วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล EP 137 | วันวิสาขบูชา 15 พฤษภาคม 2565

วิปัสสนานุบาล EP 137 | วันวิสาขบูชา

วันอาทิตย์ 15 พฤษภาคม 2565

 

พี่ตุลย์ : ธรรมสวัสดีวันวิสาขาบูชา ปี 2565 นะครับ

 

วันนี้ เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระพุทธเจ้า

ซึ่งพระองค์เกิดมาเพื่อตรัสรู้ธรรม อันเป็นที่สุดทุกข์

และพระองค์เองก็ได้ดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง

ได้ดับขันธปรินิพพาน ในวันเดียวกัน

 

คือวันประสูติ วันตรัสรู้ และวันที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นวันเดียวกัน เพื่อให้พวกเราจำนะครับ จำง่ายๆ เลย

ว่า พระองค์เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร

และสุดท้ายพระองค์ ดับทุกข์อย่างสิ้นเชิงด้วยอาการเช่นใด

 

ปีที่แล้ว เราถวายเครื่องบูชา แด่วันคล้ายวันประสูติของพระองค์

ด้วยการมาภาวนาร่วมกันนะครับ ภายใต้ชื่อ

อธิษฐานจิตเปลี่ยนชีวิตในเจ็ดวัน

 

ซึ่งก็หมายถึงการร่วมกันเจริญอานาปานสติเป็นเวลาเจ็ดวัน

เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

 

ทำไมถึงต้องถวายเป็นพุทธบูชา อันนี้ชาวพุทธเราทราบกันดีนะครับ



คือที่มาที่ไปมาจากการที่

ครั้งหนึ่ง ได้มีเทวดาถวายสักการะ แด่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยบันดาลให้ดอกสาละ ผลิดอกออกผลนอกฤดูกาล

และยังมีลางบอกเหตุ มีนิมิตหมายอันเป็นทิพย์อีกมากมาย

ซึ่งก็เป็นฝีมือเป็นผลงานของเทวดาทั้งสิ้น เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะทำ

 

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเลยตรัสว่า

การบูชาพระองค์ แม้ด้วยเครื่องของอันเป็นทิพย์เหล่านี้

พระองค์ตรัสว่า มนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถทำได้ ทำไม่ได้หรอก

ไม่ต้องพยายามบูชาด้วยเครื่องสักการะ ที่เลิศเลอปานไหนของมนุษย์

เพราะว่าเทวดาท่านทำหมดแล้ว

 

แต่พระองค์ตรัสว่า

ถ้าเป็นมนุษย์ แล้วอยากจะบูชาพระองค์

จะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งก็คือพวกเรา

ขอให้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรมอยู่

ผู้นั้นย่อมชื่อว่าสักการะเคารพ นับถือบูชาพระตถาคต

ด้วยการบูชาอันยอด

 

คือไม่สามารถที่จะมีเครื่องบูชาอันใดที่ยิ่งไปกว่านี้อีก

และทำให้พระองค์พอพระทัยไปยิ่งกว่านี้

 นี่คือเหตุผลว่า ทำไมพวกเราจึงปฏิบัติบูชา ในวันวิสาขบูชาแบบพระองค์ท่าน

 

ทีนี้คือ ผมอยากให้ดูช่วงท้ายของรายการ ในคืนวันที่เจ็ดเมื่อปีที่แล้วนะครับ

ผมกล่าวทิ้งท้าย เพื่อให้ทุกท่านได้อธิษฐานตามอัธยาศัย

ขออนุญาตนำมาแสดงให้ดู เพราะเดี๋ยวกำลังจะพูดต่อจากสิ่งที่ผมจะเปิดให้ดูต่อไปนี้แหละ 

นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนะ


(จากคลิป) คืนนี้ก็ ขอบคุณมากๆ ที่ปิดฉากได้ด้วยความสำเร็จ ไม่มีอุปสรรคอะไรที่มาทำให้เจ็ดคืนของเราล้มเหลว

 

สำหรับคนที่อาจมีเหตุสุดวิสัยอะไรอย่างไรก็แล้วแต่ คุณสามารถ reset ได้ ย้อนกลับไปคืนที่หนึ่ง แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ ทำให้ครบเจ็ดวันได้ แล้วก็ตรงนั้น ถ้ารู้สึกว่าไม่อยากได้อะไรเลย ก็ขอให้มีความตั้งใจอธิษฐานว่า ขอให้จิตใจเรามีความมั่นคง มีความอยากจะภาวนาให้ต่อเนื่อง ไปเรื่อยๆ ไม่ล้มเลิกกลางคัน ตรงนี้ก็จะให้ผลแล้ว จะเกิดความรู้สึกว่า จิตใจคุณเข้มแข็งขึ้นมาและมีพลังความสว่าง ช่วยให้เป็นไปได้จริงด้วย”


โดย concept ของการปฏิบัติบูชาเมื่อปีที่แล้ว

สำหรับคนทั่วไป บอกว่า ถ้าปฏิบัติครบเจ็ดวันตามความตั้งใจแล้ว

จะตั้งความปรารถนาอะไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ละท่านตามอัธยาศัย

 

แต่คนที่ใส่ใจปฏิบัติ ผมก็ให้อธิษฐานว่า

จงมีความเข้มแข็ง จงมีความต่อเนื่องเกิดขึ้นกับการปฏิบัติ 

บนเส้นทางในการเจริญสติแบบพุทธของพวกเรา

 

ใครจะอธิษฐานอย่างไร ผมไม่ทราบ

แต่ว่านาทีนั้น ตอนที่จะกล่าวจบนั้นแหละ ปากผมพูดไปนะ อย่างที่ได้ยินได้ฟัง

แต่ใจคิดว่า วิสาขบูชาปีหน้า .. ซึ่งก็หมายถึงวันนี้ .. ก่อนถึงวันวิสาขบูชาปีหน้า

ผมอยากจะได้ปั้นใครสักคนหนึ่ง ให้ข้ามเส้นได้ ถึงมรรคถึงผลได้

ตั้งใจถวาย มรรคจิตผลจิตของใครสักคนหนึ่ง ถวายเป็นพุทธบูชา

 

ซึ่งก็เพิ่งมานึกได้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองว่า

ตั้งความปรารถนาไว้อย่างนั้นเมื่อปีที่แล้ว ในโปรแกรมอธิษฐานจิตเจ็ดวันนี่

 

อธิษฐานจิตเปลี่ยนชีวิตในเจ็ดวันนั้น ความตั้งใจ ความปรารถนาของผม

ก็คืออยากให้มีใครสักคนหนึ่งเป็นพยานบุคคล แด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา

พระโคดม .. ซึ่งยุคเราก็คือพระโคดม

 

จริงๆ แล้วก็ถือว่าเป็นไปได้เกินความคาดหมาย

เพราะว่าตอนนี้ พวกเรารวมกันอยู่ ณ ที่นี้

มีมากกว่าหนึ่งคนที่เป็นไปได้ และหนึ่งคนที่เป็นไปแล้ว

 

หนึ่งคนที่เป็นไปแล้ว และมีมากกว่าหนึ่งคนที่เป็นไปได้

ถือว่าเป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย หรือที่ตั้งอธิษฐานไว้ ที่ตั้งใจไว้

ที่มีความรู้สึกปรารถนาอย่างแรงกล้าในวิสาขบูชาปีที่แล้ว

 

ก็ดีใจมากนะครับ ที่มีเหตุปัจจัยให้ทำได้จริง

แล้วก็เห็นความเป็นไปได้จริง ที่พวกเราในห้องวิปัสสนานุบาลจะทำไปเกินกว่านั้น

วันนี้เรามาอธิษฐาน ตั้งกองทัพพยานบุคคล ให้กับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัน

 

เดี๋ยวมาสวดมนต์ร่วมกันครับ

(ตั้งนะโม ๓ จบ สวดบทอิติปิโสฯ ร่วมกัน)

--------------------

- แพร / ออ -

 

พี่ตุลย์ : เมื่อเรากล่าวถึงเครื่องบูชา เวลาที่เราจัดเครื่องบูชาถวายตัวแทนของพระพุทธเจ้าเช่นพระปฏิมา บนตั่งบูชา

 

เรามักนึกถึงดอกไม้ธูปเทียน อะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เกิดความสดชื่น เกิดความเบิกบาน

นั่นเพราะมนุษย์ เวลาที่จะแสดงความนับถือกัน หรือว่ามีการไปทำพิธีรีตอง

แบบที่จะขอกล่าวว่า ข้าพเจ้าบูชาท่านอย่างสูงสุด

ก็บูชาด้วยเครื่องของ อันเป็นความเบิกบาน อันยังใจให้เกิดกุศล

ทั้งรูปที่ปรากฏของเครื่องบูชา น่าจะชื่นตาชื่นใจ

กลิ่นที่มาจากเครื่องบูชา น่าจะหอมหวนจรุงจิตจรุงใจ

 

นี่ก็เป็นเครื่องหมายบอกได้ว่า ถ้ามาถึงจิตถึงใจ

เกิดความเบิกบาน เกิดความชุ่มชื่น

เป็นอันว่า ได้คุณลักษณะของเครื่องของบูชา อันเป็นมหามงคล

 

ทีนี้ มนุษย์ทั่วไป ทำได้แค่นั้น

อย่างดอกไม้บูชา ธูปเทียนบูชาที่เป็นแสงสว่าง

ที่เป็นกลิ่น ที่มีสัมผัสอันน่าชื่นใจ

แต่พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสไว้แล้ว ต่อให้เป็นดอกไม้บูชาของเทวดา

พระองค์ก็บอกว่า ไม่เทียบเท่าการปฏิบัติบูชา

 

ซึ่งถ้าคนทั่วไปฟังแล้วดูเหมือนกับเป็นคำที่สวยหรู เป็นคำที่ดูแพง

แต่ว่า ผู้ปฏิบัติ ผู้เจริญสติตามที่พระพุทธเจ้าประทานแนวทางไว้

จะทราบด้วยจิต ทราบด้วยใจว่าไม่ใช่แค่นั้น .. ไม่ใช่แค่คำ แต่ว่ามีความจริง

 

ถ้าหากว่าจิตใสใจเบา มีความเปิดเบิกบานแผ่กว้าง มีความสว่างเป็นมหากุศลได้

เราจะรู้สึกถึงดอกบัวบูชาอีกชนิดหนึ่ง

ไม่ใช่ดอกบัวในแบบที่เราต้องไปถอนมาจากสระ

แต่เป็น ดอกบัวในแบบที่เรารู้สึกถึง ความเบ่งบานอยู่กลางใจ

ใจนี่แหละ ดอกบัวที่บานออก ที่มีความสว่างที่มีความโล่ง ที่มีความพร้อมทิ้ง

 

ถ้าหากว่าใครก็ตามได้ทำมาถึงจุดที่ ถึงแม้ยังไม่ได้ดิบได้ดี

ยังไม่ได้มรรคได้ผล ได้ข้ามเส้นไป แต่รู้เฉพาะตนว่า

มีความพร้อม มีความเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กับการถอนอุปาทานออกจากกายนี้ใจนี้

 

อันนี้ แต่ละคนก็จะทราบได้ว่า นี่แหละเครื่องบูชาอันยอด เครื่องบูชาอันประเสริฐ

ถ้าพูดเป็นคำให้คนทั่วไปเข้าใจก็คือ ปฏิบัติเป็นบูชา

แต่เนื้อแท้อันเป็นแก่น อันเป็นที่สุด รู้ได้เฉพาะตน ก็คือจิตนี่เอง

 

ถ้าหากว่าจิตใสใจเบา มีความผ่องแผ้วเบิกบาน เปิดกว้าง

มีความรู้ชัดเข้ามาว่า กายนี้ใจนี้ มีรายละเอียด ที่ปรากฏ

เป็นของไม่มีใคร เป็นของไม่มีเจ้าของ

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัส

กายนี้ ไม่ใช่ของเธอ มันผูกกันขึ้นมาโดยกรรม มี ตับไต ไส้ พุง

มีเส้นเอ็นร้อยรัดกระดูก มีจิตครอง มีความรู้สึกนึกคิด ที่ยืนพื้นอยู่บนจิต

แล้วก็เกิดจากการกระทบกระทั่งทางกาย

 

อันนี้แหละที่พระพุทธองค์ตรัสว่า

กายนี้ไม่ใช่ของเธอ แต่ผูกขึ้นมาโดยกรรม

และกรรมเกิดจากความไม่รู้ นึกว่าเป็นเรา นึกว่ามีเรา

ถึงเกิดการสะสมทั้งบุญทั้งบาปขึ้นมา จนกลายเป็นกองบุญกองบาป

 

พอจะสิ้นชาติหนึ่งๆ กองบุญกองบาปนั้น

ก็เนรมิตชาติใหม่ภพใหม่ขึ้นมา แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปแบบนี้ ไม่รู้กี่ล้านกี่โกฏิครั้ง

จนพระพุทธเจ้าท่านต้องตรัสว่า เป็นอนันตชาติ คือ นับชาติไม่ได้

 

นับไม่ได้ว่า เฉพาะที่เราเสียน้ำตา

หลั่งน้ำตาให้กับการพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักนี้ มีปริมาณมากขนาดไหน

พระองค์ตรัสเทียบว่า เฉพาะน้ำตาที่หลั่งมา

เสียไปให้กับการพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักนี่

รวมแล้วยิ่งกว่ามหาสมุทรทั้งสี่

 

โลกนี้ จริงๆ แล้วเต็มไปด้วยน้ำนะ มีน้ำมากกว่าแผ่นดิน

แผ่นดินที่เราเดินทางไป แล้วรู้สึกว่าเดินเท่าไหร่ก็ไม่สุดเสียที

มีทั้งทะเลทราย ทั้งภูเขาน้ำแข็ง พื้นดินที่เป็นที่ลุ่มที่ดอน ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ มีน้อยกว่าน้ำนะ

 

แต่น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส

ก็ยังเทียบไม่ได้กับน้ำตา ที่พวกเราหลั่งให้กับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

 

ถ้าเรามองว่าสิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ คือการบูชาพระพุทธเจ้า

แล้วตรงไหนล่ะ ที่เป็นเครื่องบูชา?

 

เราเห็นออกมาจากจิตว่า จิตนี่แหละ คู่ควรกับการเป็นเครื่องของบูชา

แบบนี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตอบแทนพระพุทธเจ้า

ตามคำ ตามพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้ว

ที่ท่านตรัสว่า ดอกไม้เครื่องของบูชา นั่น เหล่าเทวดาท่านทำได้เป็นที่สุดแล้ว

มนุษย์ไม่สามารถที่จะถวายเครื่องของบูชาเป็นดอกไม้ ได้เกินเทวดา

 

แต่ว่า สิ่งที่มนุษย์สามารถบูชาได้

เทียบเสมอกับเทวดาสัมมาทิฏฐิ เทวดาผู้ปฏิบัติธรรมได้ ก็คือจิต

จิตของเรานี่แหละ ที่ปฏิบัติแล้ว แล้วเบ่งบานคล้ายดอกบัว

 

จริงๆ เบ่งบาน แล้วก็มีความสง่างามยิ่งกว่าดอกบัวทั่วจักรวาลด้วยซ้ำ

 

เวลาที่เราปฏิบัติแล้วรู้สึกถึงจิตมีความรู้สึกโล่ง กว้าง รู้สึกว่าสว่าง

มีความรู้สึกว่า จิตนี้ รู้ตื่น แล้วก็เห็นภาวะทางกาย ภาวะทางใจ

รายละเอียดทั้งหมดที่ปรากฏ เป็นเพียงเครื่องหลอก เครื่องล่อ

ให้ใจเข้าไปยึด แล้วใจไม่หลงไปยึด ยังมีความเบ่งบานอยู่ในอาการที่รู้ที่ตื่น

 

ตัวนี้ ถ้าหากเรารู้ได้ด้วยใจ ณ บัดนี้ว่า เราก็มีเหมือนกันนั่นแหละ

ขอให้น้อมใจพร้อมกัน ถวายเป็นพุทธบูชาพร้อมกันในวันวิสาขบูชาปีนี้

 

เมื่อดูด้วยตาเปล่าไปนานพอ ถ้าหากว่าเราเกิดความรู้สึกถึง

ความสว่าง ความโล่ง ความแจ้ง รู้สึกถึงความผ่องแผ้ว

รู้สึกถึงกำลัง ที่จิตเดินไป

 

เดินไปเพื่อรู้เพื่อดูว่า กายนี้กำลังแสดงความไม่เที่ยง

มีภาวะที่กำลังปรากฏโดยความเป็นของอื่น ของแปลกปลอม

หรือเป็นเครื่องล่อให้เข้าไปยึด ว่านี่ภาวะดี นี่ภาวะไม่ดี

 

เพียงเราสามารถรู้สึกได้ จากสัมผัสด้วยตาเปล่า เท่านี้

ก็ถือว่า เราได้มีส่วนร่วมอยู่ในความรู้สึก บูชาพระพุทธเจ้า

ด้วยการปฏิบัติ ด้วยจิต อันเป็นผลลัพธ์จากการเจริญสติ

ตามแนวที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ให้ดูว่า กายนี้ใจนี้ เป็นแค่รูปเป็นแค่นาม

เป็นแค่เรื่องล่อของหลอก ให้เข้าไปหลงยึด

 

ถ้าสามารถมองกายใจโดยความเป็นรูปนามได้

จะปรากฏในลักษณะความไม่เที่ยงของลมหายใจ ก็ตาม

จะปรากฏในลักษณะของขันธ์ห้า หรือ ธาตุหกก็ตาม เหล่านี้

ถ้าแค่เราดู แค่เรามองแล้วเกิดความรู้สึกตามกันได้ นี่ก็ถือว่ามีส่วนร่วมกันปฏิบัติบูชา

 

แพร มีประสบการณ์อะไรจะเล่าให้ฟังในวันนี้บ้าง

 

แพร : วันนี้ แพรขอกราบบูชาพระพุทธองค์ และกราบบูชาครูบาอาจารย์ คือพี่ตุลย์ ผู้ประเสริฐที่สุดค่ะ

 

วันนี้แพรปฏิบัติไป ขอถวายธาตุขันธ์แพรเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และอาจาริยบูชา

จิตรวมดวง มีความสว่าง กว้าง แผ่ออก และนึกว่าตอนนี้ธาตุขันธ์กำลังเดินเพื่อตอบแทน พระพุทธองค์ อยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์และพี่ตุลย์อยู่ค่ะ

และไม่มีใครอยู่ในตัวนี้ ก็ขอถวายธาตุขันธ์นี้ ต่อพระพุทธองค์

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนาจ้ะ การถวายบูชาสำเร็จแล้ว

 

ออ : ตั้งใจเหมือนที่คุณแพรได้กล่าวไปค่ะ ปฏิบัติถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และถวายเป็นอาจาริยบูชาด้วย

 

ก่อนหน้านี้ สองสามวันที่ไม่ได้คุยกับพี่ตุลย์ ก็เหมือนมีวิบากเข้ามา ทั้งกายใจ แต่ก็คิดว่า ยกถวายกายใจให้พระรัตนตรัยแล้ว วันนี้ปีติมาก ตั้งแต่พี่ตุลย์พูด จากที่เจ็บขา เจ็บอะไรมาก็หายไปหมด

 

ไม่มีความรู้สึกตัวตนอะไรตอนที่ปฏิบัติ และพยายามไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้น วันนี้ ถวายพระพุทธองค์อย่างเดียวเลย ก็มีความโล่ง ว่าง สว่างตามปกติ และมีกำลังใจมหาศาล

 

พี่ตุลย์ : ก็ถือว่าเราได้ปฏิบัติบูชาสำเร็จแล้ว ขออนุโมทนาทั้งออ และ แพร นะ

--------------------

- โจ / บอย –

 

พี่ตุลย์ : เมื่อเราอยู่ในห้องนี้ร่วมกัน เราเข้าใจตรงกันว่า

เครื่องบูชาคือจิต ไม่ใช่กาย ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่ท่าทาง

ไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกเหนือไปจากใจ ที่รู้อยู่ว่ามีความตื่น มีความเบิกบาน ประมาณไหน

 

ถ้าหากว่าเราเน้นกันที่ใจ มองไปรู้สึกอย่างไร

แล้วเรามีความสามารถที่จะเข้าถึงความรู้สึกแบบนั้น ด้วยตัวเองหรือไม่

พูดง่ายๆ ว่า มีสมบัติร่วมกันเป็นของกลาง ในห้องวิปัสสนานุบาลนี้

เป็นจิต เป็นใจ ที่ไม่ใช่ของใคร

 

เวลาที่จิตเบ่งบานขึ้นมา ไม่ใช่เบ่งบานขึ้น เพื่อให้ใครได้ดิบได้ดีเพียงลำพัง

แต่เป็นไปเพื่อที่จะให้กระแสของจิต ที่มีความเป็นพุทธ

จิตที่มีความพร้อมเบ่งบาน ที่มีความพร้อมเปิดกว้าง สว่างเป็นมหากุศล

ได้ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว ถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

การที่พวกเราได้รับรู้ร่วมกันว่า จิตนี้ที่เป็นของกลางแบบนี้ คล้ายๆ กัน

เหมือน ๆ กัน มีความเบ่งบาน มีความเบา มีความโล่ง มีความกว้าง มีความสว่าง

ในแบบที่จะมารู้ว่า กายนี้ใจนี้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของใคร

 

ของกลางแบบนี้แหละ ที่พออยู่ด้วยกันเป็นเครือข่าย เป็นทีม เป็นกลุ่มก้อน

เราจะรู้สึก ถึงความเบา ความโล่ง ความสว่างเท่าฟ้า

 

เอาความสว่างเท่าฟ้านั่นแหละ มาระลึกถึงพระพุทธเจ้าพร้อมๆ กัน

เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่า สร้างดอกบัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไว้ถวายบูชาพระพุทธเจ้า แล้ว

 

เวลาที่จิตมีความเบ่งบาน เวลาที่จิตมีความสว่าง เมื่อน้อมเข้ามารู้เข้ามาดู

ความเป็นกาย ซึ่งปรากฏอยู่ในอิริยาบถ อันเป็นปกตินี้แหละ

เราจะเห็นความเป็นของว่าง จากตัวตน

 

ใครจะเห็นแค่เป็นอิริยาบถนั่ง อิริยาบถยืน อิริยาบถเดิน ธรรมดาๆ

ก็นับว่าเห็นอิริยาบถ อันว่างจากบุคคลอันทรงอิริยาบถนี้อยู่แล้ว

 

แล้วถ้าจิตที่ว่าง ที่เบิกบานนั้น

สำหรับบางคน มีความใส มีความกระจ่าง ขนาดที่รู้ว่า ในอิริยาบถปัจจุบันนี้

ยกตั้งประกอบขึ้นมา ด้วยโครงกระดูก

 

นี่ก็เป็นความเบิกบานที่ประกอบพร้อม ที่มีความใส ที่มีความตื่น ที่มีความรู้ในอีกระดับหนึ่ง

 

และถ้าหากว่าใครก็ตาม ในเครือข่ายเดียวกันของพวกเรานี้

ถ้าหากว่าเห็นชัด เห็นอยู่ในความใส เห็นอยู่ในความกว้างใหญ่ไม่มีประมาณ

เห็นว่า ในโครงกระดูกนี้ ในความเป็นอิริยาบถนี้ มีจิตครอง

 

จิต ถ้าหากว่านิ่ง ถ้าหากว่าทรงอยู่ในลักษณะรู้ แบบเดิมได้

ก็จะเห็นตัวเอง มีความกว้าง มีความว่าง มีรัศมีแผ่ออกไป กว้าง หรือแคบประมาณไหน จากนั้น ก็จะรู้ว่า สิ่งที่เป็นรัศมีความสว่าง แยกเป็นต่างหาก

เป็นคนละชั้นกับภาวะของอิริยาบถ ที่กำลังทรงอยู่ในท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน

ถือเป็นคนละชั้น คนละพวกกับโครงกระดูก ที่เราสามารถรู้ได้เห็นได้ว่าอยู่ในกายนี้จริงๆ

 

ถ้าสามารถรับรู้ว่ากายอยู่ส่วนกาย ไม่มีใครอยู่ในนี้

ไม่มีใครอยู่ในกาย ไม่มีใครอยู่ในโครงกระดูก

ไม่มีใครอยู่ในอิริยาบถอันเป็นที่ตั้ง ปัจจุบันของจิต

 

เราก็จะรู้ว่า จิตที่อาศัยอยู่ มีความสว่าง มีความแผ่กว้างอยู่นี่

จริงๆ แล้วก็กำลังปรากฏโดยความเป็นของไม่เที่ยง

เป็นภาวะหนึ่ง ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

 

การเห็นทั้งจิต การเห็นทั้งกายพร้อมกัน ว่าไม่มีใครอยู่ในนี้นี่แหละ

เป็นจิตที่พร้อมถวายบูชา เป็นเครื่องบูชาอันเอก

เป็นเครื่องบูชาอันยอดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เครื่องบูชาอื่นยิ่งกว่านี้ไม่มี

 

ถ้าเราปฏิบัติด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงทาง

เราจะไม่ปฏิบัติด้วยการมาคาดหวังว่า จะให้กายนี้ใจนี้ ปรากฏเป็นของดี

ตรงข้าม เราปฏิบัติเพื่อให้เห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นของน่าทิ้ง

 

ต่อให้เห็นว่าจิตไม่ดี ต่อให้เห็นว่ากายไม่ดี

แล้วรับรู้ว่ามันเป็นแค่ลักษณะปรากฏชั่วคราวอย่างหนึ่งของขันธ์ห้า

นั่นถือว่า จิตมีความตรง มีความถูก พร้อมที่จะถวายเป็นเครื่องบูชาเช่นกัน

 

แต่ถ้าหากว่า เราตั้งใจเอาดิบเอาดีให้ตัวเอง

เราอยากได้อะไรดีๆ เพื่อมรรคเพื่อผล หรือเพื่อรางวัลอื่นใด

นอกเหนือจากการทิ้ง อุปาทานในกายใจ

อย่างนี้ ยังไม่ถือเป็นเครื่องบูชาที่ดีพอ ที่คู่ควร

 

คีย์เวิร์ด .. เราปฏิบัติมาเพื่อทิ้ง ไม่ใช่เพื่อเอา

จะภาวะดีหรือไม่ดี ขอแค่เราเห็นว่าน่าทิ้งเป็นอันว่าใช้ได้หมด

 

โจ : ตอนที่เดินจากคราวที่แล้วที่ให้สปีดเร็วขึ้น รู้สึกจิตใสขึ้นเหมือนพี่ตุลย์บอกครับ

 

พี่ตุลย์ : โจก็คงเห็นแล้วว่า ความใสยังใสขึ้นได้อีก

ใสขึ้นได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่เรายังทำและมีความต่อเนื่อง

สิ่งที่เป็นความใส สิ่งที่เป็นความเบา สิ่งที่ปรากฏอยู่พร้อมกับการมีสติ

จะเห็นว่า สว่าง เดี๋ยวก็กลายเป็นไม่สว่าง

ใสเดี๋ยวก็กลายเป็นขุ่น ขุ่นเดี๋ยวก็กลายเป็นใส สลับไปมาอยู่อย่างนี้

 

แต่ประเด็นคือ ยิ่งเรามีความเข้าใจมากขึ้นเท่าไหร่

ยิ่งเราเห็นมันสลับไปมามากขึ้นเท่าไหร่

เวลาที่มันกลับมาใส จะใสแบบพร้อมรู้ และสามารถจะอยู่ได้นาน และมีความตั้งมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ

 

บอย : ถ้าเทียบเป็นช่วงการปฏิบัติ ช่วงนี้คงเป็นขาลงครับ ไม่ใช่ช่วงที่รู้สึกสว่างใส

แต่ก็ทำไว้ในใจว่าเราเอาขันธ์นี้มาดูความไม่เที่ยง ก็เดินดูไป

ก็มีช่วงที่มีความมืดเข้ามาปิด มีความสว่างแผ่มาได้บ้างบางช่วง

พยายามตั้งใจจะใช้ขันธ์นี้เดิน และบูชาพระพุทธเจ้า

 

พี่ตุลย์ : อย่างตอนนี้ เราก็เห็นว่า ขันธ์อยู่ส่วนขันธ์ ส่วน สติ

ก็สามารถรับรู้ว่า ขันธ์กำลังดีหรือไม่ดี

ตัวนี้แหละ สำคัญยิ่งกว่าการที่เรามีความใสอยู่ตลอดเวลา

 

เพราะคนที่ใสอยู่ตลอดเวลา บางทีจิตไปยึดความใสโดยไม่รู้ตัว

 

แต่ถ้าหากเราสามารถทราบได้ว่า ที่ปรากฏเป็นของขุ่นบ้าง ใสบ้าง นี้

เป็นภาวะ ที่ไม่มีตัวใคร .. นี่แหละ สำคัญกว่า

 

ถ้าหากเรามีสติที่ออกมาดู ออกมารู้ ออกมาเป็นผู้สังเกตการณ์

แล้วก็มีความตระหนักว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของๆ ใคร

อันนี้แหละสิ่งประเสริฐ อันนี้แหละ สิ่งที่จะถวายเป็นพุทธบูชา ร่วมกัน

 

โจมีอะไรจะกล่าวเป็นพุทธบูชาไหม

 

โจ : ก็ขอถวายการปฏิบัติเป็นพุทธบูชา และ อาจาริยบูชา ขอถวายการปฏิบัติ ต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพี่ตุลย์ผู้เป็นครูบาอาจารย์

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนานะ โจ การปฏิบัติเป็นบูชาสำเร็จแล้ว

 

บอย : ก็ขอโอกาสถือพี่ตุลย์เป็นตัวแทน จะขอตั้งใจ ไม่เอาทั้งกุศล ทั้งอกุศล ขอลอย สละออกไปให้หมด

และขอใช้กายใจนี้ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อใช้กายใจนี้สืบทอดในคำสอนของพระพุทธองค์ครับ เพื่อจะทำสักกายทิฏฐิให้ขาด และเพื่อเป็นอุปกรณ์รองรับธรรมะของพระพุทธองค์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

 

พี่ตุลย์ : ความปรารถนาของบอยสำเร็จแล้ว ณ จุดที่บอยคิด และ เปล่งวาจาออกมา โดยพวกเราเป็นสักขีพยาน ขออนุโมทนาทั้งบอย และ โจ

 

--------------------

- นิด / ปอย –

 

พี่ตุลย์ : เมื่อจิตตั้งอยู่ได้ถูกที่ เมื่อสติตั้งอยู่ได้ถูกส่วน เห็นพร้อมกันไปทั้งภาวะทางกาย ภาวะทางใจ

รับรู้ว่าความสว่างของจิตเป็นอย่างไร แตกต่างจากภาวะที่ มีหัว มีตัว มีแขน มีขาของกายอย่างไร

 

เห็นแต่ว่ากายสักแต่เป็นธาตุดินที่ปรากฏตั้งอยู่ด้วยกระดูก ที่มีกระดูกสันหลัง

มีกะโหลก มีกระดูกแขน กระดูกขา กระดูกมือ กระดูกเท้า

 

กระดูกเท้านี่เห็นตอนที่เป็นตัวตั้งนะ ว่าเวลากระทบๆ ไป

กระดูกมือก็เห็นตอนที่เคลื่อนยก ชูขึ้น สู่ความว่างเบื้องบน

ในเวลาที่จิตเรามีความใสมากพอ รับรู้ขึ้นมา

จะเป็นเค้าโครงก็ตาม หรือจะเป็นของปรากฏชัดแจ่มแจ้งก็ตาม

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาก็คือ จะจำไม่ได้ว่า

หน้าตาเรา เป็นแบบนี้ เป็นโครง เป็นซี่ เป็นซี่ๆ แบบนี้เองหรือ

 

ถ้าหากว่าเรารับรู้ถึงความปรากฏอยู่จริงของกาย ที่เป็นแก่นแท้ๆ

ออกมาจากข้างใน ด้วยใจที่ไม่ลืมตัวเองว่ามีความใส มีความสว่าง มีความว่างอยู่ประมาณไหน

ยิ่งถ้าหากว่ารัศมีของจิตแผ่ออกไป มีความคงเส้นคงวา

จะยิ่งปรากฏชัดว่าจิตเป็นธรรมชาติรู้ ธรรมชาติสว่าง

ธรรมชาติที่มีความตั้งอยู่ ในแบบที่ไม่มีหน้าตา ไม่มีตัวใคร

 

ส่วนกาย เป็นธรรมชาติอีกแบบหนึ่ง มีความเป็นโครงเป็นซี่

มีความเป็นธาตุดิน เป็นที่ตั้งของธาตุอื่นๆ ทั้งปวง

ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจ ซึ่งก็คือธาตุลม ไออุ่น ซึ่งก็คือธาตุไฟ เราจะรู้สึกอุ่นๆ ในตัว

แต่จริงๆ ธาตุไฟนี่ โดยถ้าคำแปลก็คืออุณหภูมินะ

บางทีถ้าธาตุไฟลดระดับลง จนถึงจุดที่เย็นชืด เราก็รู้สึกว่าตัวเย็น

แต่ถ้าธาตุไฟ มีความกำเริบ ร้อน ก็รู้สึกว่า อุณหภูมิในตัวสูงขึ้นอย่างนี้เป็นต้น

 

แล้วก็มีธาตุน้ำ อย่างน้ำลายในปาก หรือว่าถ้าจิตมีความใส เบา

ขนาดเห็นเข้าไปในรายละเอียดโครงสร้างของกาย

ก็จะเห็นทั้งน้ำเลือดน้ำหนอง น้ำฉี่ ที่เป็นของเหลว ไหลไปไหลมา

น้ำเลือดน้ำหนองอะไรต่างๆ เวลาที่เราเห็น จะเห็นเป็นเหมือนกับน้ำเจิ่งนอง อยู่ในท่อสกปรก

หรือว่าน้ำครำที่เต็มไปด้วยความเหม็นเน่า

 

ลักษณะที่ปรากฏของดิน น้ำ ไฟ ลม หรือมหาภูตรูปสี่นี้

เวลาที่เดินไปเดินมาก็ตาม เวลาที่ยืนอยู่กับที่ก็ตาม เวลาที่หยุดหมุนก็ตาม

จะปรากฏเหมือนถังส้วม ถังส้วมที่สกปรกกว่าส้วมที่เขาไม่ได้ราดน้ำ

ส้วมที่เขาไม่ได้ทำความสะอาด

 

การปรากฏทางกาย จะมีลักษณะอย่างไร

ใจ จะรู้สึกว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอย่างนั้น

ถ้าหากว่าใจมีความปลอดโปร่ง มีความสบาย มีความใส มีความเป็นต่างหากจากกาย

 

เมื่อเราเห็นความเป็นต่างหาก ความเป็นคนละพวก คนละภาวะ

กายมีความสกปรกโสโครก แต่ว่าใจมีความสะอาด

มีความแห้ง มีความเบา มีความสว่าง เป็นอีกลักษณะหนึ่ง คนละเรื่องกัน

เราก็จะรู้ว่า รูปกับนาม เป็นคนละอัน

 

พูดง่ายๆ ถ้ายิ่งเห็นชัดเท่าไหร่ ยิ่งมีความตระหนัก มีความตื่น มีความรู้ มีความประจักษ์

แล้วก็มีความแน่วเข้าไป หยั่งลงไป ทราบว่า

ภาวะทางกาย กับภาวะทางใจเป็นคนละอันกัน ไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน

 

แล้วเวลาไหนที่เราย้อนกลับมาดู

คือพูดง่ายๆ กลับมามีความรู้สึกในตัวในตน

เห็นว่า ภาวะทางกาย คือภาวะของผิวที่แห้งสะอาด สบาย

ก็กลับหลงขึ้นมาใหม่กว่า เออ กายเป็นของดี

 

ส่วนใจ บางทีถ้าหลงกายมากไป ก็จะพบว่า มันไม่สว่าง ไม่เบา ไม่ใส ไม่เบิกบาน ไม่มีความแผ่กว้างออกไป

 

เราก็จะเห็นว่า จิตนี่สามารถพลิกผัน กลับเปลี่ยน

จากสว่างเบิกบาน กลายเป็นมืด กลายเป็นฟุ้ง กลายเป็นยุ่ง

เห็นไหม ภาวะทั้งทางกายทางใจบางทีปรากฏพลิกกลับไปกลับมา

 

ยิ่งใจใสมากขึ้นเท่าไหร่ กายยิ่งน่ารังเกียจมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งใจขุ่นมากเท่าไหร่ กายยิ่งเป็นของน่ารักน่าพิสมัยมากขึ้นทุกที

 

นี่ ตัวนี้นะ พอเราเห็นความแตกต่างของภาวะ ระหว่างกายกับใจ

แล้วมีความเนื่องไปด้วยกัน

 

กายเป็นของล่อ ส่วนใจ เป็นของที่จะเข้าไปยึด

จะเป็นภาวะที่พร้อมพุ่งเข้าไปยึด

 

หรือกาย สักแต่เป็นที่อาศัยระลึก เป็นเครื่องระลึก

ว่ามันตั้งอยู่โดยความเป็นอิริยาบถ แบบนี้ประมาณนี้

เพื่อที่จะล่อจิต จะมีความมายึดหรือไม่ยึด

 

ถ้าจิตมีความไม่ยึด มีความตื่น มีความรู้ ทุกอย่างจะพลิกกลับตาลปัตร

จากตามกระแส กลายเป็นทวนกระแสทันที

 

ฉะนั้น ถ้าหากว่า เรายิ่งรู้ เรายิ่งดูกายใจ โดยความเป็นรูปนาม

แยกออกจากกันมากขึ้นเท่าไหร่ ปัญญาความกระจ่าง

ความเห็นความสัมพันธ์ ระหว่างกายกับใจ ก็จะยิ่งลึกซึ้งมากเท่านั้น

มันกลับไปกลับมาได้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้

 

แล้วตอนที่เห็นว่า อาการของจิต

ที่สามารถจะมืด ที่สามารถจะยุ่งตามธรรมชาติ

พอพัฒนาขึ้นให้กลายเป็นใส ให้กลายเป็นสว่าง ให้กลายเป็นกระจ่าง กว้าง

จะไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย

คือเรามาทำสมาธิ เรามาเดินจงกรม เรามาเจริญสติ จนกระทั่งใจหายยุ่ง

กลายเป็น เปลี่ยนจากฟุ้งเป็นสงบ เปลี่ยนจากขุ่นกลายเป็นใส

เห็นว่ามันเป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างนี้แหละ

เรียกว่าเราปฏิบัติโดยธรรม เราปฏิบัติตามทาง

จนกระทั่งเห็นเหตุ เห็นผล

 

ส่วนภาวะทางกาย จะปรากฏรูป ปรากฏลักษณะอย่างนี้

ถ้าดูเข้าไป ยิ่งเห็นชัดขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งจะมีความเข้าใจ

มีความตระหนัก และบอกตัวเองได้ว่า

เออ ไม่มีการที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มต้น

ไม่ได้สั่งใครทำ ไม่ได้เป็นคนออกแบบ ไม่ได้เป็นคนเอาอิฐเอาปูนมาก่อสร้าง

 

แต่อยู่ๆ มันปรากฏของมัน ด้วยความเป็นอย่างนี้ เสร็จแล้ว จิตที่ครองอยู่

ก็ต้องมาบริหาร มาจัดการ มารับผิดชอบมัน

มันหิวก็ต้องหาอะไรให้มันกิน

มันเกิดแรงดันที่จะอยากจะปลดปล่อย อุจาระ ปัสสาวะ

ก็ต้องเข้าห้องน้ำไปหาที่ระบาย ไปหาที่ปลดปล่อยให้มัน

 

ท่านจึงมีกล่าวไว้ เหมือนกับว่า

กายนี้ เป็นของที่เราต้องแบกไปแบกมา รับผิดชอบความเป็นมัน

ทั้งที่เราไม่ได้เคยออกแบบ ไม่ได้เคยก่อสร้าง

ไม่เคยคิดเลยว่า จะต้องมีอาหารเข้าทางปาก แล้วก็ต้องมีของเสียขับถ่ายออกทางทวาร

แต่เราก็ต้องรับผิดชอบมัน บริหารมันจัดการมัน

 

ที่วุ่นวายต้องทำอาชีพ ต้องมีรายได้ ต้องไปตบตีแย่งชิงกับใครต่อใคร

ก็เพราะกายนี้เป็นเหตุ

 

กรรมนี่นะ ที่เราสร้างๆ ไป

ต้องมารับผลอะไรแต่ละชาติ แต่ละครั้ง แต่ละชีวิต

ก็มาจากเหตุที่เราไม่ได้ออกแบบนี่แหละ

 

ภาวะทางกายแบบนี้ ถามว่า เราต้องรับผิดชอบมันไปตลอดไปไหม

แน่นอน ต้องรับผิดชอบตลอดไป

ตราบเท่าที่เรายังไม่รู้ว่า เราไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้

 

ความไม่รู้นี่แหละ ทำให้เรายึด

นึกว่าต้องรับผิดชอบไปเรื่อยๆ นึกว่าต้องพิศวาสมันไปเรื่อยๆ

ต่อเมื่อมาปฏิบัติ จนกระทั่งจิตกับกายแยกออกจากกันได้

เห็นได้ว่า ไม่มีใครอยู่ในกายนี้ ไม่มีใครอยู่ในจิตนี้

นั่นแหละ ทางสว่างมาแล้ว

 

ที่เรารู้สึกว่าเราจะต้องรับผิดชอบ จริงๆ ไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้

ถ้าหากว่าเราตัดได้จริงๆ รู้ได้จริงๆ รู้แจ้งจริงๆ ว่า

กายนี้ไม่มีใครอยู่ จิตนี้ ไม่มีใครเลย

 

ปอย : มีช่วงที่เกิดปีติสุข รับรู้ถึงกายที่ไม่มีใครในนี้

เป็นช่วงที่รู้เท้ากระทบ มีความสว่าง และมีความทึบ

ในเวลาที่มีความทึบเข้ามา แต่ละรอบการเดิน จิตจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

โดยที่เราไม่ได้บังคับ แต่จะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์

บางทีก็สว่าง ใส บางทีก็ทึบและแคบลง

 

พี่ตุลย์ : คีย์ที่พี่จะบอกก็คือ สามารถกลับมารู้ทั้งกายทั้งจิตควบคู่กันไปได้

แตกต่างจากวันก่อน ที่เราหลงไปเพ่งกายอย่างเดียว จะเอาให้เห็นกระดูกทั้งตัว

 

วันนี้ กลับมาเห็นแยกว่า จิตอยู่ส่วนจิต กายอยู่ส่วนกาย

ซึ่งประสบการณ์รับรู้ จะเห็นได้เลยว่า แตกต่าง

 

นิด : สามารถหลับตา เห็นได้เป็นปกติแล้วค่ะ

 

พี่ตุลย์ : นั่นแหละ จากเห็นแล้วตกใจ กลายเป็นเห็นเป็นปกติ

อันนี้คือเป็นสิ่งที่อยากจะบอกทุกท่านด้วยนะ

 

ถ้าปฏิบัติไปแล้วจิตใสขึ้นเรื่อยๆ เกิดความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมา อย่าเพิ่งไปตกใจ

เพราะนั่นเป็นแค่วาระแรก พอเห็นเป็นปกติแล้วจะเฉยๆ นะ

ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอะไรที่แตกต่างจากชีวิตปกติธรรมดาทั่วไปเลย

 

นิด : ทำให้เราปฏิบัติได้มากขึ้น เพราะในแต่ละรอบที่เดิน จะเห็นชัด

อย่างไปดูตรงประตู บ่อยมากเลย พอลืมตามาเพื่อจะเช็ค

พอหลับไปจะมืดไปแป๊บหนึ่ง แล้วค่อยกลับมา

 

ทุกก้าวที่เดิน จะเห็นว่าตอนไหนที่มืด ตอนไหนที่เบลอ ตอนไหนที่สว่างออกไป

แต่ก็จะติดตรงที่พอย้อนกลับมาดูกาย หรือตอนยกท่าสอง

ก็ยังไม่เห็นเป็นกระดูก ยังเห็นเป็นมือ หรือบางทีมือใสไปเลย

แต่ก็กลับมาเป็นมือเหมือนเดิม

 

พี่ตุลย์ : ตรงนั้นไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่า เราแค่รู้สึกว่ากายนี้เป็นวัตถุ

มีความรู้สึกว่า เป็นอะไรที่ไม่แตกต่างจากวัตถุอื่นๆ รอบห้อง

แล้วการเห็นห้องชัด เดี๋ยวต่อไปจะค่อยๆ เห็นย้อนกลับเข้ามา

 

และที่นิดบอกนั่นแหละ คีย์เวิร์ด .. เป็นกายอะไรใสๆ

แล้วมันจะใสขึ้นๆ เรื่อยๆ จนกระทั่ง เปิดโปงทั้งหมดออกมาเอง

แล้วถึงปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี มาถึงจุดที่เป็นวัตถุชัดแล้ว

และเวลาที่ .. นิดก็จะเป็นเหมือนกับพยานบุคคลคนหนึ่งที่ได้ทราบว่า

ถ้าปฏิบัติแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ข้ามเส้น

แต่ถ้าหากเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จะมีความรู้สึกไม่สงสัย ไม่คาใจ

ไม่ย้อนกลับไป เพื่อที่จะมาคิด หรือมาวกวนกับเรื่องวิธีปฏิบัติ เรื่องอะไรต่อมิอะไร

 

ที่เราทำๆ กันไป เรียกว่าอุบายปฏิบัติ แต่แก่นจริงๆ ที่แท้ๆ แล้ว คือจิต

จิตแบบที่พระพุทธเจ้า อยากให้เกิดขึ้น

นั่นก็คือ เห็นว่ากายนี้ ใจนี้ สักแต่เป็นเครื่องอาศัยระลึกให้เรารู้ว่า

ไม่มีใครอยู่ในนี้ ไม่มีตัวใครที่เป็นเจ้าของ ไม่มีอะไรทีเป็นของๆ ใคร

มีแต่เครื่องระลึกว่า ทั้งหลายทั้งปวง เป็นไปตาม เหตุปัจจัย

 

และทั้งหลายทั้งปวง เกิดขึ้นเพื่อตั้งความเป็นทุกข์ของมันอยู่แป๊บหนึ่ง

แล้วก็ต้องสลายตัวไป

 

นี่ แก่นสารอันเป็นที่สุดอยู่แค่ตรงนี้

 

ปอย : ปอยขอถวายการเจริญภาวนามาทั้งหมดตลอดชีวิตนี้ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และบูชาครูบาอาจารย์อย่างพี่ตุลย์ค่ะ

และขอใช้โอกาสนี้กราบขอบพระคุณในความเมตตากรุณา ของพี่ตุลย์ ขอกราบแทบเท้า และขอส่งดวงวิญญาณยายไปสู่สรรค์ค่ะ

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนาจ้ะ การปฏิบัติของปอยสำเร็จแล้วนะ

ขอให้ธรรมที่เจริญแล้ว เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

 

นิด : ขอถวายดวงจิตตั้งแต่อดีตชาติ มาจนถึงวันนี้ ที่ได้ทำได้ดีแล้ว

ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชา และพี่ตุลย์เป็นอาจาริยบูชาค่ะ

และชาตินี้ ขอเป็นพยานบุคคลคนหนึ่งของพี่ตุลย์ด้วยค่ะ

 

พี่ตุลย์ : พี่ขออนุโมทนา ในพุทธบูชาของนิด และ ปอยได้สำเร็จลุล่วงลงไปแล้ว ก็ขอให้ธรรมะที่เจริญแล้วนี้ เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปจนสุดทาง

 

--------------------

- เจมี่ / น้ำอบ –

 

พี่ตุลย์ : ในฐานะผู้ดู ผู้เป็นพยานความสว่างที่มีความต่อเนื่องมา

เราเองเราก็อยู่ในฐานะผู้ปฏิบัติ เช่นกัน

ถ้าหากว่าจิตเราใส ใจเราเบา อยู่ในอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันของเราเอง

เห็นต่อเนื่องมาว่า ผู้สาธิต ส่งความสว่าง ส่งปีติ ส่งความสุข

ส่งความรับรู้ว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ไม่ใช่เรา ถือว่าเป็นตัวตั้ง

 

ตัวที่มากกว่าผู้สาธิตคือ ผู้ดูที่มีจำนวนมากกว่า

คือผู้ดูที่มีจิตใสใจสว่างอันเกิดจากการเห็นว่า กายนี้ใจนี้ ไม่ใช่เรา เหมือนๆ กัน

 

ก็จะเป็นเครือข่ายความสว่าง เครือข่ายความเบิกบาน

ยิ่งวันก็จะยิ่งมีความผูกมีความโยง เหมือนเราอยู่ในกระแสอะไรแบบหนึ่ง

 

ปกติเวลาที่อยู่กับตัวเองตามลำพัง

เราขึ้น เราก็ขึ้นคนเดียว เราลง เราก็ลงคนเดียว

เราจะรู้สึกแยกออกมาเป็นต่างหาก

 

แต่พอมามีความผูก มีความโยง มีความเชื่อมสัมพันธ์แบบจิตต่อจิต

จะมีความผูกความก้าวหน้า ผูกทิศผูกทางที่จะเห็นว่า

กายนี้ใจนี้ เป็นแค่ภาวะ ไม่ใช่บุคคล

ด้วยทิศทางนี้ก็จะทำให้เรารู้สึกเหมือนกับ

จิตนี้เป็นเพียงจิตหนึ่ง ในจิตหลายๆ ดวง

 

ความสว่างที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ใช่ของเรา

เป็นความสว่างหนึ่ง ในอีกหลายๆ ความสว่าง

 

ถ้ารู้สึกได้อย่างนี้พร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะผู้สาธิต หรือผู้ดู

ก็จะไม่มีความแตกต่าง ระหว่างผู้สาธิตกับผู้ดูหรอก

ก็เป็นขันธ์ห้าเหมือนกัน กำลังแสดงภาวะความเป็นขันธ์ห้าเหมือนๆ กัน

เหมือนๆ กันกับสติที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละผู้แต่ละนาม

 

ความเป็นรูปความเป็นนาม ที่ไม่มีใครอยู่ในนี้ เมื่อมาผูกมาโยงกัน

ด้วยสติที่เห็นอยู่ว่า สักแต่มีรูป สักแต่มีนามปรากฏ

 

จะเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรามาปฏิบัติ

เพื่อเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม

ซึ่งหมายความว่า กายนี้ไม่ได้มีอยู่หนึ่งเดียว

มีทั้งกายปัจจุบัน กายอดีต และ กายอนาคต

รวมทั้งกายภายในและกายภายนอก

 

จิตก็เหมือนกัน ความรู้สึกเบิกบาน ความรู้สึกปีติ

ความรู้สึกว่าสว่างกว้างขวาง เหล่านี้เป็นแค่หนึ่งในหลาย

 

ถ้าเราสามารถรู้สึกร่วมกัน ณ บัดนี้ว่า ความสว่าง ความกว้าง

ความเป็นมหากุศลของจิตที่กำลังปรากฏอยู่ ณ เวลาปัจจุบัน

เป็นแค่จิตหนึ่ง เป็นแค่เวทนาหนึ่ง เป็นแค่การปรุงแต่งชนิดหนึ่ง

ไม่ได้มีอยู่แค่ในอิริยาบถนี้ ที่เรารู้สึกว่าเป็นฝั่งนี้

แต่มีฝั่งโน้น มีคนอื่นๆ มีขันธ์อื่นๆ ที่ปรากฏพร้อม

อยู่ในเครือข่ายความเป็นผู้ปฏิบัติ ความเป็นผู้เจริญสติ ความเป็นของอื่น

 

ที่เรารู้สึกว่าผู้สาธิตเป็นของอื่น

รู้สึกว่าผู้ร่วมรับชม รับฟังมาด้วยกันเป็นของอื่น รู้สึกอย่างไร

ความเป็นของอื่นก็ปรากฏอยู่ในขันธ์ห้าที่อยู่ในอิริยาบถปัจจุบันฝั่งนี้ด้วย

 

เหมือนกัน ไม่มีอะไรต่างกัน ไม่มีใครเป็นผู้สาธิต ไม่มีใครเป็นผู้ดูผู้ชม

มีแต่ผู้ที่รู้ว่า กำลังปรากฏขันธ์หนึ่งอยู่ในหลายๆ ขันธ์

 

กำลังปรากฏธาตุหนึ่งอยู่ในหลายๆ ธาตุ

กำลังปรากฏความเป็นกาย กำลังปรากฏความเป็นใจ

กายในกาย ใจในใจ ความหมายก็คืออย่างนี้

 

ถ้าหากเราสามารถรับรู้ได้ว่า นี่เป็นแค่ของชิ้นหนึ่งในหลายๆ ชิ้น

รู้ไปพร้อมกัน ถึงความปรากฏอยู่จริงๆ ของวัตถุหลายๆ ชิ้น

 

ความปรากฏอยู่จริงๆ ของจิตหลายๆ ดวง

แล้วรู้สึกว่า ไม่มีใครอยู่ในกายเหล่านี้เลย ไม่มีใครอยู่ในใจเหล่านี้เลย

มีแต่ความเสมอกัน ของความเป็นสภาวธรรม ทั้งฝ่ายรูปฝ่ายนาม

 

ตัวนี้ จะได้กลายเป็นผู้สาธิตพร้อมกันทุกคน

 

ของเจมี่ ตั้งแต่วันนั้น กลายเป็นสติที่บริสุทธิ์ขึ้น

มีภาวะแสดงโดยความเป็นภาวะ

ไม่ได้มีใครที่กำลังปฏิบัติ ไม่ได้มีใครที่จะได้อะไร

มีแต่ภาวะที่กำลังปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบันนี้

ความพอใจที่จะเห็นในปัจจุบันนี่แหละ สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

 

ถ้าหากว่าเราเห็นเฉพาะภาวะที่กำลังแสดงอยู่ในปัจจุบันจริงๆ

จิตไม่ยื่นออกไปข้างหน้า และไม่พะวงไปข้างหลัง

จะเป็นลักษณะของสติที่บริสุทธิ์ จำไว้นะ บอกทุกท่านนะครับ

 

สติที่บริสุทธิ์ จะเกิดก็ต่อเมื่อภาวะที่กำลังปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตา

ไม่เกี่ยวอะไรกับภาวะที่เคยเกิดแล้ว หรือกำลังจะปรากฏในอนาคต

มีแต่ความไม่มีใคร .. ความไม่มีใครนี่ เป็นพื้นฐานความรู้สึกที่สำคัญมากๆ

 

พอมีความไม่มีใครอยู่จริงๆ เป็นฐานรองรับ

อาการที่จะพุ่งไปข้างหน้า หรือย้อนไปข้างหลัง จะหายไป

เหลือแต่ใจที่เกลี้ยงๆ อยู่ในปัจจุบัน

 

ใจที่เกลี้ยงๆ อยู่ในปัจจุบัน ใจที่เป็นอิสระในปัจจุบัน

ที่จะมีความสามารถในการรู้การเห็นอะไรตามจริง

 

ของน้ำอบ พอมีสัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องตั้ง

เราก็จะรู้สึกถึงอาการที่ภายในแย่งชิงกันน้อยลงๆ เรื่อยๆ

กลายเป็นความว่าง กลายเป็นความสะอาด

กลายเป็นความใสเบาที่ไม่มีใครเอาอะไร

มีแต่ภาวะกำลังแสดงตัว ไม่ใช่มีใครกำลัง ทำอะไรอยู่

หรือว่าจะได้อะไรมา

 

ความเข้าใจนี่แหละสำคัญที่สุด

เมื่อเราปฏิบัติไปถึงไหน แล้วความเข้าใจตามไปถึงนั่น

จะรู้ว่าเส้นทางการเจริญสติแบบที่เราเพียรเจริญรอยตามพระพุทธเจ้า

เจริญรอยตามพระศาสดาและเหล่าสาวกที่เป็นอรหันต์บุคคล

ไม่ใช่ความเจริญก้าวหน้าแบบที่เราเคยๆ ผ่านๆ มากันทั้งสังสารวัฏ

แต่เป็นความเจริญก้าวหน้าในแบบที่ ยิ่งวัน ยิ่งไม่มีใครมากขึ้นทุกที

ยิ่งวันยิ่งมีแต่สภาวะ ยิ่งวัน ยิ่งมีแต่ทุกข์ปรากฏ

 

นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป

นี่เป็นสิ่งที่ท่านวชิราเถรี ผู้เป็นภิกษุณีกล่าวไว้ตั้งแต่ยุคพุทธกาล

 

น้ำอบ : เป็นอิสระจากทุกอย่างเลยค่ะ จากอะไรที่รัดรึง กลายเป็นเบาบาง รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยในเส้นทางนี้

 

พี่ตุลย์ : นั่นเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ นะ

พอเราตัดโซ่ตรวนที่เป็นเครื่องร้อยรัดที่หยาบๆ ออกไปได้

ก็เหลือแต่ใจ ที่เป็นพุทธ นี่เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา

 

เจมี่วันนี้ดีมากนะ คำว่าดีมาก ไม่ใช่ใครดี แต่สภาวะดี

สติมีความบริสุทธิ์ พอสติบริสุทธิ์ และสภาวะดี

ความหมายของพี่คือ ไม่มีใครที่ทำได้ดี มีแต่สติที่ปรากฏอยู่

มีแต่ภาวะความเป็นกายภาวะความเป็นใจที่เป็นอิสระ

แล้วก็ไม่มีอาการยุ่งเหยิง ไม่มีอาการติดพัน ไม่มีอาการขัดแย้ง

 

เจมี่ : เห็นระหว่างขันธ์ แยกเป็นชั้นๆ ค่ะ อาศัยอยู่ในธาตุดินนี้

จะมีความคิดกับความรู้สึกก็แยกกันคนละชั้น

กายที่สั่น ก็มาจากจิตที่สั่น พอเห็นว่าจิตที่สั่นส่งผลทางกาย

มันก็ค่อยๆ สงบลง ก็ดูแบบใจเย็นได้ ไม่จำเป็นต้องเอาดีก็ได้

ดูไปตามสภาวะที่เขาเป็นให้เห็น ณ ตอนนั้น

 

น้ำอบ : ขอถวายจิตวิญญาณและร่างกาย ที่มีความรู้สึกว่า

เป็นชาติที่คุ้มค่า และดีที่สุดที่ได้เกิดมาเจอครูบาอาจารย์อย่างพี่ตุลย์

ได้พบพุทธศาสนา และได้หลักในการพาชีวิตที่เหลืออยู่ในสังสารวัฏนี้

เพื่อเดินในเส้นทางตรง

ก็ขอถวายความไม่ยึดไม่อยากทั้งหมดที่เริ่มเข้าใจแล้ว ถวายเป็นพุทธบูชาค่ะ

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนา พวกเราก็ได้เป็นสักขีพยาน และก็ได้ประจักษ์ร่วมกันว่า

การที่มีจิตเบิกบาน เป็นอิสระจากพันธะ พันธนาการทั้งปวง

มีความคู่ควรแก่การถวายเป็นพุทธบูชาเพียงใด

 

เจมี่ : การปฏิบัติทั้งหลายที่เจมี่ได้ปฏิบัติมา

ตั้งแต่ชาติที่ได้รู้จักการปฏิบัติในพุทธศาสนา ทุกกุศลจิตจนถึงวันนี้

ขอน้อมถวายเป็นการปฏิบัติบูชาแด่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ในศาสนานี้

และถวายเป็นการบูชาคุณครูบาอาจารย์ พี่ตุลย์

และเจมี่ขอกราบพี่ตุลย์เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้านับจากวันนี้ค่ะ

ในความเมตตาที่พี่ตุลย์มีต่อพวกเราทุกคน

 

พี่ตุลย์ : พี่ก็ตั้งใจว่าจะให้พวกเรานี่แหละ

ได้เป็นพยานบุคคล กลุ่มบุคคลที่เป็นพยานของพระพุทธเจ้า

 

เราอาจมอง อาจฝากไว้ที่พี่ก่อนไม่เป็นไร พี่ก็ขอรับฝากไว้

แต่จริงๆ ใจของพี่ เดี๋ยวจะได้เห็น

ยิ่งต่อๆ ไป เรามีพยานบุคคลเพิ่มขึ้นในห้องนี้มากขึ้นๆ

บรรยากาศจะแตกต่าง จะไม่ได้ฝากไว้ที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง

แต่เป็นไปเพื่อให้กลุ่มพยานบุคคล หรือกองทัพพยานบุคคล

ได้รวมกัน ถวายเป็นเครื่องบูชา แด่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ในกาลปัจจุบัน ในกาลที่ดูเหมือนกับพระศาสนา จะเสื่อมในสายตาของคนทั่วไป

แต่ในใจของพวกเรากลับเบ่งบาน ราวกับว่าได้กลับไป ใกล้กับยุคพุทธกาลอีกครั้ง

 

และพวกเรานี่แหละ ที่จะได้เป็นเหมือนกับตัวแทนของชาวพุทธ

ได้มาให้พระพุทธเจ้า .. ถ้าพูดง่ายๆ เป็นภาษาชาวบ้านก็ ..

กลับมาดีใจอีกครั้ง ว่ายังมีคนปฏิบัติแบบที่พระองค์ปรารถนาจะให้ปฏิบัติกันอยู่

 

คือเพื่อเห็นว่ากายนี้ใจนี้ ไม่ใช่ใคร

แล้วพอมันทิ้งได้ มันทิ้งไป ละอุปาทาน กันได้

อันนั้นแหละที่พวกเราทุกคนในที่นี้

จะสามารถเป็นตัวแทน คำกล่าวสอนหรือพระธรรมที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ให้พวกเรา

 

ขออนุโมทนากับน้ำอบ และเจมี่

ที่ได้มาเป็นหนึ่งในผู้พยายามเป็นพยานบุคคล

แล้วก็น่าจะไม่ห่าง ที่จะมีความสำเร็จถ้วนหน้ากันทุกคนในห้อง ขออนุโมทนานะ

--------------------

- ตั้น / แก้ว –

พี่ตุลย์ : พอมีความรู้สึกว่า เราจะปฏิบัติเป็นเครื่องถวายบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จะมีจิตแบบหนึ่งเป็นฐาน คือเป็นจิตที่มีความรู้สึกถึงความนอบน้อม มีความรู้สึกถึงอาการถวาย

ไม่ใช่เป็นไปเพื่อที่จะเอาดีเข้าตัว ห่างไกลมาก จากความรู้สึกว่าจะเอาอะไรให้ ฉัน

ลักษณะพิเศษ ของการที่

เราได้ถวายขันธ์ห้านี้ เป็นเครื่องบูชา ถวายธาตุหกนี้ เป็นพุทธบูชา

ก็คือจิตมีพื้น ความระลึกว่านี่ ไม่ใช่เรา เพราะว่าจะถวายออก

ไม่ใช่ของเรา เพราะว่าจะเอาเป็นเครื่องบูชา ไม่ใช่เอาเป็นสมบัติส่วนตัวของตน

นี่คือจุดที่น่าสังเกต แล้วก็น่ายึดน่าถือเป็นวัตรปฏิบัติในการต่อๆ ไป

 

เพราะว่า ก่อนปฏิบัติเมื่อเราสวดมนต์ร่วมกัน

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมสัมพุทโธ…’ นี่

ถ้าหากว่า ไม่มีอาการสวดไปแต่ปาก แต่อาศัยใจเป็นเครื่องตั้ง

รับรู้ว่า ที่เราจะปฏิบัตินี้ จะเอากายใจ หรือว่าขันธ์ห้าธาตุหก

ถวายเป็นพุทธบูชา ทุกครั้งก่อนจะปฏิบัตินี่

 

จะได้ผลแบบนี้แหละ คือ ปฏิบัติไปแค่ไหน ก็ไม่ได้อะไรให้ใคร

แต่ว่าแค่ปลดเปลื้อง หรือว่าปลดล็อคพันธนาการความทุกข์

โดยน้อมถวาย เป็นเครื่องถวายอันศักดิ์สิทธิ์

ยิ่งกว่าดอกไม้อันเป็นทิพย์ที่เหล่าเทวดา เหล่าทวยเทพน้อมถวายเป็นพุทธบูชาเสียอีก

 

ของตั้น พอมีความรู้สึกว่าเหลือแต่จิต ที่รับรู้เป็นศูนย์กลาง

อะไรๆ ทั้งภายใน ทั้งภายนอก จะเป็นส่วนของกายก็ดี  หรือว่าจะเป็นวัตถุอะไรรอบห้องก็ดี

จะดูเป็นของที่เหมือนกับปรากฏเป็นสิ่งที่เป็นของรอง เป็นของเบาบางเป็นของโปร่ง

เราก็รับรู้ ว่าจิตที่มีความรู้เน้นเข้ามาที่ตัวเอง จะมีสภาวะต่างไปอย่างไร

มีความคงค้าง มีความคงที่นานแค่ไหน ก่อนที่จะแปรไปให้ดู

 

ของแก้ว เวลาที่รู้สึกถึงลมหายใจ ว่าผ่านเข้าผ่านออกธาตุดินนี้ รู้สึก โดยความเป็นธาตุลม

เราก็เห็นว่า ความเป็นธาตุลมนี้ที่ปรากฏชัด มันปรากฏอยู่ในอะไร

ลมนี่ ธาตุลมนี่จะพาไปเห็นได้หมดทุกอย่าง เพราะว่าเป็นของครึ่งหยาบครึ่งละเอียด

 

ภาวะปรุงแต่งของธาตุดิน จะมีความประณีตหรือว่าหยาบ ก็ขึ้นอยู่กับลมนี่แหละ

ภาวะของจิตจะมีความชุ่มชื่น เบิกบาน หรือว่ามีความแห้งแล้ง ก็ขึ้นอยู่กับลมนี่แหละ

 

เอาตัวตั้งทางการเจริญสติ ทางการทําสมาธินี่ .. ลมหายใจ เป็นส่วนประกอบที่สําคัญมาก

และเมื่อเราสามารถเห็นถึงเหตุปัจจัยว่า เพราะลมหายใจมีความเป็น อย่างไรอยู่

ภาวะของธาตุดิน ภาวะของธาตุรู้ ถึงแปรไปตามนั้น

นี่ก็เรียกว่า เป็นการเห็นสภาวะตามเหตุปัจจัยได้อย่างหนึ่ง

 

ยิ่งเราเห็นว่า สภาวะทั้งหลายภายในกายใจ

แปรไป เป็นเหตุผล เป็นเหตุปัจจัยให้กันและกัน มากขึ้นเท่าไร

ความรู้สึก ก็จะไม่มีเราอยู่ในนี้ ไม่มีเราอยู่ในเหล่าเหตุปัจจัยความปรุงแต่งเป็นสภาวะทั้งหลายมากขึ้นเท่านั้น

 

นี่นะ ความสําคัญเวลาที่เราสามารถจับจุด

สามารถเห็นถึงความเป็นเหตุปัจจัยของกายใจได้นี่ อยู่ที่ตรงนี้

ยิ่งเห็นความเป็นของที่ปรุงแต่งขึ้นมา ตามเหตุปัจจัยมากขึ้นเท่าไหร่

เรายิ่งมีความฉลาดทางจิต มีปัญญาทางใจ มีสติแบบพุทธมากขึ้นทุกที

ว่าอะไรๆ ทั้งหลายนี่ คือสภาวะ ไม่ได้มีใครอยู่จริงไม่ได้มีก้อนตัว ก้อนตน

ก้อนอัตตา

ที่ตั้งอยู่ในอดีต ไม่ได้ตั้งอยู่ในปัจจุบัน แล้วก็ไม่ได้จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

 

แก้ว : สภาวะวันนี้ก็มีอาการยื้อค่ะ ช่วงแรกๆ มีความคิด ก็ยื้ออยู่นิดหนึ่งเพราะว่ามันไม่สว่าง

พอไม่สว่างแล้วหนูก็ยื้อ แต่ก็มาลงเอยว่า จริงๆ ไม่จําเป็นต้องสว่าง ก็ได้

เริ่มเกิด การยอมรับค่ะ

 

พี่ตุลย์ : นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด ดีมากแก้ว

 

แก้ว : ก็เลยเห็นถึงความไม่เที่ยงทั้งขาขึ้นและขาลง เป็นแค่สภาวะ สภาวะหนึ่ง แปรเปลี่ยนไปตามเหตุและปัจจัย

 

พี่ตุลย์ : ดีมาก ตรงเมื่อกี้พอเห็นถึงเหตุปัจจัยเกี่ยวกับลมหายใจ

รู้สึกขึ้นมาไหมว่าภาวะปรุงแต่งนี่ประกอบกัน ลมหายใจนี่เป็นตัวกลาง

เชื่อมอยู่ระหว่างภาวะหยาบ ประณีตของกาย แล้วก็ภาวะสว่างภาวะมืดของจิต .. เมื่อกี้มองเห็นได้ไหม

 

แก้ว : เห็นได้ค่ะ อาจารย์ พอลมเริ่มละเอียดขึ้นก็ชัดเจนขึ้นค่ะ

 

ตั้น : รู้สึกว่าเมื่อกี้ เป็นตัวที่แยกออกมาจากกายครับ มาดูกายเดินไปเดินมารอบห้อง

แล้วก็รู้สึกว่า เจ้าตัวนี้เป็นใหญ่ เหนือกว่ากาย กับสิ่งรอบๆ ข้าง แล้วก็รู้อยู่อย่างนั้น

 

รู้กาย แล้วก็รู้สึกว่า ความคิดก็เข้ามาบ้าง มีทั้งเบา ๆ

มีทั้งแบบปัญหาเข้ามาบ้าง บางครั้งก็ไปยึดตรงกลาง หนักขึ้นมาแล้วก็รู้

แล้วก็เข้าใจว่า สุดท้ายก็เป็นตามเหตุปัจจัยที่เกิดครับ แล้วก็บังคับไม่ได้

 

พี่ตุลย์ : วันนี้ที่พี่จะตั้งเป็นข้อสังเกต

จิตเริ่มรู้สึกตัวเองขึ้นมาจริงๆ ว่ามันเป็นแค่ภาวะอะไรแบบหนึ่ง

ที่เป็นศูนย์กลางการรับรู้ภาวะอื่นๆ ทั้งปวง ที่มีลักษณะปรากฏเด่น

แล้วก็มีความส่องสว่าง มีความเบาแล้วก็ไม่มีมโนภาพ ไม่มีตัวใครอยู่ในนั้น

เริ่มที่จะเกิดการรับรู้ขึ้นมาจริงจัง เป็นจริงเป็นจังว่า

อะไรๆ ทั้งหลาย มาจากการรับรู้ของจิต

อะไรๆ ทั้งหลาย ที่ชีวิตเป็นไป มาจากความยึดของจิต

อะไรๆ ทั้งหลาย ที่เป็นไปทางธรรม เป็นไปในทางการเจริญสติขึ้นอยู่กับการปล่อย

 

ปล่อยอย่างรู้ หรือว่ารู้แล้วปล่อยของจิต

 

การที่เรามาได้เห็นถึงตรงนี้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ทันกับวันวิสาขบูชา

เราเอาธรรมนี้นี่มาบูชาพระพุทธเจ้ากัน

 

แก้ว : หนูขอถวายการปฏิบัติบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์

โดยเฉพาะองค์สมณะโคดม ที่วันนี้เป็นวันเกิด ตรัสรู้ ปรินิพพานค่ะ

แล้วก็ขอถวายการปฏิบัติบูชานี้ แด่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะอาจารย์ค่ะ

หนูขอเป็นบุคคลๆ หนึ่งที่ร่วมพิสูจน์ว่า พระธรรมคําสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอกาลิโกค่ะ

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนาจ้ะ แก้วก็ถือว่าสิ่งที่แก้วปรารถนาได้สําเร็จผลแล้ว

 

ตั้น : ก็ขอถือโอกาสนี้ ขอให้การปฏิบัติที่ทํามาทั้งหมด ทุก ๆ ชาติที่เคยทํามา

ขอใช้ตรงนี้ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชาสังฆบูชาครับ โดยขอให้พี่ตุลย์เป็นประธาน เป็นตัวแทน

แล้วก็ขอเป็นคนๆ หนึ่งในห้องนี้ ที่เป็นพยานให้กับพี่ตุลย์ แล้วก็เป็นพยานให้กับพระพุทธเจ้าครับ

ขอที่จะเป็นกําลังหลักในการทําให้พุทธศาสนานี่ดํารงต่อไปในอนาคตครับ

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนานะตั้น ตั้นก็จะเป็นผู้หนึ่ง ที่ได้ทําตามที่ปรารถนาไว้

และมีความสําเร็จในระดับหนึ่ง ที่มีความน่าชื่นตาชื่นใจในปัจจุบัน

ในวันนี้ที่ถือว่า เรามาทัน ที่จะได้ถวายเป็นพุทธบูชาร่วมกับพวกเราคนอื่นๆ เสมอกัน

--------------------

- นุช / หงส์ -

 

พี่ตุลย์ : ของทั้งคู่ มีความโปร่ง มีความใส มีความสบาย มีความเปิดกว้าง

แล้วก็ที่สําคัญถ้าหากว่าเราเข้าใจ มาถึงจุดที่มีความเข้าใจแบบตกผลึก

ว่าจิตใส ที่เบา ที่เปิดกว้างไป ก็เพื่อที่จะเอามารับรู้ว่ากายนี้ไม่ใช่ใคร

ใจนี้เปลี่ยนภาวะไปเรื่อย ๆ

 

ถ้าหากว่า เราสามารถที่จะเอาสมาธิ เอาจิตที่ดี มาใช้ดูว่า

กายไม่ใช่ที่ตั้งของความเป็นใคร ใจไม่ใช่ที่ตั้งของความเป็นของใคร

สติที่เกิดขึ้น จะไม่ใช่สติแบบที่แค่ เกิดแล้วก็หายไปธรรมดา

แต่เป็นสติที่เกิดขึ้นแล้ว จะหาจุดจบเจอ

 

ความรับรู้ร่วมกัน ในวันนี้ของพวกเรา จะเป็นปีติ จะเป็นความเบิกบาน จะเป็นความรู้ตื่น

จะเป็นการรวมกัน โฟกัสเข้ามาเห็นความเป็นกาย เห็นความเป็นใจ เหมือน ๆ กันว่า

ไม่มีใครอยู่ในนี้ อันนั้น ก็ไม่มีใครอยู่ทางโน้น

 

ด้วยความที่เราอยู่ในทิศทางเดียวกัน มองเห็นอะไรๆ ตรงกัน

เวลาที่มีปีติ มีความเบิกบาน หรือว่ามีกําลังจิต มีกําลังสติ

ก็จะเสริมกันด้วยอาการแบบนี้

 

ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เป็นเรื่องที่น่าจะมองได้ตั้งแต่แรกว่า

เป็นพลังของกลุ่ม เป็นการถักทอเครือข่ายความสว่าง ความเป็นพุทธ

ที่ทวีตัวขึ้น แข็งแรงยิ่งๆ ขึ้น สว่างไสวยิ่งๆ ขึ้น

 

ตรงนี้ คือไม่ต้องพยายามเพ่งสังเกตมาก

ถ้าอยู่ในนี้นานพอ จะรู้สึกขึ้นมาเอง

 

แล้วแต่ละคน ก็จะลดตัวลดตน ลดอุปาทานลงไป

กลายเป็นเห็นว่า กายนี้ใจนี้ไม่มีของเรา มีแต่ความเป็นเครือข่าย

หนึ่งในเครือข่ายความไม่เที่ยง

หนึ่งในเครือข่ายความไม่ใช่ตัวตน

หนึ่งในเครือข่ายความเป็นพุทธ

 

ที่พูดๆ กันว่าเครือข่ายความเป็นพุทธ จริงๆ ก็หมายถึง เครือข่ายศรัทธา

ที่มีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

แต่เครือข่ายความเป็นพุทธ พุทธที่แท้จริงนี่นะ

จะถักทอขึ้นจากความเบิกบานทางจิต ถักทอขึ้นจากความสว่างไสวแบบพุทธ แบบที่พระพุทธเจ้าท่านนําทางไว้

 

ของพวกเรานี่ ยังไปไม่ถึงที่สุดกันสักคน

แต่ว่าเป็นผู้เคลื่อนไป เป็นผู้ที่ศึกษาไปด้วยกัน แล้วก็คืบหน้าไปด้วยกัน

พอมีวันพระใหญ่ มีวันบูชาพระพุทธเจ้ามาเป็นเหมือนกับตัวตั้ง

ให้ระลึกถึง ให้น้อมถวายกายใจอันเป็นขันธ์ห้า อันเป็นรูปนามนี้

บูชา เป็นธรรมบูชาไม่ใช่อามิสบูชา ก็เลยได้ที่ ได้พลังร่วมกันในแบบที่เราจะรู้สึกร่วมกันได้ว่า

 

เออ.. ตัวตนของพวกเรานี่ ลดลง แล้วหลอมละลายกลายเป็นหนึ่ง

เหมือนกับน้ำหลายๆ สาย ทยอยมารวมกันเป็นทะเล

และจากทะเล สามารถที่จะ.. วันหนึ่ง ไหลไปรวม แผ่ออกกว้างไปรวมกับมหาสมุทร

มหาสมุทรแห่งความว่าง มหาสมุทรแห่งความเป็นพุทธ ที่สว่างโพลงไม่รู้จบรู้สิ้น

 

เวลาที่มีความโปร่งใส โปร่งแสง แล้วก็มีความรู้สึกว่าราบรื่น ต่อเนื่องของทั้งคู่นะ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาเป็นธรรมดา คือ สติอย่างใหญ่

เวลาสติ มีความเชื่อมโยงจากจุดต่อจุด ราบรื่น เป็นระยะเวลายาวนานพอ

จะเหมือนกับ ภาพความรู้สึกของความเป็นตัวเรา หายไปไหนก็ไม่รู้

เหลือแต่ภาพความรู้สึกว่า ไม่มีเราอยู่ในนี้

 

พอไม่มีเราอยู่ในนี้นานขึ้น นานขึ้น

ถึงแม้ว่า ความฟุ้งซ่านจะจรมาบ้าง ถึงแม้ว่าความขุ่นจะกลับเข้ามาบ้าง

จะเห็นเลยว่า มันนิดเดียว .. นิดเดียวแล้วหายไป

 

นิดเดียวแล้วหายไป เพราะจิตไม่เอา

เหมือนกับของส่งมาแล้วถูกตีคืน ตีกลับหมด เจ้าของบ้านไม่เอาไว้

 

แล้วก็เห็นว่า บ้านไม่มีแม้แต่เจ้าของ บ้านมีแต่ ภาวะว่าง

ภาวะเป็นโพรงว่าง สักแต่เป็นที่อาศัยระลึกว่า ไม่มีเจ้าของบ้าน

ตรงนั้นแหละที่ สติแบบพุทธได้ที่ตื่นเต็ม ได้ที่แจ้งเกิด

 

หงส์ : แรกๆ กังวลเรื่องอุปกรณ์ค่ะ ไม่ได้ยินเสียงพี่ตุลย์ ก็เลยกังวล

แต่ว่าก็พยายามดูว่าเป็นอนิจจังไปค่ะ ก็หายไปได้สักช่วงหนึ่ง แล้วก็กลับขึ้นมาใหม่

 

พี่ตุลย์ : ให้สังเกตนะ มันมาแค่เป็นคลื่นรบกวน ไม่ได้เกาะจิตเกาะใจอยู่ได้ติดนาน ใจของเรายืนพื้นอยู่บนความใส 

ความใสนี่ วัดง่ายๆ คือจะเห็น เวลาอะไรจรเข้ามา เวลาความคิดรบกวน คลื่นรบกวนมา จะไม่เอาไว้

ตัวนี้ ที่เป็นส่วนสําคัญมากกว่าตรงที่มีคลื่นรบกวน

 

คลื่นรบกวน มีตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ใจจะเอาหรือไม่เอา นั่นแหละ

ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกของเรา

 

อย่างเมื่อกี้นี่ ที่บอกว่าใสอยู่เป็นพื้น

ก็คือเวลาที่อะไรจรเข้ามานี่ ไม่เอาไว้ ไม่รับไว้

เหมือนกับเจ้าของบ้านที่ไม่รับของที่ส่งมา ถูกตีคืนไป

แล้วก็เจ้าของบ้านนี่ ในที่สุดพอเข้ามาเห็นแต่อะไรว่างๆ ไม่มีแม้แต่ตัวเจ้าของบ้านอยู่ มีแต่บ้านว่างๆ โล่งๆ

ซึ่งเมื่อกี้นี้ก็เกิดขึ้นเป็น เรียกว่าเป็นระยะเวลาที่นาน น่าพอใจ

 

หงส์ : ตอนทําท่าสอง ก็โล่งกว้าง สบายค่ะ

 

นุช : รับรู้ได้ถึงว่าเราไม่มีตัวตน จิตเป็นผู้เดินค่ะ ก็คือเดินไปรับรู้ไป

บางครั้ง ก็มีความเป็นตัวตนของเราขึ้นมา เราก็ดูไป ก็หายออกไป

ใจเบา ว่าง รู้กระทบทุกการก้าวเดิน รู้ได้ถึงว่า จะถึงเมื่อไหร่ ถึงตรงไหน

จนหลังๆ ไม่ได้ลืมตามอง เพราะเหมือนรู้สึกว่า เห็นว่าถึงแล้ว

 

พี่ตุลย์ : ดีจ้ะ

 

หงส์ : น้อมถวายกายและใจนี้ ในทุกภพทุกชาติ เพื่อปฏิบัติเป็นพุทธบูชา และ ขอถวายกายใจนี้ เป็นเครื่องยืนยันในธรรมะของพระพุทธองค์ว่ามีจริง

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนานะ

การปฏิบัติที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเครื่องยืนยันอันสมควร อันคู่ควรกับการได้น้อมถวาย

เป็นหลักฐานเป็นพยานบุคคล แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ขออนุโมทนา 

 

นุช : ขอกราบถวายบุญกุศลทั้งปวง ที่นุชได้ทําปฏิบัติมาตลอดทั้งชีวิต

เพื่อถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แด่พระพุทธเจ้า และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะพี่ตุลย์

ขอให้บุญกุศลนี้ในการนี้ จงถึงกับเพื่อนทุกคนด้วยนะคะ

จะขอใช้ธาตุขันธ์นี้ เพื่ออุทิศให้กับพระพุทธศาสนา ตราบจนถึงวันสุดท้ายค่ะ

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนาจ้ะ เพราะว่าสิ่งที่นุชได้ปฏิบัติไปนี่ สมน้ำสมเนื้อ

คู่ควรที่จะกล่าวว่าเราขอถวาย เราขอน้อมบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ อนุโมทนาทั้งสองท่าน

--------------------

- ต้า / ขวัญ -

 

พี่ตุลย์ : ถ้าไม่ดูว่าใครกําลังทําท่าทําทางแบบไหน อยู่ในอิริยาบถใด

แต่ดูว่าใจมีความรับรู้ มีความปรุงแต่งไปอย่างไร

ถ้าเห็นความปรุงแต่งในแบบที่ ใจ มีความรับรู้ถึงความเป็นกายนี้

ใจ มีความรับรู้ว่า จิตกําลังเป็นผู้รู้ผู้ดู ควบคู่กันกับการเห็นกาย

 

แล้วเราก็มองว่า ตอนนี้เรากําลังเห็นใจของเด็กคนหนึ่ง อายุยังไม่ถึงสิบขวบ

ไม่รู้ใครเห็นอะไรนะ แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือว่า

อนาคตของพุทธศาสนา ในอีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้านี่ จะยังมีผู้ปฏิบัติอยู่แน่นอน

จะยังมีผู้เข้าใจวิถีการเจริญสติ แบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้

เล็งเป้าคือ ให้ใจ นี่มารับรู้ มาดูว่า กายอยู่ส่วนกาย จิตอยู่ส่วนจิต เป็นต่างหากเป็นคนละสภาวะกัน

 

นี่ถ้าเห็นว่า จิตใสใจเงียบ มีความสว่าง เป็นต่างหากจากภาวะของกาย

ที่กําลังหยุด ที่กําลังหมุน ที่กําลังเดินก้าวต่อ

 

เห็นกายเป็นแค่โครงกระดูก ที่ปรากฏเป็นตุ๊กตากระดูก ที่เคลื่อนไปเคลื่อนมา

แบ่งเป็นท่อนๆ หักไปหักมา มีจิตที่มีความใส มีความรู้คมชัด

แยกเป็นต่างหาก จิตอยู่ส่วนจิต กายอยู่ส่วนกายได้

 

ถ้ารู้วันนี้ แปลว่าอีกสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้า

อย่างน้อยการปฏิบัติเพื่อให้เจริญสติแบบที่พระพุทธเจ้าสอนจะยังคงอยู่แน่นอน

 

คือใครจะนึกถึงพุทธศาสนาว่าจะเสื่อมไปแค่ไหน จะยังอยู่ในประเทศไทยหรือเปล่า

ส่วนใหญ่ก็นึกแบบมหภาค นึกเป็นองค์รวม นึกเป็นสเกลใหญ่

 

แต่ถ้าเราเอาจากที่กําลังเห็นด้วยตาเปล่าอยู่ ณ บัดนี้ 

ได้เป็นพยานทางตา ได้เห็นว่า มีเด็ก เด็กอายุไม่ถึงสิบขวบนี่กําลังปฏิบัติ

แบบที่ รู้กายด้วย รู้จิตด้วย เห็นว่ากาย เห็นว่าจิตนี้เป็นต่างหากจากกัน

ความคิดโผล่มา จรมา ก็รู้ว่าเป็นต่างหากจากจิต เป็นต่างหากจากกาย

 

นี่ก็คือ รากของอนาคต คือเราบอกได้แน่นอนว่า อนาคตสิบปียี่สิบปีข้างหน้า จะยังมีผู้ปฏิบัติอยู่

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า

ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติมรรคมีองค์แปดอยู่ในโลก โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์

 

คือไม่ใช่ปฏิบัติเล่นๆ ไม่ใช่ปฏิบัติแค่แป๊บๆ

แต่ว่าปฏิบัติจนกระทั่งลงไปอยู่ในชีวิตจริงของบุคคลหนึ่ง

 

นั่นแหละ ตัวนั้นแหละที่เป็นเครื่องหมายบอก เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงหมายถึง

 

ของขวัญ พอมีความรับรู้ถึงความเบา ความผ่องแผ้วที่ออกมาจากข้างใน

ยิ่งคงเส้นคงวามากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเป็นรสชาติที่เราจะติดเป็นฉันทะมากขึ้นเท่านั้น

 

ความสว่าง ความว่าง ความเบานี้ เอาไปทําอะไร

 

ความเบา เอาไปรู้ว่ากายนี้กําลังปรากฏอยู่ในท่ายืน

ใจนี้กําลังปรากฏ เป็นภาวะเบาผ่องใส แล้วก็บางทีก็แผ่ออก บางทีก็หุบเข้า

 

แต่ว่า เรา ในฐานะของผู้เจริญสติ พูดง่ายๆ ว่าสตินี่ รู้อยู่ เห็นอยู่ว่า

ทั้งหลายทั้งปวง กําลังปรากฏ กําลังแสดงความไม่เที่ยง ไม่ใช่แสดงความเป็นตัวเรา

 

นี่ก็คือเรียกว่า ปฏิบัติได้คู่ควรกับการบูชา

 

ถ้าเราบูชาถูกคน บูชาพระพุทธเจ้า

ไม่มีเครื่องบูชาอื่นใดในชีวิตของเรา ที่จะมีค่ามากไปกว่าวินาทีนี้อีกแล้ว

 

เวลาสติคม เวลาที่จิตมีความใส มีความเบา มีความสว่าง มีความกระจ่างแผ่กว้าง

ไม่มีเด็ก ไม่มีผู้ใหญ่ มีแต่จิตที่เข้าใกล้ความเป็นพุทธมากหรือน้อยเพียงใด

 

แล้วถ้าหากว่า ใจของเรา สามารถรับรู้เข้ามาถึงความเป็นโครงร่างนี้ชัดขึ้นเรื่อยๆ

จิตที่มีความตั้งมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะตามมาเป็นผล

 

ความสว่างใดๆ ที่จะเกิดขึ้น ความใส ใดๆ ที่จะปรากฏ

มันปรากฏเพื่อที่จะเอามาใช้รู้ เอามาใช้ดู

กาย สักว่าเป็นกาย ตอนเกิดมานี่

เราไม่รู้ไม่เห็นว่า ความเป็นกายของเรา จะปรากฏโดยความเป็นเช่นนี้

อยู่ๆ เหมือนกับเราตื่นขึ้นมากลางฝัน แล้วก็เห็นว่า

มีใคร มีอะไร รูปร่างหน้าตาอย่างไร ปรากฏขึ้นมา แล้วเราก็มายึดเอา

 

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส

เราไม่ได้สร้าง ไม่ได้ทําอะไรซักอย่าง แต่ก็ร้องว่า ของเรา ของเรา

 

ทีนี้ พอได้รู้ได้เห็นตั้งแต่เริ่มมีชีวิต

ชีวิตนั้นก็จะปรากฏโดยความเป็นของจริง ตามที่มันมี ตามที่มันเป็น

ไม่ใช่ของหลอก อย่างที่มันอยากหลอกให้เรายึด ให้เราหลง

 

ยิ่งรู้ได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์น้อยลงเท่านั้น

และยิ่งเป็นพยานให้กับพระพุทธเจ้าได้เร็วขึ้นเท่าไหร่

ยิ่งเป็นประโยชน์ให้พระศาสนาได้มากขึ้นเท่านั้น

 

การที่เราเกิดมามีชีวิต ไม่มีใครบอกหรอกว่า เอ๊ย! ควรจะต้องเป็นอย่างนั้น

ควรจะต้องเป็นอย่างนี้

ไม่มีใครรู้จริง ไม่มีใครทราบเป๊ะๆ ว่า

จะให้แต่ละวัน จะให้แต่ละเดือนปีนี่ ผ่านไปด้วยการมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง

 

แต่ธรรมะ มีความรู้นะ มีการจัดสรรมา ว่าจะต้องมาเกิดเป็นลูกของพ่อแม่คู่นี้

จะต้องโตขึ้นมาภายใต้สถานการณ์สภาพแวดล้อมกดดัน หรือว่าเกื้อกูลแบบนั้นแบบนี้

 

จนมาถึงจุดหนึ่ง ได้ข้อสรุปว่าจะเอาอะไรเป็นสาระแก่นสารของชีวิตนี้

นั่นแหละ ตรงนั้น

 

ไม่ว่าจะรู้เร็ว หรือรู้ช้า ไม่ว่าจะเป็นต้นวัย หรือว่ากลางชีวิต หรือว่าปลายชีวิต

มีผลเหมือนกัน คือ เราได้เป็นส่วนหนึ่งของความจริงในจักรวาลแห่งธาตุทั้งหกนี่ว่า

ถ้ารู้ถ้าตื่น จะไม่มีความทุกข์ หรือทุกข์น้อยลง มากกว่าชาวโลก

แบบที่วัดกันไม่ได้ว่า ห่างไกลกันมากมายขนาดไหน

 

จะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตนี้ก็ตาม จะเกิดขึ้นในแบบที่

ใจไม่ไปมัวติดข้อง มัวคุมไป หรือว่าจะไปหน้าดําคร่ำเครียดอะไรกับมัน

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในชีวิต จะปรากฏเป็นเปลือก

ที่ให้แก่น คือจิตนี้ ได้รับรู้ว่าผ่านมา เพื่อที่จะผ่านไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลาย

 

ต้า : ผมรู้สึกว่า กายส่วนกายอยู่ส่วนจิต

ความร้อนอยู่ส่วนความร้อน ลมหายใจอยู่ส่วนใจ

 

พี่ตุลย์ : ดีมากต้า แล้วรู้สึกไหม รู้สึกถึงรายละเอียดของกาย

เห็นเป็นอย่างไรบ้าง มีความชัดเจนแค่ไหน มีความเป็นกระดูกเป็นท่อนๆ

หรือว่าวันนี้เห็นแค่เป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อธรรมดา

 

ต้า : เห็นแค่เป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อธรรมดาครับ

 

พี่ตุลย์ : อย่างน้อยที่สุด ต้าก็ได้รับรู้ว่า ก้อนเลือดก้อนเนื้อ ที่เดินไปเดินมานี่

จริงๆ แล้วเป็นแค่อะไรอย่างหนึ่ง เป็นแค่สภาวะที่ปรากฏ

บางวันก็เป็นกระดูก บางวัน ก็เป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อ

อย่างวันนี้เป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อ เป็นธาตุดินที่ประกอบอยู่ด้วยลมหายใจและไอร้อน

 

ถ้าหากว่าเราเห็น ไม่ใช่ก้อนตัวก้อนตน แต่เห็นเป็น ก้อนเลือดก้อนเนื้อ

ที่ประกอบอยู่ด้วยลมหายใจและไออุ่น ก็จะมีความรู้สึกว่า

สิ่งนี้ไม่ใช่ของของเรา สิ่งนี้ไม่ใช่ตัวตนของเราขึ้นมา

 

จิตอยู่ส่วนจิต กายอยู่ส่วนกาย เวลาที่แยกออกจากกันเป็นชั้นๆ ตัวเราก็หายไปเป็นธรรมดา

จะมีความรู้สึกในตัวตนหลงเหลืออยู่บ้าง ก็แค่เป็นผู้ควบคุมให้เดินไปเดินมา

นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คู่ควรกับการถวายเป็นพุทธบูชาในวันวิสาขบูชาเช่นกัน

 

ขวัญ : ช่วงแรกยัง มีตากระพริบอยู่มีความตื่นเต้น พอช่วงหลังๆก็เริ่มดีขึ้นค่ะ แล้วก็เริ่มเบาขึ้น

 

พี่ตุลย์ : ตอนที่รู้สึกว่าใจว่าง ว่างออกมาจากตรงกลางแล้วแผ่ออกไป

รู้สึกว่าที่ว่างนี้ จะมีหลายแวบที่รู้สึกว่า

ไม่ใช่จิตของเราไม่ใช่ตัวเรา เป็นแค่ความรู้สึกว่างๆ

 

ตรงนั้นเป็นเครื่องหมายบอก เป็นลางบอกเหตุว่า จิตจะเริ่มเข้าท่าเข้าทาง

มีความรับรู้ว่าจิตไม่ใช่อะไร เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ถึงแม้ว่าในความว่างนั้นไม่เสถียร ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดํารงอยู่นาน

มีอะไรมาเคลือบ มีอะไรมาห่ออยู่เรื่อยๆ

แต่สิ่งที่จะเกิด เป็นความรู้สึกของเราในวันนี้ก็คือ

รู้สึกว่ามีตัวที่มาบอกว่า ความว่างเป็นรสชาติแบบหนึ่ง ที่ทําให้เราเกิดฉันทะได้

 

เราคุยกันมา กับขวัญนี่ คุยกันมาเรื่องฉันทะ พี่ก็ชี้ว่าแบบวันนี้แหละ

ที่รู้สึกว่างขึ้นมาเป็นพักๆ ว่างแบบ ว่างที่มีความรู้ มีความตื่นอยู่ด้วย

ว่ากายกําลังขยับ กายกําลังปรากฏแสดงเป็นท่าทางของมัน

แต่ใจที่ว่างอยู่ ก็เป็นของต่างหาก เป็นอีกเลเยอร์หนึ่ง

 

ขวัญ : เดี๋ยวนี้วางได้เร็วขึ้น ต้องขอบคุณพี่ตุลย์มากๆ เลย

ช่วงนี้จิตจะไวกับพวกอกุศลจิต พอไปฟังคลิปที่พี่ๆ สอน

แล้วก็ย้อนกลับไปฟังที่พี่ตุลย์บอก ก็คือแค่รู้ แล้วก็ปล่อยได้เร็วขึ้นค่ะ

เมื่อก่อน จะเห็นแล้วก็หงุดหงิด แต่ตอนนี้เห็นหงุดหงิดแล้วก็โอเค

เป็นของดีอย่างที่พี่ฮิมได้กล่าวไว้ ก็ดูไป แล้วก็ รับรู้ไปเรื่อยๆ

ตอนนี้มีหลายอย่าง เช่นวิบากกรรมทางคําพูดของขวัญเอง

ก็พยายามดู แล้วก็พยายามทําความเข้าใจ ก็พยายามเห็นให้ มากที่สุด

เก็บเป็นประสบการณ์ แล้วก็จะตั้งใจพัฒนา ตั้งใจปฏิบัติ ตามที่อาจารย์สอน ที่แนะนำ

แล้วก็จะเป็นพยานอีกหนึ่งหนึ่งเสียงว่าเปลี่ยนได้จริงๆ เพราะจิตของขวัญ

เปลี่ยนไปมากเลยค่ะ

 

พี่ตุลย์ : ก็เป็นเรื่องน่าอนุโมทนานะ

 

ต้า : ขอถวายการบูชา แด่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ (เสียงหายไป)

 

พี่ตุลย์ : น่ารักมากลูก อนุโมทนาครับ แล้วก็สิ่งที่ต้าทํานี่ถือว่าเป็นสิ่งที่คู่ควรแล้วที่จะน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ลุงขออนุโมทนา 

 

ขวัญ : ก็อยากน้อมกราบอาจารย์คะ และขอถวายการปฏิบัติ

เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ว่าคําสอนของพระพุทธองค์เป็นอกาลิโกจริงๆ และอาจารย์ได้มายืนยัน

และทําให้เห็นแล้วว่าเปลี่ยนไปจริง ๆ ขอถวายการปฏิบัติทั้งหมดตอบแทนคุณพี่ตุลย์ค่ะ

ขอถวายขันธ์นี้ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา และช่วยเหลืออาจารย์ พี่ ๆ ท่านอื่นๆ อีกเรื่อย ๆ ไปค่ะ ขออนุญาตกราบอาจารย์ในวันสําคัญ และวันพิเศษเช่นนี้ด้วยค่ะ

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนา สิ่งที่ขวัญได้เพียรพยายามมาสําเร็จผล

คือมีความเปลี่ยนแปลง มีความพัฒนาอย่างที่ขวัญก็บอกแล้วว่าประจักษ์กับใจของตนเอง

นี่เป็นสิ่งที่คู่ควรแล้วกับการได้มาบูชาพระพุทธเจ้า ในวันวิสาขบูชาปี ๒๕๖๕ ขออนุโมทนา แล้วก็อนุโมทนานะลูก ต้า

--------------------

- จิ๋ว / สาธุ / เมย์ / ปุ๊กกี้ -

 

พี่ตุลย์ : แต่ละคนก็มีจิตที่สว่างไสว

แล้วก็มีอะไรที่เป็นสิ่งบอกเหตุว่า ความคืบหน้าที่ปรากฏโดยความเป็นของพร้อมเพรียงกันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

 

สิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยให้แต่ละคนมีความสว่าง มีความสุข ใส

เกิดจากการเพียรพยายาม ผ่านช่วงเวลาไม่ใช่น้อย ๆ

 

ความสว่างที่เกิดขึ้น เมื่อมารวมกัน พอปรากฏพร้อมๆ กัน ก็จะรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่ง

 

เวลาทอดตามองไป มองไปกลางๆ มองไปตรงจุดกลาง ๆ

แล้วรับรู้ได้ว่า เออ.. ไม่ใช่ว่ามีแสงนีออน มีแสงอะไรออกมาจากจอทั้งสี่

แต่ว่ามีความรู้สึกถึง ความสว่างออกมาจากใจ เป็นกระแสทางใจ

 

ความสว่างที่ออกมาจากกลางใจนี่ บางทีมองไปธรรมดาๆ

ก็สามารถสัมผัสได้ รู้สึกได้ เพราะว่าใจกับใจเป็นสิ่งที่สื่อกระแสกันง่าย

 

เวลามีความกระจ่าง มีความใสออกมาจากใจพร้อมๆ กัน หลายๆดวง

เวลาเรามองเป็นกลางๆ จะรู้สึกว่า เกิดความอบอุ่น เกิดความแผ่เป็นวงรัศมี

แบบหนึ่ง

ที่เรารู้สึกได้ว่าใจของเราผู้ดูนี่ พลอยมีความสว่างกว้าง เป็นทวีคูณ

 

เพราะอะไร? เพราะเวลาที่เรารับรู้ความสว่างเข้ามาพร้อมๆกัน

การปรุงแต่งของจิตเรา จะเป็นไปในทางที่รู้สึกว่า ไม่มีทางอื่นให้ไปนอกจากกุศล

 

ถ้าเราทอดตามองดูนานพอ แล้วรับรู้ถึงกระแสใจ

เวลาไปด้วยกัน เวลาไปในทิศทางเดียวกันนี่

คือแค่ดูเฉยๆ เกิดความผ่องแผ้วขึ้นมา เกิดความรู้สึกถึงใจที่พร้อมจะคิดอะไรดีๆ

ใจที่.. เอาแค่ดูอย่างเดียว ยังไม่ต้องรู้เรื่องการปฏิบัติ

ยังไม่ต้องรู้เรื่องว่า ประสบการณ์ภายในของแต่ละคนเป็นอย่างไรอยู่

 

แต่พอเอามารวมกัน เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ใจเราพร้อมจะคิดอะไรดีๆ

คิดไปในทางประเสริฐ คิดไปในทางกุศล

 

ของจิ๋ว พอเห็นจังหวะเท้ากระทบ แล้วรู้สึกถึง ความเบา ความว่างในใจ

แล้วมีความต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สมาธิในแบบที่จิตจะมีความรู้สึกถึงความเบา

ความปรุงแต่ง อันเป็นไปในทางเบา

 

ของน้องสาธุ ความสว่าง มีความต่อเนื่องใช้ได้เลย

เวลาที่เราเดิน แล้วเราสามารถที่จะเอาใจจดจ่อ อยู่กับสิ่งที่กําลังเกิดขึ้นเป็นเท้ากระทบ เป็นภาวะภายในที่ใสๆ

ความสว่างที่จ้าๆ ออกมา ที่แผ่ออกมาอยู่ต่อเนื่องนี่ ตอนนั้นแหละคือสวรรค์ที่เราสร้างขึ้นมากับมือ สร้างขึ้นมากับจิต

 

ของคุณปุ๊กกี้ ถึงแม้ว่าเราจะเพิ่งเริ่มมาได้ไม่นาน

แต่ความรับรู้ถึงเท้ากระทบที่สัมพันธ์กับจิต

 

เท้ากระทบ มีความบาลานซ์ (balance) อย่างไร จิตก็มีความบาลานซ์อย่างนั้น

ถ้าเมื่อไหร่หลุดออกจากการรับรู้ที่บาลานซ์ จิตก็จะเป๋ ก็จะเขว

ขอแค่เรามีความเข้าใจว่า ทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัย

ถ้าการกระทบของเรา ในการรับรู้ ในสติของเราบาลานซ์ จิตก็บาลานซ์ด้วย

 

แต่ถ้าหากว่า การกระทบไม่บาลานซ์

ก็เสียที่เป็นดวง ที่เป็นภาวะเด่นทางการรับรู้ที่ออกมา ที่แผ่ออกมาจากตรงกลางไป

ให้เห็นโดยความเป็นเหตุปัจจัย และด้วยความเข้าใจอย่างนี้แหละ

ในที่สุดจะเกิดความรับรู้ขึ้นมาว่า ภาวะของจิต

ไม่ได้มีใครอยู่ในนี้จริง ไม่ได้ตั้งอยู่โดยตัวของเองได้

ไม่ได้มีตัวตนที่เป็นก้อนๆ ที่มีอยู่ก่อน แล้วก็มีในขณะนี้ หรือจะมีในการต่อไป

แต่ว่าเป็นแค่ภาวะเหตุปัจจัย ที่ไหลไปเรื่อยๆ จะดีหรือไม่ดี

จะเกร็งหรือไม่เกร็ง จะผ่อนคลายหรือไม่ผ่อนคลาย ล้วนแล้วตั้งต้นออกมาจากจิต

 

จิ๋ว : วันนี้รู้สึกตัวเบาตามที่พี่ตุลย์บอกค่ะ รู้เท้ากระทบ แล้วก็รู้ทั้งตัวไปเรื่อยๆ

หมายความว่า รู้ทั้งเท้ากระทบแล้วก็ตรงกลางที่ เบา ๆ ไปด้วย

ทําให้ กายเบาไปด้วยแบบนี้ค่ะ

โดยปกติ จิ๋วอาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความโปร่งโล่งมากเท่าวันนี้  

แต่ว่า วันนี้ตั้งใจปฏิบัติถวายเป็นพุทธบูชากับเพื่อน ๆ ทุก ๆ ท่านด้วย

ก็เลยเกิดความเบาโปร่งโล่ง มากกว่าปกติที่เคยเป็นมา

 

พี่ตุลย์ : ก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์ ที่อยากให้หลายคนตั้งข้อสังเกตนะ

 

ถ้าหากว่าเราปฏิบัติเพื่อที่จะเอาผลปฏิบัติเป็นของตัวเอง

มีความรู้สึกแบบหนึ่ง มีความรู้สึกกังวล มีความรู้สึกว่า

เออจะได้ดี หรือว่าไม่ดี

 

แต่ถ้าหากว่าเมื่อไหร่ก็ตาม จะเป็นวันนี้หรือวันไหน

ถ้าเราตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา

ความรู้สึกเกี่ยวกับกายนี้ใจนี้แตกต่างเลยนะ แตกต่างทันทีตั้งแต่จุดเริ่มต้น

 

เพราะว่า เราจะรู้ว่าผลการปฏิบัติ จะดีหรือไม่ดีอย่างไร

แต่ถ้าหากว่าสติดี สติประกอบไปด้วยความเข้าใจว่า

ที่เราเห็นนี่ เห็นขันธ์ห้าไม่ใช่เห็นตัวเอง

แล้วก็เห็นไป เพื่อที่จะถวายเอาธรรมะ ถวายเป็นเครื่องบูชา แด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

จะต่างเลย มีความรู้สึกขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งเลยว่า ผลลัพธ์นี่ วัดกันด้วยความเข้าใจ

ไม่ใช่วัดกันด้วยความใส หรือความเบา

ไม่ใช่วัดกันด้วยสมาธิ หรือสติแบบไหน

วัดกันด้วยความเข้าใจว่า สิ่งที่เราเห็นไปทั้งหมดนี่ คืออะไร

 

คือภาวะความไม่แน่นอน

คือภาวะไม่เที่ยง ตามเหตุปัจจัย

คือการที่เรารู้ว่า ไม่ใช่ใครอยู่ในนี้

 

ถึงแม้ว่าเราจะพูดกันมา หมื่นรอบ แสนรอบ

แต่ถ้าหากว่าเรายังเข้าไม่ถึงจุดนี้ ก็จะรู้สึกเหมือนไม่เข้าใจจริง

แต่ถ้าเข้าถึงจุดนี้ ต่อให้ไม่มีสมาธิ ต่อให้ไม่ได้มีสติที่คมคายอะไรมาก

ขอแค่มีความเข้าใจ จิตมาถึงความเข้าใจที่จุดนี้ได้

นั่นแหละ ความเจริญที่คู่ควรถวายเป็นพุทธบูชาแล้ว

 

สาธุ : คือหนูเห็นตัวเองมองตุ๊กตาที่กําลังเดินอยู่ค่ะ

 

พี่ตุลย์ : ดีมากเลยค่ะ สว่างมากไหมเมื่อกี้

 

สาธุ : สว่างมากเลยค่ะ

 

พี่ตุลย์ :  หนูรู้ไหมว่าวันนี้สําคัญ

ถ้าหนูเดินได้สว่าง หนูเดินได้เห็นเหมือนกับเป็นตุ๊กตาที่เดินกลับไปกลับมา

นี่มีความหมายว่า หนูสามารถจะใช้เป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า

แทนที่เราจะใช้ดอกไม้ ใช้มะลิมาลัย เราใช้ใจของเรา

ที่กําลังมีความสว่างแล้วก็มีความเบิกบาน และเห็นตัวเองเป็นตุ๊กตาได้นั่นแหละ เป็นเครื่องบูชาแทน

 

ปุ๊กกี้ : ก่อนที่จะเข้าไลฟ์ น่าจะตั้งแต่ที่อาจารย์เริ่มรายการ

จะมีความรู้สึกเบา โล่งเดินไปตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องทําสมาธิ ไม่ต้องทําท่าอะไร

แล้วมาลองเดินดู ก็จะโล่ง โล่งตลอดจนมาเวลาไลฟ์ ก็จะมีความหนักในใจ

แต่เราก็จะรู้ว่า หลุดไปแล้ว ไม่โล่งเหมือนกับก่อนหน้าที่จะเข้าไลฟ์ ค่ะ

 

พี่ตุลย์ : รู้สึกถึงความสว่างใสของใจที่แผ่ออกมาจากตรงกลางชัดไหมครับ

 

ปุ๊กกี้ : ชัดค่ะ

 

พี่ตุลย์ : นั่นแหละ อันเอาใจแบบนั้นแหละ เป็นเครื่องถวายเป็นพุทธบูชา

สิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาเจริญสติมา จะน้อยจะมากอย่างไรก็ตาม

ถ้าหากว่าเป็นไปเพื่อที่จะเข้าจุด เป็นไปเพื่อที่จะรู้สึกถึงจิตนี้

ที่สว่าง ที่เบิกบาน แล้วเอาความสว่าง เอาความเบิกบานนั้น

มารู้ว่าในกายนี้ไม่ใช่ใคร ในใจนี้ไม่ใช่ของเรา

ถ้าหากว่าไปถึงจุดนั้นได้นี่ เหมาะที่จะเป็นอาศัยเป็นเครื่องบูชาได้หมด

อนุโมทนา

 

เบย์ : วันนี้ รู้สึกถึงความปีติค่ะ รู้สึกถึงพลัง ... (เสียงเบา)

 

พี่ตุลย์ : รู้สึกถึงความปีติ รู้สึกถึงความเบิกบาน ซึ่งแน่นอนครับ

ไม่ใช่แค่พลังของห้องอย่างเดียว แต่เป็นพลังของชาวพุทธทั้งโลก

ที่รับทราบว่าวันนี้ เป็นวันคล้ายวันประสูติของพระพุทธเจ้า

แล้วก็เป็นการประสูติมา เพื่อที่จะตรัสรู้ธรรมอันสําคัญ

มาทําให้พระองค์เองได้พ้นทุกข์ในพระชาติสุดท้าย

แล้วก็ประทานความสามารถ ที่จะพ้นทุกข์ให้กับใครก็ตามที่เป็นเวไนยสัตว์

 

เวไนยสัตว์ ก็หมายถึง ผู้ควรแก่การรับรู้ ผู้มีปัญญา ผู้มีอุปกรณ์เครื่องมือปฏิบัติมากพอ

ที่จะได้มารองรับพระธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบนะครับ แล้วก็ได้ตรัสไว้ดีแล้ว

 

จิ๋ว : จิ๋วถวายการภาวนาทั้งหมดที่เคยทํามา ที่ทําในวันนี้ แล้วก็ที่จะ

ทําต่อไปเรื่อย ๆ ในชีวิตนี้ทั้งหมด เป็นพุทธบูชาค่ะ

แล้วก็ขอพระพุทธองค์ ทรงนําทางจิตใจ ให้อยู่บนทางของพระองค์ท่าน

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนา สิ่งที่จิ๋วได้ปฏิบัติมาแล้วคู่ควรแก่การได้ถวายเป็นพุทธบูชา

 

น้องสาธุ นี่จะเป็นวาระแรกในชีวิตของหนูเลยนะ ว่าหนูจะอยากเอาความสว่างถวายเป็นของขวัญวันเกิดให้กับพระพุทธเจ้าอย่างไร ไหนพูดด้วยตัวเองเลยนะคะ

 

สาธุ : หนูขอถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้ากับลุงตุลย์ค่ะ

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนานะคะ ความสว่างของหนูนี่คู่ควรแล้ว ที่จะได้เป็นของขวัญวันเกิดให้กับพระพุทธเจ้า

ลุงตุลย์ อนุโมทนายินดีด้วย ทั้งตัวหนูแล้วก็แม่ก้อที่เลี้ยงหนูมา

 

ปุ๊กกี้ : การปฏิบัติใดก็ตาม ที่เป็นสิ่งที่ดีในทุกภพทุกชาติ

ขอถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และอาจาริยบูชาก็คือ อาจารย์ตุลย์ค่ะ

 

พี่ตุลย์ : ขออนุโมทนาครับ ในความมีใจที่มีความเต็ม ที่มีความพร้อม ที่มีความเบิกบานในวันนี้ของคุณปุ๊กกี้

คู่ควรแล้วกับการถวายเป็นพุทธบูชา

 

คุณเบย์ครับ ช่วยกล่าวเป็นพุทธบูชานะ ... เสียงไม่ออกใช่ไหม?

ก็ขออนุโมทนาครับ ถือว่าเรา .. จะอย่างที่คุณเบย์บอกว่าได้รับแรง

หรือว่าได้รู้สึกถึงความสว่าง มีปีติ มีสุขที่เกิดขึ้นห้อมล้อมในตัวเอง

แล้วก็รู้สึกถึงกระแสภายนอกที่เป็นความสว่างไสวจริงๆ

ไม่ใช่เฉพาะในห้องนี้ แต่ว่าเป็นความสว่างไสวที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก

 

เวลาที่เรารับรู้ถึงกระแสนี้ได้ แปลว่าใจของเรานี่

ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ควรแก่การบูชา เอาจิตของเราเป็นเครื่องบูชา

ถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้

ก็ขออนุโมทนากับทั้งสี่ท่านด้วยครับ

--------------------

- พงศ์ / เพี้ยะ / บ๊วย / แอ็ค

 

พี่ตุลย์ : พงศ์ วันนี้มีความเข้าใจ มีความเบาของจิต

แล้วก็มีความรับรู้ที่ก้าวหน้า มีความคืบหน้าขึ้น

 

สิ่งที่เราจะเห็นได้ เวลาที่ไปบวกกับฐานของสมาธิที่มีอยู่

เราจะรู้สึกได้ว่า จิตของเราเวลาแผ่กว้างออกไป

จะไม่ใช่แผ่ออกไปเพื่อที่จะเอาสมาธิ ไม่ใช่เพื่อที่จะเอาความนิ่ง

เพื่อที่จะเอาคุณสมบัติของสมาธิมาเพื่อตัวเพื่อตน

แต่จะเป็นสมาธิ จะเป็นความแผ่ไปเพื่อที่จะรับรู้ถึงความจริงที่ปรากฏ

ที่เป็นตัวที่เคลื่อนไปเคลื่อนมาอยู่นี้ ที่เป็นหัวตัวแขนขาอยู่นี้ว่า

สักแต่ว่าเป็นธาตุดินเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่ปรากฏอยู่ เสมอกันกับวัตถุอื่น ในห้อง

 

ตัวนี้ คือความต่าง ระหว่างสมาธิเพื่อตัวตน กับสมาธิเพื่อการทิ้งตัวทิ้งตน

 

ของเพี้ยะ เรียกว่าใช้ได้เลย จิตเปิด จิตใส

และเวลาที่สัมผัส จะสัมผัสได้น้อย ได้มาก ได้ชัด นี่คือทิศทางของการสัมผัส

สิ่งที่จะปรากฏเป็นหลักฐานได้คือ ..อย่างตอนเมื่อกี้นี่

มีอะไรวิ้งๆ อยู่ในหัวนิดหนึ่ง แต่วิ้งๆ นั้นจะไม่ตามไปนาน

จะวิ้งๆ เสร็จแล้วก็จะหายไปในความรับรู้ของจิตที่ใส ใจที่เงียบ

 

เวลาที่เราเกิดความรู้สึกถึงความเป็นประตูตู้ ว่าเป็นแผ่นๆ เป็นอะไรที่แข็ง ๆ

มันก็จะย้อนกลับมา ทําให้รู้สึกว่ากายนี้ ที่กําลังเคลื่อนอยู่

ก็เป็นอะไรแข็งๆ ตัวหนึ่งเหมือนกัน

 

นี่แหละ แค่นี้แหละเรียกว่าสัมผัสแล้ว

ไม่ใช่อะไรที่ชัดเจน ไม่ใช่อะไรที่ต้องเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเสียก่อน

 

เสร็จแล้ว พอจิตเราเปิด ลักษณะของจิตที่เปิด สังเกตง่ายๆ

จะมีความรู้สึกเหมือนข้างหน้านี่ ใสๆ โล่งๆ

แล้วอะไรที่ปรากฏ โดยความเป็นของแข็งที่อยู่รอบด้าน

จะเป็นเค้า เป็นโครง ให้เรารู้สึกขึ้นมา ที่เป็นเค้าเป็นโครงนี่

ห่อหุ้มภาวะของกาย ที่เป็นหัวตัวแขนขา ที่เดินไปเดินมาอยู่นี้

 

จริง ๆ จิตมีดีให้ดูนะ คือถึงแม้ว่าจะยังมีอะไรวิ้งๆ อยู่ข้างในนี่

ขอให้เพี้ยะสังเกตว่า ใจมีความพร้อมที่จะรับรู้มากขึ้น

ฐานที่มีความพร้อมจะรับนี่คืออะไร คือจิตที่ใส ใจที่เบา

 

แม้ว่ามีอะไรวิ้ง ๆ ขึ้นมา ก็จะรู้สึกว่า จิตที่ใสใจที่เบานี้

สามารถรู้ สามารถเห็น สามารถแยกออกว่า เป็นต่างหากจากภาวะทางใจ

 

อาจไม่ใช่แยกเด็ดขาดได้ตลอดเวลา แต่ว่าเริ่มระแคะระคาย

เริ่มรับรู้ว่า จิตอยู่ส่วนจิต แผ่ออกมาจากตรงกลางอก

อะไรที่วิ้งๆ เป็นเศษที่ตกค้างอยู่ในหัว เป็นส่วนบน

เป็นส่วนที่อยู่ในโพรงกะโหลก อยู่ในจุดที่ตั้งสูงสุดของร่างกาย

นี่แค่นี้ เป็นอะไรที่เราเริ่มอยู่ในทิศในทาง ที่จะเห็นกายใจโดยความเป็นภาวะแน่ๆ แล้ว

เราจะรู้แก่ใจว่าต่างไปจากแต่ก่อน แต่ก่อนต้องมีตัวเราอยู่แน่ๆ

ตอนนี้นี่ชักเอะใจ ครึ่งๆ กลางๆ มีเราอยู่แน่หรือเปล่า

 

คุณแอ็ค จิตมีความเปิดขึ้นกว่าเดิมมากขึ้นๆ แต่เดิมในหัวต้องมีอะไรขยุกขยุยอยู่ตลอด

แต่ตอนนี้ มีจิตใสใจเปิด ที่มาแทนที่หรือมากินพื้นที่แข่งกัน กับอะไรขยุกขยุยมากขึ้นๆ

ซึ่งเป็นนิมิตหมาย เป็นลางบอกเหตุว่า สติของเรา

จะสามารถที่จะสัมผัส สามารถจะรับรู้ถึงความจริง ที่กําลังปรากฏอยู่ในกายในใจนี้ ได้มากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะความฟุ้งซ่านนี่แหละ ม่านบดบังอย่างสาหัส

ไม่สามารถที่จะเกิดสติ เห็นกายเห็นใจโดยความเป็นสภาวะได้

ตราบใดที่ยังมีม่านบังอยู่หนาแน่น

 

แต่ตอนนี้จะโปร่งไปเรื่อยๆ ม่านบังนั้น มีความโปร่งแสง หรือบางทีบางรอบเหมือนกับหายไปก็มี

 

ตอนที่จิตใสใจเราว่างจริงจริง แล้วรู้กระทบคมชัด

เท้ากําลังหมุน ตัวกําลังหยุดยืน แล้วก็ตัวกําลังก้าวเดินไป

ไม่มีใครอยู่ในวัตถุชิ้นนี้ ที่กําลังดุ่มเดินไปเรื่อยๆ

เหมือนกับบางรอบบางครั้ง เรารู้สึกขึ้นมาจริงจังว่า ใจมีความใส มากพอ

ที่จะสัมผัสถึงเค้าโครง หรือความเป็นวัตถุเป็นของแข็ง เป็นของมีน้ำหนักของสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในห้อง

 

ตัวนี้ จะค่อยๆ คืบ ค่อยๆ ก้าวไปทีละนิด ทีละหน่อย

แล้วก็พอนิดหน่อยนี่ เกิดความต่อเนื่องนานพอ

ในที่สุด ย้อนกลับมามองอีกที .. โอ้โห!ก้าวมาไกลมากๆ

 

สําหรับบ๊วย สิ่งที่บ๊วยจะรู้สึกได้ถึงตอนนี้ คือมีความเบาแบบหนึ่ง

เบาใจ เบากาย แล้วเรารู้ว่าไม่ใช่มาถึงตรงนี้ง่ายๆ

ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล ข้ามภูเขา ปีนผาอะไรมากมายมหาศาล กว่าจะมาถึงความเบาตรงนี้ได้

เหมือนกับคนที่ใกล้จะถึงยอดเขา จะรู้ว่าอากาศมีความโปร่ง มีความเบาหายใจสะดวกขึ้นเยอะ

แล้วถ้าหากว่าเรายังไปต่อ เราก็จะรู้สึกได้ถึงความคืบหน้าที่มีมากขึ้น

จนถึงจุดที่เรารู้สึกว่า เออ.. ตรงนี่ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ

มาด้วยฝีมือ มาด้วยความเพียร มาด้วยการไม่หยุดจริงๆ

 

พงศ์ : น่าจะเกิดเห็นปีติ

คือตอนแรกเดิน ก็เหมือนกับว่ากายกับจิตแยกออกจากกัน

คือเหมือนจิตเป็นคนสั่งให้กายเคลื่อนไปมา ในวัตถุนี้

แล้วพอมานั่งยกมือไปสักพัก รู้สึกถึงปีติ รู้สึกว่าปีติที่มีอยู่

เหมือนกับว่าติดตัว แม้ว่าจะเดินไปเดินมา ก็ติดตัวครับ

 

พี่ตุลย์ : ตอนนี้ก็ยังแผ่อยู่ (พงศ์ : ครับ)

ตรงนี้จะเป็นความเข้าใจที่บอกว่า สมาธิแบบพุทธ หรือว่าสติแบบพุทธนี่

เวลาเกิด ไม่ได้เกิดแบบพรวดพราด จะเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป

แล้วพอสติแบบพุทธ หรือว่าจิตแบบพุทธตั้งมั่นแล้ว จะอยู่

ไม่ใช่แบบว่าวอกแวก ไปมาง่ายๆ

 

ตรงนี้ ที่จะเป็นความคืบหน้า ที่พงศ์จะเกิดความเข้าใจขึ้นมา

อีกระดับหนึ่งเลย ที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อน นั่นก็คือว่า

ความก้าวหน้า เกิดขึ้นจากความต่อเนื่อง ความต่อเนื่องที่ตั้งมั่นมากขึ้นๆ โดยมีปีติหล่อเลี้ยง แบบนี้แหละ

 

พงศ์ : หลังจากนั้น พอปีติแบบนั้น รู้สึกจิตจะแผ่กว้างออกไป

รัศมีเกินตัวบ้าน ทุกอย่างสว่างไปหมดครับ แม้แต่ตัวเราก็ตาม

ก็ใช้จิตสัมผัสตรงนี้ในการที่.. เวลาจะไปใกล้ถึงฝาผนัง จะมีความแน่นๆ ออกมา

เห็นสังขาร คือมีความปรุงว่าตอนนี้ต้องเลี้ยวแล้ว ต้องกลับตัวแล้ว ไม่อย่างนั้นจะชน

แล้วก็เหมือนกับ ปีติ หล่อเลี้ยงไปเรื่อยๆ บางทีรู้สึกอยากหายใจจัง เพราะว่าลมหายใจสดชื่นครับ

 

พี่ตุลย์ : นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าดีใจมากๆ ที่พงศ์มาถึงความเป็นพุทธ

มาถึงความก้าวหน้า มาถึงความเป็นผู้ที่มีสิทธิ์จะเป็นพยานบุคคล

ยืนยันให้กับพระพุทธเจ้า ทันวันวิสาขบูชาปี ๒๕๖๕ พอดี

พี่ก็ขออนุโมทนา

 

เพี้ยะ คราวนี้เราเข้าใจ มีความเข้าใจออกมาจากภาวะตรงๆ นะ ว่า

จิตที่เปิด หน้าตาเป็นอย่างไร จิตที่สัมผัสได้ต่อเนื่อง เป็นอย่างไร

แล้วเห็น แม้ว่ายังมีอะไรวิ้งๆ อยู่ในหัวอยู่เรื่อยๆ เพี้ยะก็จะเริ่ม..

มีบางครั้งบางรอบ ที่จิตเราใสใจเราเบาจริงๆ

ขณะที่สิ่งที่อยู่ในหัวนี่ ดับไปให้ดูหายไปให้ดู เหมือนกับสิ่งล่องหน

 

เพี้ยะ : วันนี้ หนูก็เห็นจิตตัวเองชัดขึ้น เวลามีความคิดหรือว่ามีคลื่นมีอะไรแทรกรบกวนอย่างนี้ค่ะ เห็นชัดขึ้นเยอะ

 

พี่ตุลย์ : นี่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ

 

หลายๆ คนที่เคยท้อเคยรู้สึกว่ามันยาก มันโน่นนี่นั่น

นี่ ... มาทันถวายเป็นของขวัญวันเกิด วันประสูติให้กับพระพุทธเจ้านะครับพระศาสดาของพวกเรา

 

อันนี้นี่ ใกล้เคียงกันมากกับที่เพี้ยะจะได้เห็นต่อๆ ไปเร็วๆ นี้

ว่ากายนี้ใจนี้ จริงๆ แล้วไม่มีอะไร ไม่มีใครเลยอยู่ในนี้

นอกจากเป็นภาวะ ที่ปรากฏเป็นของบริสุทธิ์อยู่ต่อจิตที่บริสุทธิ์ แล้วก็สติที่บริสุทธิ์

เป็นเรื่องน่าอนุโมทนาที่เพี้ยะมาได้ถึงวันนี้

 

แอ็ค : วันนี้ดีกว่าทุกวันครับ ก็น่าจะเกิดจากว่าเป็นวันวิสาขบูชา

เลยได้พลังหลายๆ อย่างครับ

ตอนแรกมีคําถามเยอะเลยครับ แต่ว่าก็มีความปิ๊งขึ้นมาระหว่างฟังอาจารย์

ก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ที่รู้สึกว้าวุ่นว่าทำไมเราปฏิบัติได้แย่ลงเรื่อยๆ

รู้สึกว่าเราไปคาดหวัง แล้วก็อยากได้ภาวะดีๆ เกินไป ก็ปิ๊งขึ้นมาในวันนี้ครับ

พี่ตุลย์ : วันนี้ จริงๆ แล้วถ้าไม่พูดถึงเรื่องของกระแส

ไม่พูดถึงเรื่องความสว่าง ที่ท่วมท้นอยู่ในโลก ที่กําลังบูชาพระพุทธเจ้าเนื่องในวันวิสาขบูชานี่

 

ขอให้สังเกต จุดเริ่มต้นขึ้นมา คุณแอ็คแล้วก็ทุกท่านที่มาเป็นผู้สาธิตในวันนี้

จะตั้งต้นขึ้นมาจากจุดที่เหมือนกันจุดหนึ่งคือ

จะถวายการปฏิบัติเป็นบูชา.. อันนี้จําไว้เลย ใช้ได้ตลอดชีวิต

 

เราไม่ต้องใช้แค่เฉพาะวันนี้ ไม่ใช่มีลิขสิทธิ์อยู่วันนี้วันเดียว ที่เราจะตั้งต้นด้วยการถวายเป็นบูชา

แต่สามารถทำได้ต่อเนื่องทุกวัน ตั้งไว้ในจิตของเราอย่างต่อเนื่องว่า

สิ่งที่เราทําไป ไม่ใช่เพื่อเอาอะไรให้ใคร

ไม่ใช่เพื่อที่จะเกิดสมาธิดี ๆ ให้กับตัวเอง

ไม่ใช่เพื่อที่จะได้มรรคผล มาประดับเกียรติ ประดับบารมี เป็นศรีแก่ชีวิต

 

แต่ว่า ถวายเป็นเครื่องบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อย่างที่พวกเราบูชากันจริงๆ พวกเราเคารพท่านกันจริงๆ

นี่แหละ ตัวนี้แหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้นจุดชนวนให้อะไรๆ ดีขึ้นมาอย่างที่คุณแอ็คเล่าให้ฟังครับ

 

บ๊วย ตอนนี้มาถึงความเบา มาถึงความรู้สึกว่า ชีวิตเป็นของโปร่งแสงได้

ตรงที่มีความเบา ตรงที่มีปีติขึ้นมานี่ ไม่ใช่ความบังเอิญ

ของเรานี่ จะรู้ดีเป็นพิเศษ เพราะว่าพยายามมานาน

แล้วก็มีความรู้สึกอะไรมาหลากหลายมาก

 

แต่ในที่สุด ความหลากหลายทางอารมณ์ ทางความท้อ จะหยุดเราไม่ได้

แล้วก็พาเรามาจนถึงวันวิสาขบูชาปี ๒๕๖๕ นี้ไหนลองเล่าให้ฟังว่าประสบการณ์ในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

 

บ๊วย : เป็นวันที่การปฏิบัติดีที่สุดในชีวิตเลยค่ะ สองวันก่อนก็เพิ่งร้องไห้

แต่ก็หลุดออกมาได้เร็วขึ้น เบา แล้วก็เมื่อกี้เหมือนกับเห็นรอบห้องได้ชัด

ซึ่งเป็นครั้งแรก เหมือนกับว่า เฮ้ย.. เราลืมตาอยู่หรือเปล่า

 

พี่ตุลย์ : แล้วจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งเห็นห้องชัดขึ้นเท่าไร ยิ่งย้อนกลับไปเห็นว่า

กายนี้มีความเป็นเค้าเป็นโครง มีความเป็นร่าง เป็นเลือดเนื้อฉาบทากระดูกอยู่

แล้วเดี๋ยวพอมีความก้าวหน้าที่แท้จริง แบบเป็นปกติขึ้นมานี่

บ๊วยจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งเลยว่า

ที่ผ่านมาทั้งหมดไม่ใช่ความลําบาก แต่เป็นบันได

 

พงศ์ : วันนี้มีความรู้ความเข้าใจในทางพุทธมากขึ้น

มีความรู้ความเข้าใจว่า เราจะต้องปฏิบัติอย่างไร ให้มีความเจริญก้าวหน้าครับ

วันนี้เป็นวันที่ดี เป็นประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

เมื่อไหร่ที่ศีลสมาธิแล้วก็ปัญญาของผมบริบูรณ์

จะขอเอาความรู้ ที่มีทั้งทางโลกและที่เคยศึกษาทางธรรม

มาใช้ประโยชน์เพื่อการศาสนา แล้วก็กับอาจารย์ด้วยครับ

 

พี่ตุลย์ : ขออนุโมทนา

 

กลุ่มนี้ จริงๆ แล้วเป็นกลุ่มที่บอกได้ว่าน่าปลื้ม น่ายินดี

เพราะว่าแต่ละคนนี่ ก่อนหน้านี้จะรู้สึกเคว้งคว้างบ้าง ท้อบ้าง

หรือว่ามีความรู้สึกสับสน อะไรต่อมิอะไรบ้าง

 

แต่พอมาถึงจุดนี้ วันนี้ กลายเป็นตรงกันข้ามเลย

กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรใหม่ๆ ที่ไม่มีใครที่จะบอกได้ว่า

ต่อไปจะเป็นคุณค่า จะเป็นประโยชน์กับพระศาสนาในวงกว้างได้มากขึ้นกว่านี้เพียงใด

รู้แต่ว่าวันนี้ เป็นประโยชน์กับชีวิตของตัวเอง อย่างที่ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบ

 

เพี้ยะ : หนูก็ขอถวายการปฏิบัติ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วก็อนาคตเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา

แล้วก็ขอบพระคุณอาจารย์ ที่ให้โอกาสทุกคนได้ปฏิบัติบูชาร่วมกันในวันนี้ค่ะ

 

พี่ตุลย์ : ขออนุโมทนากับเพี้ยะ สิ่งที่เพี้ยะได้เพียรพยายามมา

มาถึงจุดที่ เราพร้อมจะเป็นพยานบุคคลอีกคนหนึ่ง ให้กับพระพุทธศาสนา

ถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับพระพุทธเจ้าได้ เป็นสิ่งที่คู่ควรกัน

แล้วก็วันนี้ เรารู้แล้วว่าในเส้นทางที่ผ่านมา ไม่ใช่เส้นทางที่สูญเปล่า

แต่เป็นอะไรที่เราจะได้ใช้เป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตแบบใหม่ ที่เบ่งบานออกมาจากภายใน

 

แอ็ค : บุญกุศลทั้งหลายที่ผมได้ทําไว้

ไม่ว่าจะเป็นการทําทาน การถือศีล หรือการภาวนา

ตั้งแต่อดีต ทุกภพทุกชาติจนถึงปัจจุบัน ผมก็ขอนําขึ้นบูชา

แด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ทุกท่านด้วยครับ

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนานะ สิ่งที่คุณแอ็คได้ทําแล้ว แล้วก็เห็นผลแล้ว

อย่างวันนี้ จับจุดได้ว่าถ้าเราเริ่มต้นจากการถวายกายใจ

โดยความเป็นธาตุ โดยความเป็นขันธ์ บูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จะช่วยเคลียร์ ช่วยทําให้อะไรๆ ในหัวนี่ โล่งขึ้นได้แน่นอน

แล้วก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมือนกับ เราเป็นอีกผู้หนึ่ง

ที่มีสิทธิ์จะเป็นพยานบุคคลให้กับพระพุทธศาสนาครับ

 

บ๊วย : ต้องกราบขอบพระคุณพี่ตุลย์ค่ะ ที่เป็นเหตุปัจจัย

ขัดเกลาให้บ๊วยเป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้าในวันนี้ได้คู่ควร

ขอถวายการปฏิบัตินี้เป็นเครื่องบูชา พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชาพี่ตุลย์

และขอตั้งจิตให้มีความเข้มแข็ง และมั่นคงในการปฏิบัติตลอดไปค่ะ

 

พี่ตุลย์ : เป็นที่น่าอนุโมทนาทั้งสี่ท่าน

คือเราเห็นกับตาว่าสี่คนนี้ จริงๆ แล้วก็เรียกว่ามีคําถาม มีข้อสงสัย หรือว่ามีข้อติดขัดอะไร

แต่ว่ามาลงอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน ในวันวิสาขบูชา

มีความเจริญก้าวหน้าขึ้นแบบที่เห็นด้วยตาเปล่า ว่าผิดหูผิดตาขนาดไหน

แล้วก็มีความสว่าง มีความกระจ่าง มีความใส มีความชัดเจน

 

เส้นทางนับจากนี้ จะเป็นทางโล่ง จะเป็นซุปเปอร์ไฮเวย์

จะเป็นอะไรที่เรารู้สึกถึงชีวิต ที่แตกต่างออกมาจากข้างในอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมขออนุทนากับทุกท่านที่ได้รับความเจริญ ได้รับความก้าวหน้า

เอาความก้าวหน้านี้ มาถวายเป็นเครื่องบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมหน้ากัน

--------------------

- เพ็ญ / เก่ง / แหม่ม / หม่อน -

 

พี่ตุลย์ : แต่ก่อน ตอนที่เราได้ยินว่า วันพระใหญ่เป็นวันศักดิ์สิทธิ์

บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจ หรือ บางปีอาจจะมีเหตุปัจจัย ที่ทําให้เกิดความรู้สึกว่า

เออ.. ถ้าเราคิดจะบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยการไปเดินเวียนเทียน

ใจรู้สึกเป็นบุญขึ้น กว่าวันอื่นๆ แต่ไม่ค่อยเห็นค่าว่าจะมีใจรู้สึกเป็นบุญแบบนี้ไปทําไม

ในเมื่อวันอื่นๆ เราก็ไป ทําบุญ ใส่บาตร ไปฟังธรรมที่วัด แล้วก็เกิดความรู้สึกคล้ายๆกันได้

 

คือต้องอาศัยแค่ความเชื่อว่า วันพระใหญ่ ทําบุญแล้วจะได้บุญใหญ่

 

แต่วันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น ทําให้เกิดความเข้าใจแตกต่างไป

สิ่งที่สัมผัส สิ่งที่รู้สึก สิ่งที่เป็นประสบการณ์ตรงภายใน

ไม่ว่าจะในหมู่ผู้สาธิต หรือว่าหมู่ผู้ดูผู้ชม เกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง

 

วันพระใหญ่ ถ้าใจของเราใหญ่

ถ้าหากว่าวันสว่าง วันพระวันแห่งความสว่าง ใจของเราสว่าง

แล้วก็วันพระใหญ่ อันเป็นเครื่องหมายเตือนให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า

ที่พระองค์ทรงเกิดมา เพื่อโปรดพวกเราให้หลุดพ้นจากความทุกข์

แล้วก็ได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอน ในแบบที่จะเข้ามา เห็นกายเห็นใจ

โดยความเป็นของอื่น ของแปลกปลอม ของที่น่าทิ้ง

 

ใจที่มีอิสระ ใจที่เบิกบาน เปิดกว้าง สว่างอยู่ เป็นมหากุศลนี่แหละ

ที่บอกเครื่องบูชาที่แท้จริงนี่แหละ จะทําให้เกิดประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่

ในแบบที่แตกต่างไปจากการทําบุญมาทั้งชีวิต

 

ปกติ เราเอาแค่ไปทําสมาธิในโบสถ์ รู้สึกว่าสมาธิเบ่งบานขึ้นมา

มีความสว่างจ้าอะไรขึ้นมา แค่นี้ ดีใจมากแล้ว

รู้สึกว่าจะเป็นบุญใหญ่ ติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติแล้ว

 

แต่ถ้าเราอยู่บ้านนี่แหละ อยู่ในห้องของเรานี่แหละ

แล้วเห็นขึ้นมาว่า กายนี้ ใจนี้ กําลังเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ตั้งอยู่

ให้เราอาศัยระลึก อาศัยมีสติ เข้าไปรู้ เข้าไปดูอยู่ว่า นี่เป็นแค่ธาตุ เป็นแค่ขันธ์

 

ความรู้สึกนี่ ต่างไปเป็นคนละเรื่องเลยนะ

ยิ่งกว่าเราไปอยู่ที่วัด

ยิ่งกว่าเราไปทําสมาธิในโบสถ์

ยิ่งกว่าเราไปใส่บาตรทําบุญกับ พระป่า ครูบาอาจารย์

หรือว่า ผู้ที่เป็นที่ตั้งของความเคารพศรัทธาของเรา

 

เพราะว่าตรงนั้น เราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์

แต่ตรงนี้ เราทําให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นมา

 

พระพุทธเจ้า ไม่ได้ต้องการให้ชาวพุทธ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์

คือโอเค.. เริ่มต้น ต้องเริ่มต้นด้วยศรัทธาจากตรงนั้น

แต่สุดท้าย ท่านปรารถนาที่จะให้ทุกคนที่เป็นชาวพุทธ

ทุกคน ที่อ้างว่าเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง

 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เริ่มต้นขึ้นมาจาก กาย วาจา ใจ ที่มีศีล

แล้วก็ลงท้าย คือ กาย วาจา ใจ ปรากฏเป็นที่ตั้ง

เป็นเครื่องระลึกว่าไม่ใช่ใคร

ไม่ได้มีตัวใครอยู่ในนี้ เพื่อให้จิตเกิดความเป็นอิสระ สว่างจ้าแบบพุทธขึ้นมา

สว่างว่า กายอยู่ส่วนกาย ใจอยู่ส่วนใจ ไม่มีใครอยู่ในนี้ทั้งสองฟาก

 

เวลาที่เราทําได้ จะเหมือนกับ.. ก็เป็นสิ่งที่ ใครๆ ก็น่าจะทําได้

มีแขน มีขา มีหัว มีตัว อวัยวะครบสามสิบสองเหมือนๆ กัน

แต่จริงๆ ไม่ใช่ง่าย

 

บางที เราอยู่ห่างจากคนใกล้ๆ ตัวแค่คืบแค่ศอก

แต่ความเข้าใจ ความรับรู้ ความสามารถที่จะเห็น

ห่างกันเป็นสิบๆ เป็นแสนๆ ชาติ

 

เรามาถึงตรงจุดนี้ได้ ขอให้ทุกคนทราบว่าไม่มีความบังเอิญ

ความยากที่จะมาถึง ไม่ใช่ด้วยการที่ใครจับส่งมา เทวดาจับส่งให้

แต่เป็นการที่เราได้บําเพ็ญ ทั้งในเรื่องของทาน แล้วก็ศีล มา

มากพอที่จะควรค่าแก่การได้มารับรู้ ได้มามีประสบการณ์แบบนี้

 

ถ้าหากว่าวันนี้ เป็นวันแห่งการระลึกถึงว่า ใครเป็นผู้เอาสิ่งที่ดีๆ ขณะนี้มาให้เรา

ใจของเรา นึกน้อมถวายเอาสิ่งที่เป็นการปฏิบัติ

เป็นผลของความพ้นทุกข์

เป็นผลของการที่ทุกข์เบาบางเจือจางลง

น้อมถวายเป็นเครื่องบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็เป็นความประเสริฐ ซ้อนความประเสริฐ และเป็นความประเสริฐ ที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก

 

ใครจะอะไรอย่างไรนี่ เราก็ไม่รู้ไม่เห็น

แต่ว่าใจของเรา ที่อยู่ติดตัวเรา ณ ขณะนี้ บอกได้อย่างหนึ่งว่า

ทิศทางของใจที่มีความสว่าง ที่มีความเปิดที่มีความกว้าง

ที่มีความปรารถนาจะถวายเป็นพุทธบูชานี่ วัดผลได้นะ

มีความเป็นเครื่องชี้ได้ว่า สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าปรารถนาจะได้รับเป็นเครื่องบูชาหรือเปล่า

อย่างที่เราได้เห็นกันมาตั้งแต่ต้นรายการที่ผมยกมา

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะ

มนุษย์นี่ ไม่มีทางถวายบูชาได้เทียบเท่าเทวดาหรอก

เพราะว่าเทวดานี่ ทําให้ดอกสาละ ผลิดอกออกผลนอกฤดูกาลได้

แล้วก็โปรยปรายความเป็นทิพย์

ทั้งในแบบของรูป ทั้งแบบของเสียงดนตรีอันเป็นทิพย์

เทวดาทําไว้หมดแล้ว ไม่มีมนุษย์หน้าไหนไปสู้ได้

 

ถ้าจะเอาเครื่องบูชาอันยอด

ที่มนุษย์จะถวายแด่พระพุทธเจ้าได้ แล้วพระองค์พอพระทัย

ไม่ใช่เครื่องบูชาอันเป็นทิพย์เหล่านั้น แต่เป็นจิตที่กําลังเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคนอยู่ ณ บัดนี้นี่แหละ

ตรงนั้นแหละ ที่พระพุทธองค์ปรารถนา

 

แล้วพระพุทธองค์มีฉันทะที่มาถึงตรงนี้ได้ ก็เพื่อที่จะเห็น

พระองค์เสวยพระชาติสุดท้ายของท่านนี่

ไม่ได้ปรารถนาเครื่องทองของกํานัน ไม่ใช่ปรารถนาการบูชาอันเป็นทิพย์ แต่ปรารถนาการบูชา จากจิตที่มีความเข้าซึ้งถึงธรรม

เข้ามารู้ เข้ามาดูอยู่ว่า กายนี้ ใจนี้เป็นต่างหากจากกัน ไม่มีใครอยู่ในนี้ทั้งคู่ ทั้งสองฟาก

 

ของเพ็ญลมหายใจกับมือซิงค์กันดี

 

เพ็ญ : เห็นภาวะกายใจ ก็คือเหตุปัจจัยที่ต่างกันออกไปในการเดินแต่ละรอบค่ะ

มีความสบาย บนว่าง ล่างชัด แต่ก็ไม่ได้เป็นทุกรอบ

บางรอบที่มีความคิดเข้ามาก็จะเดินชน แต่ว่าก็ไม่ได้ปรุงแต่ง

สังขารขันธ์ ก็ไม่ได้รู้สึกปรุงออกไป ก็กลับเข้ามาในทางใหม่

รู้ความร้อนที่มากระทบกาย และความร้อนที่เกิดในกาย

เห็นกายที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย

มีอาการปวดหัวข้างซ้ายบ้างบางครั้ง พอผ่อนคลายก็หายไปตามเหตุปัจจัยค่ะ

 

พี่ตุลย์ : แม้แต่ความทุกข์ ทุกขเวทนา ก็อุตส่าห์มาช่วยเป็นเครื่อง

เป็นอุปกรณ์ในการปฏิบัติในวันถวายขันธ์ห้านี้ เป็นพุทธบูชา

มาพร้อมเลยทั้งสุขทั้งทุกข์

 

ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เพ็ญสามารถที่จะนํามาใช้ เป็นเครื่องถวายแด่พระพุทธองค์ได้เช่นกัน

เพราะว่าทั้งทุกข์ทั้งสุขนี่ เวลาพระองค์ให้ดู

พระองค์ให้ดูโดยความเป็นของไม่เที่ยง

ไม่ใช่เป็นของน่ารังเกียจ หรือว่าเป็นของน่ายินดีต้อนรับ

แต่พระองค์ให้เห็นว่า ทั้งหลายทั้งปวงนั้น

มาเพื่อให้รู้ว่าไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่น่ายึดไว้น่าห่วงไว้

จะเป็นทุกข์ก็ดี จะเป็นสุขก็ตาม

 

เก่ง : วันนี้รู้สึกว่าเบาสบายอย่างไม่รู้สึกมาก่อนค่ะ

และตั้งแต่รู้ว่าจะได้มาส่งการบ้าน ก็เหมือนมีปีติอ่อนๆ

แต่เก่งก็ไม่ได้ตั้งใจทําอะไร แค่ดูไปเหมือนตามปกติของแต่ละวัน

ไม่ได้เดินจงกรมตั้งแต่เช้า แต่ก็เทียบดูว่า เราต่างจากคนนี้อย่างไร เป็นอย่างไรเหมือนที่พี่ตุลย์เคยสอน

แต่เหมือนจะเสถียรกว่าเดิม นิ่งกว่าเดิม ความฟุ้งซ่านก็ไม่ค่อยมี

มีความคิดจรมา แต่ก็จะเห็นว่าดับไป แต่ก็ยังไม่ได้เห็นชัดมาก

 

ระหว่างที่ตอนที่เตรียมตัวจะเดินจงกรม วันนี้ก็รู้สึกจิตรวมเป็นสมาธิได้ดีขึ้น

เมื่อกี้ก็มีปีติขึ้นมานิดหนึ่ง เพิ่มขึ้น พบว่าเข้าใจธรรมะบางข้อได้มากขึ้น ชัดเจนขึ้น ตามที่พี่ตุลย์อธิบาย

ไม่ทราบว่า เข้าใจจริงหรือเปล่า อย่างตรงที่ กายอยู่ส่วนกาย ใจอยู่ส่วนใจ แล้วก็ไม่มีอะไรเลย

ก็คือเหมือนกับว่า เราอยู่ตรงกลางนั่นแหละ แต่เราก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยทั้งสิ้น

 

พี่ตุลย์ : นั่นเข้าใจจริงๆ แล้วก็เป็นความเข้าใจที่สําคัญยิ่งยวด

ถ้าหากว่า เราสามารถแยกออกว่า

จิตอยู่ส่วนจิต กายอยู่ส่วนกาย ไม่มีใครอยู่ในนั้นทั้งคู่

ตรงนี้แหละ ความเข้าใจแบบนี้แหละ

เวลาที่เราจะน้อมถวายเป็นพุทธบูชา เราจะมีความปลื้ม จะมีความเต็ม จะมีความอิ่ม

เราจะมีความรู้สึกว่านี่คู่ควร อันนี้แหละที่เป็นสิ่งที่ ถ้าพูดง่ายๆ

ถวายให้พระพุทธเจ้าเป็นของขวัญวันเกิดท่านอย่างไรนี่

ยิ่งกว่าเราเอาของขวัญวันเกิด ไปมอบให้กับใครทั้งจักรวาล

ไม่มีอะไรที่เกินไปกว่านี้อีกแล้ว

 

เพราะว่าสิ่งที่เราให้เป็นพุทธบูชานี่ ได้จากตัวเราเองก่อน

แล้วก็ได้กับคนอื่น ซึ่งจะมาได้รับผล ได้รับประโยชน์ จากการรู้การเห็น

จากการมีประสบการณ์ของเราในแบบที่เกิดขึ้นกับเก่งในวันนี้

ก็เป็นเรื่องน่าอนุโมทนา

 

เก่ง : ตอนที่พี่ตุลย์พูดคําว่า กายกับใจ ก็เหมือนมันวาบขึ้นมาเองค่ะ

ก็ไม่ได้ไปตั้งใจคิดตาม แต่ว่าเหมือนขนลุกซู่ก่อนหน้านี้ขึ้นมานิดหนึ่ง

แล้วก็น้ำตาไหล เพราะว่าเสียงพี่ตุลย์มีเมตตาธรรมสูงส่งมาก

ยิ่งกว่า ..เหมือนกับว่าในจักรวาลนี้ ก็เป็นที่พึ่งทางใจของเก่งมาตลอดค่ะ

ต้องกราบขอบพระคุณพี่ตุลย์มากนะคะ

 

พี่ตุลย์ : พี่อนุโมทนาอย่างยิ่งนะ ก็มาถึงจุดนี้นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ

แล้วก็มาอยู่ในวันเกิดของพระพุทธเจ้าพอดี เป็นเรื่องน่ายินดีมาก

 

แหม่ม : เริ่มตั้งแต่ตอนที่สวดมนต์ รู้สึกว่าวันนี้จิตมีกําลัง

ความคิดเริ่มเบาบางลง แล้วก็ตั้งแต่คนแรก ช่วงแรกก็จะเบาๆ

พอสักพักหนึ่ง ที่กายเริ่มมีความเมื่อยเจ็บ ก็จะเห็นความทึบ ทึบขึ้นของกาย

แล้วก็จะมีบางช่วงที่จะโปร่งเบา เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าไลฟ์

ตอนต้น ก็รู้สึกว่ากายทึบ มีความหนัก เป็นแท่งๆ

พอเดินไป ตอนที่พี่ตุลย์พูด ก็รู้สึกถึงปีติ แล้วก็มีบางช่วงก็เบา

 

สิ่งหนึ่งที่เห็นตลอดของการไลฟ์วันนี้คือ ความเป็นตัวเราออกห่างไปมากกว่าเดิมค่ะ

อาจเป็นเฉพาะวันนี้ แต่ว่ารู้สึกว่าอยู่ห่างไป ยังคงปรุงคะ แต่มีความรู้สึกห่าง ค่ะ

 

พี่ตุลย์ : ถือว่าเป็นอีกวันหนึ่งของแหม่ม ในชีวิตของแหม่มที่มีค่ามากๆแล้วแหม่มจะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง ถึงความสว่างออกมาจากภายใน

ที่พร้อมจะสามารถ คู่ควรที่จะถวายเป็นพุทธบูชา พี่ขออนุโมทนา

 

หม่อน : ทุกวันที่ผ่านมาหม่อนทําแล้วจะมีความรู้สึกว่า เหมือนใสๆ

เหมือนอย่างวันนี้ ก็เหมือนกับมีความรู้สึกว่าใสนิดๆ

แต่ไม่รู้ว่า ปีติ หรือคืออะไร หรือเพราะเรานั่งนาน แล้วเกิดอาการทางร่างกายค่ะ ก็ไม่แน่ใจ

อย่างถามว่าวันนี้ทําแล้วเป็นสมาธิขึ้นไหม ก็ไม่ถึงกับมากนักแต่ก็เป็นบางช่วง

 

พี่ตุลย์ : แต่อย่างน้อยคือได้ทํา จะบางช่วงหรือว่ากี่ช่วงก็ตาม

คือการแสดงความไม่เที่ยงของภาวะทั้งสิ้น

แล้วพอมาทําด้วยกัน มาพร้อมใจกันถวายเป็นพุทธบูชาด้วยกันนี่

ก็จะเป็นสิ่งที่เป็นเสบียง เป็นเครื่องทุ่นแรง

เป็นต้นทุนในการปฏิบัติครั้งต่อๆ ไปอย่างไม่ต้องสงสัย

 

เพราะวันนี้ถือว่าเรามาพร้อมใจกัน ไม่ใช่มาเอาอะไรดีๆ เข้าตัว

แต่เป็นการปฏิบัติ เพื่อถวายการเห็นความไม่เที่ยง

เพื่อให้จิตของเรา มีสติ มีความเข้าใจประกอบพร้อมไปว่า

ภาวะไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี อย่างไรก็ต้องแสดงความไม่เที่ยงให้ดูอยู่วันยังค่ำ

 

เพ็ญ : ขอถวายการปฏิบัติ ในชาติปัจจุบัน ชาติที่ผ่านมาแล้ว

ทั้งที่จําได้ และจําไม่ได้ ขอถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และองค์พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ค่ะ

ขอถวายกายและใจนี้ ให้เห็นการทํางานของขันธ์ห้า ละขันธ์ห้า อุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ให้มีดวงตาเห็นธรรม

แล้วก็จะช่วยรักษาพระพุทธศาสนา ช่วยพี่ตุลย์สืบต่อไป

ขอกราบถวายเป็นอาจาริยบูชากับพี่ตุลย์ด้วยค่ะ ที่อบรมชี้นําสั่งสอนให้เพ็ญเห็นทางสว่าง เข้าทางในการปฏิบัติ

เป็นชาติที่ประเสริฐที่สุดได้พบครูบาอาจารย์พี่ตุลย์

 

พี่ตุลย์ : พี่ขออนุโมทนา แล้วก็กล่าวว่า ธรรมะ การปฏิบัติที่ผ่านมาของเพ็ญ

ไม่ว่าจะด้วยความยากลําบาก ด้วยความรู้สึกเหมือนระหกระเหิน

ด้วยความรู้สึกชื่นบาน จะแค่ไหนก็ตาม

เส้นทางนี้ เป็นเส้นทางที่คุ้มแล้วกับการได้น้อมมาถวาย เป็นพุทธบูชาในวันนี้ วิสาขบูชาปี ๒๕๖๕ แล้วก็เราจะทําร่วมกันต่อๆ ไป

 

เก่ง : ข้าพเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทุกๆ พระองค์ และพระพุทธปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์

ผลบุญใด หรือว่าสิ่งใด ที่ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่อดีตชาติ

จนกระทั่งถึงปัจจุบันชาติ และสิ่งที่จะปฏิบัติต่อไป ที่จะพยายามในทุกๆวัน

ก็ขอถวายเป็นพระพุทธบูชา แล้วก็ตั้งใจจะปฏิบัติเพื่อเป็นพยาน

เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คําสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น

เป็นทางสว่าง ทําให้เรารู้แจ้ง และละตัวตนหรืออัตตาได้อย่างแท้จริง

จะขอปฏิบัติบูชา เพื่อสักการะพี่ตุลย์ ที่เมตตามาตลอด

จะขอเป็นฟันเฟืองหนึ่ง ที่จะทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต กราบขอบพระคุณครับ

 

พี่ตุลย์ : กําลังใจที่ยิ่งใหญ่ของเก่ง มีความควรค่าแล้วกับการถวายเป็นพุทธบูชา

พี่ขออนุโมทนา ทั้งความตั้งใจเพียรพยายามที่ผ่านมา แล้วก็ความตั้งใจในอนาคตที่จะเกิดขึ้น

 

แหม่ม : ขอให้การปฏิบัติใดๆ ตั้งแต่ในอดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ไปจนถึงอนาคตนี้

ขอถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาแด่พระพุทธเจ้า และแด่บิดามารดา ตลอดจนครูบาอาจารย์ ทุก ๆ ท่านรวมทั้งพี่ตุลย์ด้วยค่ะ

 

ด้วยอานิสงส์นี้ ขอให้กายใจนี้ มีความตั้งใจที่จะเดินในเส้นทางนี้ ไปจนสุดพ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงด้วยค่ะ

 

พี่ตุลย์ : พี่ขอกล่าวอนุโมทนากับความเพียรพยายามที่ผ่านมา

ความรู้สึกที่อาจจะหลากหลายอารมณ์ที่ผ่านมานี่ รวมลงเป็นความสว่าง ความเบิกบาน และความจริงที่อยู่ในใจของเรา

ที่จะน้อมกล่าวถวายเป็นพุทธบูชาในวันนี้ แล้วก็สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกาลนี่เราไม่ต้องสงสัย

ก็คือความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าขึ้นแน่นอน ทั้งทางโลกและทางธรรม อนุโมทนาแหม่ม

 

หม่อน : ข้าพเจ้าขอถวายการปฏิบัติคุณงามความดีทั้งหลาย ถวายแด่

พระพุทธเจ้า เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชาและสังฆบูชา อาจาริยบูชา

และบิดามารดา ขอให้การปฏิบัตินี้ เป็นการปฏิบัติที่นําทางให้ข้าพเจ้าได้พบกับทางสว่างไม่ทุกข์

 

พี่ตุลย์ : อนุโมทนาครับ สิ่งที่ได้ทํามาแล้วคุ้มแล้ว

แล้วก็จะได้อยู่ในร่องในรอยเป็น สัญญาณนําร่องให้ได้พบพุทธศาสนาไม่ว่าจะในชาตินี้หรือชาติไหนต่อไปแน่นอน

--------------------

 

(ปิดท้าย)

 

ปีที่แล้ว ลงท้ายในใจ.. บอกในใจ บอกตัวเองในใจ

อธิษฐานว่า จะพยายามเอามรรคเอาผล มาให้เกิดกับบุคคลในปัจจุบัน

บุคคลร่วมสมัย เพื่อเป็นพยานบุคคลให้กับพระพุทธเจ้า

 

ในปีนี้ พูดออกปากเลย

ก็ขอให้ได้อยู่กับพวกเราในห้องวิปัสสนานุบาล

เพื่อเอามรรคเอาผลของกองทัพพยานบุคคล

มาถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวิสาขบูชาปีหน้าด้วยเทอญ

_________________

วิปัสสนานุบาล EP 137 | วันวิสาขบูชา

วันที่ 15 พฤษภาคม 2565

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=72NKfPxt97U

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น