ภาวะอย่างนี้ กุศลธรรมอย่างนี้แหละ ที่เราจะสามารถใช้เป็นฐานที่ตั้งของความสว่างทางชีวิต ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีที่มาถึง ๒๕๖๔ ถ้าหากเราสวดอิติปิโสด้วยอาการแบบนี้ จะเช้า จะค่ำ หรือว่าจะเวลาไหนก็ตาม แล้วเกิดความสุข ความเบา ความสว่างเช่นเดียวกันกับที่เราได้สวดในคืนนี้ เราก็สามารถที่จะยึดอาศัยเป็นฐานที่ตั้งของการเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก ไม่ว่าจะเป็นการมีความเคยชินผิดๆ เราเอาจิตแบบนี้ไปแทนที่ความเคยชินแบบนั้น จะเคยพูดผิดคิดพลาดเมื่ออยู่กับบุคคลแบบไหนก็ตาม หรือว่าเราจะมีกรรมใดๆ ของเก่าใดๆที่อยากเปลี่ยนมานานแต่เปลี่ยนไม่ได้สักที เพราะไม่มีกำลังมากพอ คราวนี้เราได้รู้แล้วว่ากำลังที่มันเพียงพอ ความสว่างที่มันสามารถเอาชนะความมืด กุศลที่สามารถที่จะอยู่เหนืออกุศลได้ หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ขอให้ปี ๒๕๖๔ เราใช้ความสว่างนี้ จิตแบบนี้ ความเป็นกุศลธรรมแบบนี้ ในการที่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ได้ทำให้ตัวเก่ามันกลายเป็นตัวใหม่ คนเก่าหายไป คนใหม่มาแทนในแบบที่ไม่ต้องอวยพร แต่ว่าเรารู้ได้ด้วยจิตของตัวเอง ณ บัดนี้เลยว่า นี่แหละ ที่มันจะเป็นไปได้จริง นี่แหละ ที่มันเป็นของใหม่จริงๆได้นะครับ

 

ก็ให้ถือว่าคืนนี้เรามาพบโลกใบใหม่ด้วยกัน มีคำถาม ๒ คำถามนะครับ ถามว่า

คำถาม ควรอธิษฐานอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด หลังสวดมนต์ หรือในขณะที่ใจมีปีติ 

ดังตฤณ ถ้าจะอธิษฐาน อธิษฐานไปว่า

ด้วยจิตที่เป็นกุศลนี้ ขอให้เป็นที่ตั้งของกุศลอื่นๆที่จะตามมา ขอให้จิตที่มันถูกแน่ๆ เพราะมีความสว่าง มีความเป็นกุศลถูกแน่นอน จิตที่ถูกแบบนี้ จงเป็นที่ตั้งของชีวิต ขับไล่จิตที่ผิดที่มันจะเกิดขึ้นไม่ว่า ณ เวลาไหน โอกาสใด กับบุคคลใด หรือกลุ่มใดก็ตาม ขอให้จิตที่เป็นกุศลแบบนี้มากลายเป็นหลัก มากลายเป็นที่ตั้ง มากลายเป็นฐานที่มั่นเป็นชัยภูมิใหม่ของชีวิต

ถ้าหากว่าเราเติมความสว่างแบบนี้เข้าไปทุกวันด้วยการสวดแบบนี้ไม่ลืม คุณก็จะมีความรู้สึกว่า จิตที่สว่างนี้ มีความตั้งมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ชีวิตเนี่ยมันใหม่เอง โดยไม่ต้องขอนะครับ มันใหม่เองให้เห็นเลย ณ เวลาที่เราสามารถจะมามีจิตแบบนี้ได้ทุกวันนะครับ

อีกคำถามนะครับบอกว่า

คำถาม ปีใหม่อยากมีสติมากขึ้น ควรเดินจงกรมให้มากขึ้นหรือบริกรรมพุทโธมากกว่า?

ดังตฤณ เอาเป็นว่าตามถนัดไม่ว่าจะบริกรรม หรือว่าเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิอะไรก็ตาม ขออย่างเดียวว่าให้จิตเป็นกุศลแบบที่เราทำกันในช่วงข้ามปีนี้นะครับ

ถ้าหากจิตเป็นกุศล ถ้าหากจิตมีความตั้งมั่นไม่คลอนแคลน ไม่ครอกแครก ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ที่เป็นอกุศลธรรมดำมืด นี่แหละที่คุณจะมีสติมีสมาธิดีขึ้นแน่นอน เพราะว่ากุศลจิตที่มันเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอยู่เรื่อยๆ มันจะเป็นฐานที่ตั้ง คือพอหลับตาเนี่ยรู้สึกเลยนะ มันนิ่งอยู่อย่างนั้น มันไม่ไปไหน มันไม่เคลื่อน การที่เราสะสมกุศลจิตมากๆ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างวันหรือมาสวดมนต์ หรือมานั่งสมาธิเดินจงกรมอะไรก็ตาม มันก็คือทำให้ภายในของเราเนี่ย รู้สึกว่ามีความมั่นคง แล้วก็มีความเป็นฐานที่ตั้งของสติที่จะต่อยอดไปยังไงก็ได้ เป็นสติแบบโลกๆก็ได้ หรือว่าจะเป็นสติในทางธรรม ที่จะเห็นกายเห็นใจนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตนนะครับ

เอาล่ะครับ ก็ถือว่าผ่านไปด้วยดีอีกปีหนึ่ง เรามีความสว่างด้วยกัน เรามีความสุขด้วยกัน เรามีความรู้สึกว่า นี่คือเครือข่ายความเป็นกัลยาณมิตร ที่ถักทอขึ้นมาแล้วยังความรู้สึกเบิกบานเป็นกำลังให้แก่กันและกัน

การที่คนจำนวนมากๆมาทำอะไรดีๆร่วมกัน แล้วก็มีจิตที่เป็นกุศลประเสริฐร่วมกัน มันมีความผูกพัน มันมีความรู้สึกที่ดีต่อกันเกิดขึ้นเสมอ แล้วก็ขอให้ความรู้สึกดีๆแบบนี้ กุศลธรรมที่มีความสว่างแบบนี้ จงเจริญสุขสว่างยิ่งๆขึ้นไป

ผมไม่ได้ความสามารถที่ให้พรกับใครนะครับ เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเวลาที่มีคนมาขอพรจากท่าน ท่านก็บอกว่า “เราตถาคตเลิกให้พรนานแล้ว” แต่พระพุทธเจ้าท่านนำทางไว้ก็คือ ชี้ช่องชี้วิธีที่จะให้พรตัวเอง

พรอันประเสริฐที่สุดที่จะให้กับตัวเองได้ก็คือ อธิษฐานตั้งจิตมั่นที่จะอยู่กับความเป็นกุศล ที่จะอยู่บนเส้นทางอันมั่นคง ไปสู่ความสว่างความพ้นทุกข์นะครับ อันนี้แหละ ที่เราสามารถให้พรตัวเองได้ พระพุทธองค์ชี้ทางไว้

แล้วผมก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น นอกจากจะขอให้กำลังใจกับทุกท่านนะครับ ในปี ๒๕๖๔ ที่มาถึงแล้วนี้ จงเป็นปีทองแห่งปัญญา ไม่ว่าคุณจะมีความทุกข์ ไม่ว่าคุณจะมีความสุขเพียงใดก็ตาม ขอให้ความสุขความทุกข์จงเป็นพลวปัจจัยให้เกิดความเข้มแข็ง เกิดสติปัญญาในแบบพุทธ ที่จะได้เห็นว่า การเป็นพุทธก็คือการได้มีสิทธิ์เอาชนะความทุกข์ แล้วก็พ้นภัยไปจากสังสารวัฏอย่างถาวรชั่วนิจนิรันดร์

ปีนี้ ๒๕๖๔ แล้วครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ

-------------------------------------------

๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน  คืนข้ามปี ๒๕๖๓

ระยะเวลาคลิป    ๔๖.๔๙  นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=gc0ieCgvdHM&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=3

รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=rAAe9CyyX4A&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=2

รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=Fz1QCeb0-zY&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=1

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น