วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2564

ในหัวชอบมีความคิดว่า จะต้องไปฆ่าแม่ บางทีก็ทำตามความคิดโดยไปหายใจใส่แม่ เดินใส่แม่ จะมีวิธีรับมือกับความคิดอย่างไร จะบาปไหม?

 ดังตฤณ : คนยุคเราเนี่ยผมเข้าใจนะ หลายคนดูแล้วอย่ามองเป็นเรื่องตลกนะครับ ตอนนี้มันเหมือนราวกับว่าโลกเราเต็มไปด้วยภูติผีปีศาจที่คอยยุยงให้จิตมนุษย์หมกมุ่นครุ่นคิดไปในทางแย่ ในทางร้าย

หลายคนก็บอกว่าราวกับมีปีศาจอยู่ในหัว คอยยุแหย่ให้คิดอกุศลไปต่างๆนาๆ หรือว่าคิดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆ จริงๆไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่ไหนหรอก ภูตผีปีศาจที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมานี่แหละเป็นหลัก

ภูตผีปีศาจภายนอกอาจมากระตุ้นจริง อันนี้ไม่ได้ปฏิเสธนะ เดี๋ยวบางคนดูอยู่จะบอกว่า “ไม่รู้จริงนี่ มีเปรตอยู่จริงๆ มีอสุรกายอยู่รอบตัวมนุษย์จริง” อันนั้นก็ส่วนหนึ่งนะครับ

แต่ว่าภูติผีปีศาจเหล่านั้นมาจากไหนล่ะ รู้มั้ยว่าจิตของคนเรามันทำตัวเป็นแม่เหล็กได้ บางทีมันมาจากวิบากกรรม แม่เหล็กมันมาจากวิบากกรรมไปดูดเขามา วิธีที่เราปล่อยใจนี่แหละ วิธีที่เราตามๆโลกไปนี่แหละ ดูหนังดูละครแล้วก็อิน อินไปกับเขานั่นแหละ นั่นแหละแม่เหล็กโดยที่ไม่รู้ตัวนะครับ แล้วเวลาที่มันดูดกระแสอกุศลอะไรเข้ามา ก็ปกป้องตัวเองไม่ได้ ไม่รู้จะขับออกไปยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีศาจในหัวนะครับ

ตัวคำถามบอกว่า

“ในหัวชอบมีความคิดว่าจะต้องไปฆ่าแม่ แล้วบางครั้งก็ปฏิบัติตามความคิดนั้นเลยกังวลเรื่องอนันตริยกรรมครับ แต่ไม่ใช่ไล่ฟันแม่นะครับ เป็นการกระทำปกติ เช่น หายใจใส่แม่ เดินใส่แม่ ถ้าแม่เกิดป่วยจากการกระทำของผมขึ้นมาจะบาปมั้ย มีวิธีรับมือกับความคิดอย่างไร”

อันดับแรกที่สุดคือ มนุษย์เราเนี่ยนะคุณต้องเข้าใจอย่างหนึ่ง มันมีทั้งเทวดา และก็ปีศาจในตัวเอง อย่าไปงงว่าทำไมบางทีเราก็คิดดีกับเขานะ แต่ทำไมบางทีมันคิดอะไรชั่วร้ายได้ปานนั้น ราวกับว่าไม่ใช่ตัวของเราเลย ก็ไม่ใช่ตัวของเรานั่นแหละครับ ทั้งที่คิดดีแล้วก็คิดไม่ดีนั่นแหละ มันไม่มีตัวเราที่แท้จริงหรอก มันมีแต่จิตที่พร้อมจะพลิกระหว่างความเป็นกุศลกับอกุศล

ถ้าหากว่าเราเข้าใจตรงนี้จริงๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในแก่นสารของพุทธศาสนานะครับ ไม่มีตัวตนมีแต่จิตที่พร้อมจะพลิกไปพลิกมาระหว่างมืดกับสว่าง ระหว่างจิตที่เป็นกุศลกับอกุศลเนี่ย เราจะต้องรับกับความจริงที่ปรากฏในอกของเราในหัวของเราได้ โดยไม่ทุกข์ทรมานเกินไป แล้วก็ไม่ต้องกลัวบาปกลัวกรรมอะไรมากมายนะครับ

อย่างกรณีของคุณเนี่ย จะด้วยความป่วยไข้ หรืออะไรก็ตาม หรือจะมาคิดถึงเรื่องโควิด หรืออะไรก็ตามคุณไม่ได้แจกจาระไนไว้ แต่ตัวแก่นสารของคำถามคือ

“ทำอย่างไรใจถึงจะเลิกคิดอะไรชั่วร้าย ทำอย่างไรใจถึงจะไม่เป็นอกุศล ทำอย่างไรใจมันจะไม่เอาบาปเอากรรม”

เนี่ยตัวนี้คือแก่นสารของคำถาม ซึ่งถ้าหลายคนติดตามเพจดังตฤณมา อาจจะเบื่อว่าโอ้โหทำไมมีเรื่องแบบนี้มาให้พูดถึงกันบ่อยจัง ก็คนยุคเรามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วผมก็พยายามที่จะตอบให้มันหลากหลายนะครับ

แต่จุดใหญ่ใจความมันรวมลงอยู่ที่เดียวคือ คุณต้องเข้าใจว่าทั้งคิดดีและคิดร้ายไม่ใช่ตัวจริงๆของคุณ มันมาตามเหตุปัจจัย แล้วก็สิ่งที่จะทำให้คิดไม่ดีได้ มันก็มีอยู่แค่สามอย่าง คือ โลภะ โทสะ แล้วก็โมหะ เปรียบเหมือนกับกระบอกปืนใหญ่สามกระบอก สามชนิด สามยี่ห้อ ที่มันถึงรอบยิงขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็ยิง

ปืนสามกระบอกนี้ จำไว้เลยนะครับ มันจะไม่หยุดจนกว่าคุณจะเป็นพระอนาคามี แล้วถ้าหยุดจริงๆแบบหยุดสนิทแม้กระทั่งปืนใหญ่ที่สุดที่เรียกว่าโมหะเนี่ย ก็คือเป็นพระอรหันต์แล้ว นอกเหนือจากนั้น ต่อให้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี ต่ำกว่าพระอนาคามีลงมา ปืนสามกระบอกนี้ยิงตลอด ขึ้นอยู่กับว่าเรามีพฤติกรรมในชีวิตยังไง มีเส้นทางกรรมยังไงที่จะทำให้มันยิงออกมาถี่บ่อยแค่ไหน

ถ้าเราอยู่บนเส้นทางของศีล แล้วก็มีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมะ ที่เป็นกุศล ปืนสามกระบอกนี้จะยิงน้อย แต่ก็ยิงอยู่ดี คือพอได้รอบของมัน ได้เวลาของมันขึ้นมา มันจะยิงออกมาโดยที่คุณไม่ได้เป็นคนยิงเอง ไม่ได้เป็นคนเลือกนะครับ

พอเราเข้าใจได้ว่ากิเลสทั้งสามเนี่ย คุณไม่ได้เป็นเจ้าของ คุณไม่ได้เป็นคนที่ผลิตปืนที่จะยิง โลภะ หรือว่าโทสะ หรือว่าโมหะ แต่มันเป็นธรรมชาติที่ถูกติดตั้งมากับชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย มันก็จะได้แบ่งเบาความรู้สึกรับผิดชอบกับกิเลสของตัวเอง ความคิดไม่ดีของตัวเองลงได้บ้าง ทรมานใจน้อยลง แล้วหันมามีแก่ใจที่จะสร้างเสริมให้จิตของเรามีกุศลมากขึ้น มากขึ้นเหมือนอย่างทอปปิค (topic) ของวันนี้คือ “ขับไล่ความมืดด้วยแสงสว่าง ไม่ใช่ขับไล่ความมืดด้วยความมืด” แม้แต่ความทรมานใจ แม้แต่ความไม่พอใจในตัวเอง ก็จัดเป็นความมืดชนิดหนึ่ง

เพราะฉะนั้น พอคิดไม่ดีแล้วทรมานใจ หรือว่าด่าตัวเองซ้ำ นี่คือการพยายามขับไล่ความมืดด้วยความมืด

แต่ถ้าหากว่า เรามีสติรู้ว่าสิ่งที่คิดขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งไม่ดี แล้วเราไม่เอามัน แล้วก็รู้ว่าพอเรามีสติยอมรับตามจริงว่า เออมันเกิดขึ้นในหัวเรา แล้วรู้สึกว่าไอ้นี่มันเกิดเอง เหมือนกับปืนใหญ่ที่ลั่นขึ้นเอง แล้วเราไม่รู้สึกว่าเราจะต้องไปรับผิดชอบอะไรกับมัน แป๊บนึงอีกลมหายใจต่อมา เราเกิดความรู้สึกว่ามันเริ่มเจือจาง มันเริ่มหายไปจากหัว แล้วนั่นก็คือหลักฐานว่ามันไม่ใช่ตัวเราจริงๆ

เพราะถ้ามันเป็นตัวเรา หรือว่ามันเป็นสิ่งครอบงำเราได้จริงๆ มันต้องอยู่เลย แต่นี่มันค่อยๆจางหายไป นั่นแสดงว่าไม่ใช่ตัวเราแน่ๆ ต่อไปพอมันเกิดความคิดอะไรไม่ดีขึ้นมา แล้วเราไม่ลงมือกระทำ ไม่ไปใกล้แม่ อยู่ห่างแม่ เพื่อให้แม่ปลอดภัยจากลมหายใจของเรา แบบนี้บอกตัวเองเลยว่า นี่คือใจจริงที่เรามีความตั้งใจ นี่คือกรรมของเรา ไอ้ที่เป็นความคิดแย่ๆในหัว หรือว่าที่เผลอทำตามความคิดแย่ๆนั่น มันเป็นแค่ภาคความมืดที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เราไม่เอานะครับ

ส่วนภาคความสว่าง พอเราคิดดี เราคิดไม่ฆ่าแม่ได้ แล้ววันหนึ่งมันกลับคิดไม่ดีขึ้นมาอีก เราก็จะได้เห็นด้วยว่า แม้แต่ความคิดดีๆมันก็ไม่ใช่ตัวเราเช่นกัน มันจะได้เห็นเป็นธรรมะ มันก็จะได้เห็นว่ากายนี้ใจนี้ที่กำลังปรากฏอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง จริงๆแล้วมันไม่เคยมีตัวเราอยู่จริงๆ ตัวเราในแบบที่เราคิดมันไม่ได้มีอยู่หรอก มีแต่จิตที่สว่างเป็นกุศลบ้าง หรือว่าจิตที่มืดเป็นอกุศลบ้าง สลับไปสลับมาตามเหตุปัจจัยนะครับ

-------------------------------------------

๑๖ มกราคม ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน อย่าขับไล่ความมืดด้วยความมืด

คำถาม : ในหัวชอบมีความคิดที่ว่า "จะต้องไปฆ่าเเม่ " เเล้วบางครั้งก็ปฏิบัติตามความคิดนั้น เลยกังวลเรื่องอนันตริยกรรม เเต่ไม่ใช่ไล่ฟันเเม่ นะครับ เป็นการกระทำปกติ เช่น หายใจใส่เเม่ เดินใส่เเม่ เป็นต้น ถ้าเเม่เกิดป่วยจากการกระทำของผมขึ้นมาจะบาปใหม? จะมีวิธีรับมือกับความคิดอย่างไร?

ระยะเวลาคลิป    ๙.๓๒  นาที

รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=iM0Q6e40agw&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=17

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น