วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

การน้อมกระแสของอนาคามีพรหม

การน้อมกระแสของอนาคามีพรหม

 

เจมี่ : จากที่พี่ตุลย์แนะนำ เรื่องว่า ถ้าเกิดว่ามีปัญหาหรือว่ามีอะไร

ให้นึกถึงท่านที่อยู่ข้างบนช่วยดูแล

 

พี่ตุลย์ : อันนั้น เหมือนกับสําหรับคนที่มีปัญหา

แม้แต่พี่เอง จะไม่พูดขึ้นมาตรงๆ ว่า นั่นเขาเรียกอะไร เพราะว่าเป็นการกระตุ้น

 

ไม่ใช่กระตุ้นให้ฝ่ายนั้นรับรู้ .. ฝ่ายนั้นนี่จ้องอยู่แล้ว

แต่ว่าการมารับรู้ของเรานี่ จะก่อให้เกิดโรคหวาดระแวง

ทั้งๆ ที่บางทียังไม่มาถึงตัว ก็จะไปดึงเข้ามาถึงตัว

 

ฉะนั้น ก็เลยเบี่ยงเบน ก็คุยกันกับฮิมว่า

ต่อไป จะคุยกันเรื่องท่านที่ปกป้องพุทธศาสนาดีกว่า

ซึ่งมีอยู่จริง และยังมีอยู่แน่ๆ

เพราะในสมัยพุทธกาลนี้ ผู้ที่ไปสู่พรหมภูมิ ในฐานะของอนาคามี มีเยอะ

 

พระพรหมอนาคามี ส่วนใหญ่ท่านมีจิตผ่องใส

แล้วก็มีความปรารถนาที่จะดูแลปกป้องพระศาสนาอยู่

 

ฉะนั้น ถ้าเราระลึกถึงท่าน

เท่ากับเปิดช่องให้กระแสของพวกท่านนี้ เข้าถึงเรา

ดีกว่ามาคิดว่า ..เดี๋ยวไอ้นั่นจะมาไหม ไอ้นี่จะมาไหม อะไรต่างๆ

วอกแวกไป วอกแวกมา ทําให้เปิดช่องเรียบร้อย ให้เข้ามาได้แล้ว

 

เพราะความระแวงของคนเรา ความคิดมากของคนเรา

หรือว่าการย้ำคิดย้ำทำของคนเรานี้แหละ เป็น ขันธมาร

เป็นตัวที่ทําให้จิตใจของเราตกได้ โดยไม่ต้องมีใครมาทําให้ตก

 

แต่ถ้าหากว่าจิตของเรา ระลึกถึงสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ปกป้องพุทธศาสนา

ก็จะได้เป็นขั้วตรงข้าม

 

คือไม่เอาแต่คิดถึงฝ่ายมืด

คิดถึงฝ่ายสว่าง แล้วเปิดช่อง ให้ฝ่ายสว่างมาถึงตัวเรามากกว่า

 

ทําไมถึงให้คิดถึงพระพรหม ที่เป็นอนาคามี?

 

เพราะจิตของพวกท่านใหญ่ แล้วก็พวกท่านอยู่ยงคงกระพัน อยู่นาน

เวลาที่เราเปิดจิตถึงท่าน.. อย่างตอนนี้ พี่แค่พูดถึงท่าน  

ก็รู้สึกได้ถึงอะไรที่สว่างแจ้ง ครอบโลก

 

ตรงนี้ ต่อให้มีการซุ่มดักยิงอะไรอยู่

เราก็จะเหมือนกับมีสิ่งปกป้อง สิ่งมาช่วย นี่เป็นการดึงฝ่ายดีมาช่วย

 

ปกติเวลามนุษย์ นึกถึงเทพ นึกถึงพรหม มักจะนึกถึงแบบเหวี่ยงแห

ไม่รู้หรอกว่า เทพคืออะไร

ทําไม มีเหตุผลอะไร ที่พวกท่านจะต้องมาปกป้องพวกเรา

 

แต่ทีนี้ ถ้าเรามีเหตุผลที่ชัดเจนนะว่า

เรากําลังเป็นหนึ่งในผู้ที่ปฏิบัติ เพื่อสืบพระศาสนา

เพราะว่าทําตามที่พระพุทธเจ้าสอน ในเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน

 

เสร็จแล้ว เราก็ระลึกเอาความจริงเป็นที่ตั้งว่า

สมัยพุทธกาล ยังมีภิกษุ ภิกษุณี

ที่สําเร็จอนาคามี แต่ยังไปไม่ถึงอรหันต์ อยู่มากมาย

 

แล้วพวกท่านเหล่านั้น มีที่ไปสถานเดียวคือเป็นพระพรหม ไปสู่พรหมโลก

และเมื่อไปสู่พรหมโลก แน่นอน

พวกท่านระลึกถึงพระศาสนา ที่ส่งพวกท่านมาอยู่ในฐานะนั้น

แล้วพลังของพวกท่านนี่ มีกว้างขวาง กว้างใหญ่ขนาดไหน.. ไม่มีประมาณ

 

แค่ระลึกถึงท่าน แค่ระลึกถึง แม้อนาคามีพรหม

โอ้โห มีความรู้สึกสว่างโล่ง

 

และจริง ๆ พระพรหมที่ไปสําเร็จอรหัตถผลข้างบนก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี

เพราะฉะนั้น พระพรหมที่เป็นอรหันต์ มีอยู่

 

ทีนี้ เราก็จะรู้สึกถึงความผ่องแผ้ว ความกว้างใหญ่โอฬาร

ที่ไม่มีอะไรในจักรวาลนี้ไปเทียบ

แล้วบางที ที่เห็นนิมิตพระพุทธเจ้า หรือพระสาวก

ก็มาจากกระแสของพวกท่านเหล่านี้แหละ

 

คือพวกท่านนี่ แค่แบ่งกระแสมานิดเดียว มาโปรด

บางทีมนุษย์นี่ เห็นอะไรเป็นคุ้งเป็นแคว

 

อันนี้ฝ่ายดีนะ .. ฝ่ายดีจริง ถ้าบุญต่อกันติด

ถ้าเป็นคนมีบุญที่เคยสร้างกับพวกท่านมา ก็จะรับได้ง่ายเป็นพิเศษ

หรือพวกที่มีสัมมาทิฏฐิ เคารพพระพุทธเจ้าที่คําสอนของพระองค์จริงๆ

บูชาคําสอนของพระองค์ แทนตัวพระองค์ท่าน

อย่างนี้ ก็จะรับได้ง่ายเช่นกัน

 

เวลาที่ระลึกถึง ความรู้สึกจะมีความผ่องแผ้วอย่างใหญ่

เหมือนกับ พระพุทธเจ้าเสด็จมา

จริง ๆ ก็เป็นพระพรหมที่ท่านสําเร็จอรหันต์ หลังจากที่ขึ้นไปเป็นอนาคามี

 

แต่ว่าอันนี้เราคิดกันได้ง่าย ๆ

ระยะเวลาจากช่วงพุทธกาล มาจนถึงตรงนี้

ถ้าสำเร็จอนาคามี ขึ้นไปเป็นพรหม ส่วนใหญ่ก็จะยังเป็นอนาคามีอยู่

มีอีกส่วนหนึ่ง ที่หลุดไปเป็นพระอรหันต์ได้ ขณะอยู่บนพรหมภูมิ

 

เรื่องนี้จริง ๆ แล้ว เป็นเรื่องความเข้าใจระดับที่

แม้แต่ตัวพี่เอง พี่ก็ไม่ไปพยายามทําความเข้าใจ จะพ้นไปจากความรับรู้

แต่เราสามารถใช้ลอจิก ใช้การอนุมานเอาได้ว่า

ถ้าขึ้นไปเป็นพรหมภูมิเมื่อสองพันปีที่แล้วนี่

ส่วนใหญ่ก็เป็นพระอนาคามีกันอยู่

 

แล้วอันนี้ ก็เป็นการรวมพลังของพวกท่าน

ถ้าเราแค่นึกถึงอนาคามีพรหม ซึ่งมีอยู่มากมาย เกิดจากสมัยพุทธกาล

เราก็จะรู้สึกถึงกระแสของพวกท่านนะ ว่า

พวกท่านพร้อมจะเมตตา พวกท่านพร้อมจะปกป้อง

 

เพราะว่าพวกท่านพร้อมจะปกป้องพระศาสนาอยู่แล้ว

แต่ว่าบางทีไม่มีช่องทาง

เพราะว่าใจของพวกเราเปิดรับแต่อะไรอีกแบบหนึ่ง ที่เป็นด้านมืด

 

ตรงนี้ ก็เลยมาคุยให้ฟัง เพื่อที่จะได้เคลียร์จากความกังวล จากความระแวง

หรือว่าความคิดมาก เกี่ยวกับการรบกวนจากอีกฝั่งหนึ่งน่ะ

 

เจมี่ : วันนี้ระลึก ถึงแล้วก็รับกระแส มีความสว่าง มีความปลอดภัย

พูดง่ายๆ ความโล่ง ... รับมาเต็มๆ ประมาณนี้

 

พี่ตุลย์ : มนุษย์ ไม่ค่อยพูดถึงไง เลยไม่เกิดการรับรู้

หรือพอพูดถึง ก็พูดไปคลุมๆ

แบบไปขออุทิศส่วนกุศลให้เทพ ให้พรหมอะไรต่างๆ

ท่านได้แต่ยิ้มๆ ด้วยความรู้สึกว่า ...

เออ ก็เมตตาแหละว่า เราอธิษฐานไป

 

แต่จริงๆ เราแค่ระลึกถึงความจริงแค่ว่า

ยังมีพระอนาคามี ที่จุติจากความเป็นมนุษย์ไป

แล้วมีสถานเดียวที่จะไปได้ถึง คือพรหมภูมินะ

แค่ระลึกถึงแค่นี้ อนุมานได้ ใช้ลอจิกได้โดยไม่ต้องรู้จริง

 

คือพวกท่านยังดูแลพวกเราที่ปฏิบัติตรงอยู่แน่ๆ

 

เจมี่ : มีความสมควรมากน้อยขนาดไหน ที่ว่าเราคิดได้ตลอด

หรือว่าเป็นแค่ช่วงที่เป็นภาวะเหตุจําเป็น

ความหมายคือเหมือนว่า ไปเรียกท่านมาหรือเปล่า ประมาณนี้ค่ะ

 

พี่ตุลย์ : บูชาท่านได้นะ แต่ต้องไม่ใช่ด้วยการที่จินตนาการไป

 

พูดตรงไปตรงมาก็คือว่า ถ้าเราใช้จินตนาการ

บางทีจะไปเรียกอะไรที่เป็นตัวปลอม

แล้วก็เหมือนกับแฝงมาหลอกเราว่า เป็นอนาคามีพรหม

จิตมนุษย์นี้ง่ายที่จะถูกครอบงํา

 

แต่ถ้าหากว่าเราแค่ตั้งจิต แค่ระลึกถึงความเป็นจริงว่า

ในสมัยพุทธกาลยังมี ภิกษุ ภิกษุณีที่สําเร็จอนาคามีผล

แต่ยังไม่ถึงอรหัตถผลกันอยู่เป็นจํานวนมาก

แล้วคติของพวกท่านมีหนึ่งเดียว คือ พรหมภูมิ

 

แค่ระลึกอย่างนี้ ก็จะระลึกได้ว่า ถ้าท่านอยู่บนโน้น

ท่านก็ต้องมีน้ำจิตน้ำใจ ที่จะแผ่กระแสของท่าน ลงมาให้พระศาสนา

แล้วก็มีความเมตตา มีความกรุณาที่จะปกป้อง ที่จะช่วยบุคคลอันสมควรช่วย

 

แค่ระลึกถึง แค่นี้เฉยๆ กระแสมาเอง อย่างตอนนี้ กระแสมามหาศาลเลย

คือระลึกแค่นี้ แล้วท่านให้แค่ไหน เอาแค่นั้น

จะเป็นบ่อยแค่ไหน หรือว่าจะเป็นแค่นานๆ ที หรืออะไร ขึ้นอยู่กับใจเรา

 

โดยหน้าที่ของพุทธบริษัท ความเป็นอุบาสก อุบาสิกา

ก็คือ สืบทอดคําสอนของพระองค์

โดยอาศัยกายมนุษย์แบบนี้ ใจมนุษย์แบบนี้ สํานึกแบบมนุษย์อย่างนี้

มาเจริญสติ ปฏิบัติ แบบที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ .. อันนี้ให้มีอยู่โดยมาก

 

แต่ถ้าเมื่อไหร่เกิดความกังวลขึ้นมา เมื่อไหร่ที่เกิดความไม่สบายใจ

มีอะไรรบกวนโน่นนี่นั่น ให้เป็นอุปสรรคขัดขวาง

เราก็ดึงกําลังของพวกท่าน

โดยการแค่ระลึกถึงความจริงเกี่ยวกับพวกท่าน

 

แค่ระลึกถึงความจริงเกี่ยวกับพวกท่านนี่ ได้แล้ว มาแล้วนะ

อย่างที่พี่ทําให้ดูเป็นตัวอย่าง

 

อันนี้ ที่รู้สึกเหมือนกับมีชาวเวอร์อะไรที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น

 

อย่าไปอธิษฐานขออะไรที่เกินตัว แล้วก็เป็นไปไม่ได้จริง

แต่แค่ขอกําลังใจ เพียงระลึกถึงความจริงแค่นี้

เราก็จะได้ส่วนความเมตตาจากพวกท่านแล้ว

 

แต่อย่างนี้ ไม่ค่อยมีคนพูดกัน

ที่มาพูดนี้ก็เพราะว่า ช่วงนี้มีเยอะเหลือเกิน ที่บอกว่า

บางทีก็มีอะไรมาปักอกบ้าง บางทีมีอะไรเกิดขึ้น ที่หัวหูเหมือนมีใครมาปิดมืดอะไรต่างๆ

 

แค่นี้ เราระลึกถึงฝั่งที่เป็นอีกขั้วหนึ่ง ก็จะเกิดพลัง

เกิดความรู้สึกถึงความสว่าง

แล้วก็เกิดความรู้สึกถึงครอบแก้ว ที่ใหญ่โตมโหฬารครอบโลก

 

เจมี่ : ใช้จิตระลึกถึงคุณความดีของท่าน ที่เคยได้ทําไว้แค่นั้นใช่ไหมคะ

 

พี่ตุลย์ : ไม่ใช่คุณความดีนะ .. เขาเรียกว่าเป็นคุณวิเศษ

คุณงามความดีนี้เรานึกได้ตามประสาโลก

ว่า ไปให้ทานไปรักษาศีลหรืออะไร

 

แต่คุณวิเศษของพวกท่านนี้ เกินกว่านั้น

เกินบุญเกินบาปแบบมนุษย์ไปเยอะแล้ว

 

เราระลึกถึงคุณวิเศษที่พวกท่านนี้ ได้สําเร็จอนาคามีผล

หมายความว่าอย่างไร

 

หมายความว่า ท่านพ้นจากราคะ พ้นจากโทสะแล้ว

แต่ยังเหลือแค่โมหะ เพียงเบาบาง

ซึ่งท่านต้องเกิดในพรหมโลกเท่านั้น

จะไม่ได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์กับพวกเราอีกแล้ว

 

ระลึกถึงความจริงตรงนี้ แค่นี้ ก็ได้ส่วนจากพวกท่านแล้ว

คือพอเราระลึกถึงตรงตัว ก็เหมือนกับเปิดรับ ก็เข้ามาแบบถูกช่อง

***

ย้ำอีกที คือพอปฏิบัติมาได้ตรง ปฏิบัติมาได้ดี

บางทีมีอุปสรรคอะไรมากมาย แล้วบางทีอุปสรรคนั้น ดูลึกลับ

บางคนก็จะรู้สึกว่าน่ากลัว

 

แต่จริงๆ ถ้าเรามองว่า

มนุษย์เรามี ธาตุดินเป็นข้อได้เปรียบจากสิ่งลึกลับ

 

เพราะว่าธาตุดินนี้ ในจักรวาลนี้

ไม่มีการรวมพลังอะไรที่เหนือไปกว่านี้อีกแล้ว

ในตัวธาตุดินนี้แข็งที่สุด มีพลังมากที่สุดแล้ว

 

เพราะฉะนั้น ถ้าเราอาศัยธาตุดิน ในการปฏิบัติในการภาวนา

พูดง่าย ๆ ว่า มีสติอยู่กับอิริยาบถปัจจุบันให้มากเข้าไว้

ไม่ต้องไปกลัวอะไรมาก

 

การปรุงแต่งทางจิต จะมีความเป็นไปอะไรอย่างไร

จะมีแรงกระทําจากภายในหรือภายนอก  

เรารู้ว่าเป็นการปรุงแต่งของจิตเป็นขณะ ๆ นะ

 

ทุกวันนี้ เราก็ได้คลื่นจากจักรวาล คอสมิคเวย์

หรือว่ามีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัว ก็มองไม่เห็นเหมือนกัน

แล้วก็มีผลกระทบนะ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมกับร่างกายเหมือนกัน

 

ที่จะไปปกป้องตัวเองจากสิ่งรบกวนภายนอก

ไม่สู้มาดูว่า สิ่งรบกวนจากภายใน มีมากแค่ไหน

 

แล้วถ้าหากว่า ใครที่มีความรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย

ระแวงอยู่ ว่าจะมีสิ่งลึกลับมากระทําอะไรต่างๆ ก็ระลึกถึงความจริง

แค่ระลึกถึงความจริง .. ไม่ใช่ระลึกถึงหน้าตา

เพราะเรายังไม่ได้มีความสามารถกันขนาดนั้น

 

เราระลึกถึงความจริงว่า พระอนาคามีที่เกิดขึ้นในยุคพุทธกาล

มีอยู่มาก ที่ท่านยังไม่สําเร็จอรหัตถผล ท่านก็ขึ้นไปอยู่บนพรหมภูมิ

แล้วก็เชื่อเถอะว่า ระดับนั้นไม่มีกิจอย่างอื่นหรอก นอกจากห่วงใยพระศาสนา

 

พอคํานึงถึงความจริงข้อนี้

แล้วเราแน่ใจ บอกตัวเองได้ว่า เราทําตามคําสอนของพระพุทธเจ้าอยู่

เราสมควรที่จะได้รับการดูแล การคุ้มครอง การปกป้อง

ส่งกระแสมาจากพวกท่าน

 

แค่นี้ ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมา

 

เหมือนอย่างวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา หลายคนรู้สึกดีเป็นพิเศษ

ก็เพราะว่า เหล่าพรหม เหล่าเทพทั้งหลาย ที่เล็งตรงอยู่กับโลกใบนี้

ท่านรับรู้ว่า เป็นวันมหามงคล

เป็นวันที่จะระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้า

 

ท่านก็จะมีลักษณะการแผ่รัศมีเมตตา

แผ่รัศมีของพลังแบบของท่าน ที่ละเอียดมาก ๆ

 

ซึ่งถ้าใครปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง อย่างพวกในห้องเรานี่

อันนี้ไม่ใช่ยกกันเองนะ.. แต่ว่าในห้องเรานี่ ก็พยายามที่จะปฏิบัติดี

ปฏิบัติตรง ตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแสดงไว้

เพราะฉะนั้นคือ ง่ายมากที่จะรับกระแสจากท่านเหล่านี้

 

ทีนี้ อย่างพวกเรา ในวันวิสาขบูชา ปฏิบัติกันตั้งแต่เช้า

ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่าน อยากให้ได้ อยากให้รู้ แล้วอยากให้บูชาท่าน

เอามาเป็นเครื่องบูชาท่าน

 

ตัวนี้ ก็เลยเป็นเหตุปัจจัย พอรวมๆ กัน เป็นแสงสว่าง

เป็นความบริสุทธิ์ทางใจ ที่รวมกันแล้ว

รับกันได้กับกระแสเบื้องบน ที่ท่านก็ยังแผ่เมตตามา แผ่ความกรุณามา

ก็เลยเหมือนกับพอจูนติด กลายเป็นความรู้สึกว่า มีความสว่าง

มีความอลังการ มีความก้าวหน้ากัน มีความคืบหน้ากัน

 

เพราะว่าพลังที่เราร่วมกัน ผนึกกัน อันนี้ส่วนหนึ่ง

เป็นสิ่งที่สามารถสัมผัส รู้สึกได้แบบมนุษย์โลกธรรมดาคนหนึ่ง นะ

 

แต่อะไรที่เป็นสิ่งที่ใหญ่กว่าโลกเรา สิ่งที่ใหญ่กว่าความเป็นเรา

ที่เรารู้สึกว่าสว่างเป็นพิเศษ สว่างกระจ่าง แล้วก็รู้สึกสัมผัสอยู่ด้วยใจนี่

ตรงนั้นแหละที่ ถ้าเราระลึกถึงนะ

 

จริง ๆ ไม่ได้มีแต่แค่พรหมชั้นอนาคามี

มีทั้งพระโสดาบัน พระสกทาคามี ที่อยู่ในพรหมชั้นอื่นๆ อยู่เบื้องล่างลงมา

พระสกทาคามี พระโสดาบัน ที่อยู่ดุสิตก็มี ยามาก็มี ดาวดึงส์ก็มี

หรือแม้แต่จาตุมหาราชิกาก็มี

 

อย่าง พระเจ้าพิมพิสาร ท่านบอกไว้ชัดเลย

ท่านติดใจเป็นภพเก่าของท่าน เป็นที่อยู่เก่าของท่าน

ตอนนั้นเสด็จสวรรคตไป จุติไปปฏิสนธิที่จาตุมหาราชิกาตามเดิม

อันนั้นเป็นความติดใจแบบของท่าน

 

เพราะฉะนั้นบอกได้ว่า พระโสดาบัน พระสกทาคามี ตั้งแต่ยุคพุทธกาล

ที่อยู่ชั้นจาตุมหาราชิกามี ดาวดึงส์มี ยามามี ดุสิตมี

 

ชั้นดุสิตนี่ คือพวกเลือกเกิดได้

แล้วก็รอฤกษ์เกิดที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่

แต่ว่าชั้นนิมมานรดี หรือว่า ปรนิมมิตวสวัตดีอันนี้ไม่รู้

แต่ว่าพรหมภูมินี่ มีแน่นอนนะ ที่เป็นโสดาฯ ที่เป็น สกทาคามี มีเยอะ

 

แต่ที่เราจะระลึก แล้วได้กําลังใจทันที

ได้กําลังความสว่างแบบที่อเมซิ่งมาก ๆ นี่

นึกถึง แค่ระลึกถึงความจริงว่า พระอนาคามี ที่อยู่บนชั้นพรหมยังมี

และพระอนาคามีที่ไปสําเร็จอรหัตถผล บนพรหมภูมิก็มีอยู่เช่นกัน

 

ระลึกถึงความจริงแค่นี้

เราจะรู้สึกว่า อะไรที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติธรรม

หรือว่าชะตากรรม ที่บางทีรู้สึกว่าอยากขอความช่วยเหลือ

 

เพื่อที่จะอธิษฐานนะ

ว่า จะขอเอากายใจนี้ มาปฏิบัติธรรมแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน

เพื่อเป็นพยาน เพื่อเป็นหลักฐานว่ายังทํากันได้อยู่ในปัจจุบัน

 

อธิษฐานแบบนี้ แล้วระลึกถึงพวกท่าน รับรองได้ผลนะ

 

จะรู้สึกได้เดี๋ยวนี้เลย ณ เวลาที่เราตั้งใจจริง มีใจจริงที่จะคิด

แล้วก็มีใจจริงที่จะลงมือทําตามที่อธิษฐาน

 

***

ก็มีคนสงสัยว่า

เอ๊ะ ถ้าเรารับรู้แล้วว่า พวกเรา ได้รับการดูแลจากพระพรหม

ที่เป็นผู้ใหญ่ในศาสนาของเรา ของแท้นะ

ไม่มีอะไรเป็นผู้ใหญ่ไปกว่าพระอนาคามี และพระอรหันต์ที่อยู่ระดับพรหมอีกแล้ว

 

แล้วเราจะบูชาท่านอย่างไร?

 

วิธีคือ .. ไม่ใช่ไปหาบทสวดอะไร

ที่บูชาองค์พรหมหรือว่าองค์อนาคามีโดยเฉพาะนะ

 

สวดบท อิติปิโสฯ นั่นแหละ

 

ถึงบอกอย่างไรว่า บท อิติปิโสฯ

คือบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก แล้ว

คนทั่วไปไม่รู้

พระพุทธเจ้าเป็นคนตรัสทั้งสิ้น อิติปิโสฯ นี่

 

... อิติปิโส ภควา ...

คุณวิเศษของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์

ไม่ใช่ มาให้สรรเสริญพระองค์เพียงพระองค์เดียว

แต่สรรเสริญ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์

แล้ว พระธรรมที่มีอยู่แล้ว และพระองค์เคารพบูชาด้วย

รวมทั้ง พระสงฆ์สาวก ที่ได้เจริญรอยตาม

จนกระทั่งได้เป็น พระอนาคามี ขึ้นไปสถิตอยู่บนพรหมโลก

แล้วก็สามารถสําเร็จอรหัตถผล ตอนที่อยู่บนพรหมโลกได้

 

มีบทสวดอิติปิโสฯ นี่แหละ ที่ถือว่าเป็นสากล

ถือว่าเราสวดแล้ว บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เท่ากับบูชาพระผู้ดูแลเราอยู่ ที่ท่านมีพลังยิ่งใหญ่

ที่ท่านทําให้เราเกิดปีติได้แบบฉับพลันทันที

***

หลายคนบอกว่า ทําไมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร มีปีติอย่างใหญ่ขึ้นมา

ราวกับว่า ฟ้าทั้งฟ้าเปิดออก

 

ถ้าเราทําความเข้าใจ พวกท่านจะโปรยพลังมาตลอดเวลาอยู่แล้วนะ

คือจิตของท่านเล็งได้ว่า ศาสนาพุทธยังเจริญอยู่ที่ไหน

มีความสว่างประมาณใด ปรากฏที่หย่อมไหน บุคคลใดหรือกลุ่มใด ท่านรับรู้

 

และถ้าหากว่า มีความน่าสนใจพอ พวกท่านก็เล็งแลมาด้วยความเอ็นดูได้

และไม่ใช่แค่องค์ใดองค์หนึ่ง พวกท่าน ประมาณไม่ได้ว่าเยอะแค่ไหน

 

การที่เราสวด อิติปิโสฯ ไป เป็นการ..

บูชาพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านก็บูชา

บูชาพระธรรม ซึ่งท่านก็ยึดเอาเป็นหลักประจําจิตพวกท่าน

บูชาพระสงฆ์ ซึ่งพวกท่านก็ผ่านมาจากตรงนั้นแหละ

ผ่านผ้าเหลืองมาถึงพรหมโลกนี่นะ

 

เพราะฉะนั้น แค่สวดอิติปิโสฯ นี่ เล็งตรงถึงองค์ของเหล่าท่าน อยู่แล้ว

แล้วก็แค่ พอสวดอิติปิโสฯ แล้วนึกนิดเดียวนะ

ยังมีพระอรหันต์ ยังมีพระอนาคามี ที่ดูแลพระศาสนาอยู่

 

ระลึกแค่นี้ เราก็จะสวดเข้าใจมากขึ้นว่า

บางทีปีติ บางทีความสว่างอย่างใหญ่ มาจากไหน

ด้วยความระลึกแค่นี้ ระลึกถึงความจริง

จะได้มีการเล็งจิตจูนตรงกับความจริง

 

ไม่ต้องไปมั่วเอานะ จินตนาการพระพรหมหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

ท่านสูงส่งมีภาวะบริสุทธิ์ น่าอลังการ น่ากราบไหว้บูชา ขนหัวลุกขนาดไหน

ไม่ต้องไปจินตนาการเอา

 

แค่ระลึกถึงความจริง เราก็จะได้ความจริง

ที่ท่านแผ่ลงมาให้พวกเราอยู่ตลอดเวลาได้อยู่แล้ว

____________

วิปัสสนานุบาลไลฟ์

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=GBGhvFZaqKE

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น