วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล EP 87 (เกริ่นนำ) ช่วงชีวิตสาหัส อาจเป็นจังหวะดีสุด เพื่อก้าวผ่านด่านแรก - 5 มีนาคม 2565

วิปัสสนานุบาล EP 87 | เสาร์ 5 มีนาคม 2565

เกริ่นนำ – 

 

พี่ตุลย์ : ตั้งแต่เมื่อคืน ก็อย่างที่คาดหมาย  

มีคนอยากรู้กันเยอะว่า ใครในพวกเราที่ผ่านด่านแรกได้

ซึ่งก็เป็นที่คาดหมายได้นะ

อยากรู้เพราะอยากอนุโมทนา ไปกับเขา หรือเธอ

 

ก่อนที่เราจะมารู้ว่าเป็นใครนี่

อยากให้เข้าใจว่า พวกเราจะเป็นประโยชน์ต่อกันและกันจริงๆ

ก็คือได้ทั้งแง่ของกําลังใจ แรงบันดาลใจ แล้วก็แนวทาง  

 

เพราะฉะนั้น ก่อนที่ .. อย่างเดือนนี้ กําลังยังดีๆ อยู่

ผมก็อยากจะลองสักตั้งดูว่า

ถ้าหนึ่งเดือนทําอย่างต่อเนื่องไปเหมือนเคยนี้

จะมีอะไรดีขึ้นได้บ้างไหม

 

แทนที่จะอยู่กับความเป็นอย่างนี้ แล้วก็ติดอีกหลายๆ ปีนะ

ยังมีความเป็นไปได้อยู่ เพราะอะไรที่สดใหม่ อะไรที่ยังมีกําลังพร้อมนี้

อย่างในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านก็ถึงขั้นสุดท้ายกัน

ใช้เวลาหลักสัปดาห์หลักเดือน

 

ทีนี้ ถ้าหากว่าเอามาโชว์ตัว แล้วเกิดติดใจการโชว์ตัวขึ้นมา

หรือมีใครมาขอให้ช่วยอะไรมากมาย อาจจะติดค้างอยู่ตรงนี้  

 

เมื่อวานก็เลย เปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายเลย

บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอเวลาเดือนหนึ่งเดี๋ยวเปิดเผยตัวแน่

แต่ว่าอย่างไรก็ตาม จะมีประโยชน์ ถ้าหากว่า

เราจะกล่าวถึง ที่มาที่ไปสักนิดหนึ่ง

 

คือคน ๆ นี้ ผมรู้จักครั้งแรก เห็นตัวครั้งแรก จากในคอมเมนท์

ที่ช่วงที่ผมน่าจะสอนใช้มือไกด์ หรือว่าจะใช้เสียงสติ

หรืออะไรสักอย่างนี่ จําไม่ได้แน่ .. เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว 

 

นี่เขาเป็นคนนับเอง เป็นคนบอกว่า

ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน จนกระทั่งถึงวันที่ได้ .. เจ็ดเดือนพอดี

 

ตอนนั้น ที่เห็นในคอมเมนท์ ก็รู้สึกเห็นแววบางอย่าง

เลยให้แอดมินติดต่อไป ให้มาคุยกันเป็นส่วนตัวในทางไลน์

ไม่เคยเจอตัวจริงกัน จนกระทั่งวันนี้ ก็ยังไม่เคยเจอ

แล้วก็คุยกันมาเรื่อยๆ

 

ประเด็นที่ อยากจะบอกคือ

(คุยกัน) เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว ก่อนหน้าที่จะตั้งห้องวิปัสสนานุบาล

เพื่อให้ความเข้าใจชัดเจนว่า ปกติ ไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษ

ขอให้เข้าใจด้วยว่า เป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะคุยกับทุกคน เป็นร้อย ๆ คนนะครับ 

 

คนนี้ (คุยกัน) ตั้งแต่เจ็ดเดือนที่แล้ว

ก่อนหน้าที่จะตั้งห้องวิปัสสนานุบาลสามเดือน

ไม่ใช่ว่าตั้ง (ห้อง) แล้วก็เหมือนกับมีอภิสิทธิ์พิเศษอะไรอย่างนั้น

 

ทีนี้ที่จะพูดเป็นประเด็น ที่น่าสนใจจริง ๆ ก็คือ

เจ็ดเดือนนี้ อันนี้เป็นคําพูดของเขาเอง

จะยกมาให้ดู .. เขาเขียนเอง คือบอกว่า

 

เป็นเจ็ดเดือนที่เอาจริง เป็นเจ็ดเดือนที่จะว่านาน ก็ว่านาน

เพราะว่าทํากันทุกวัน จริงจัง

ไม่เหมือนแต่ก่อน บอกว่าปฏิบัติมาเป็นสิบปี

แต่ที่จริง ที่จะจริงจังนี่ ในแต่ละปีแทบนับวันได้

แต่เจ็ดเดือนนี้ จริงจังทุกวัน

ความเข้มข้นต่างจากสิบยี่สิบปีที่ผ่านมาเทียบไม่ติด

 

ตรงนี้อยากจะให้มีความเข้าใจกันชัดๆ

ไม่ใช่ว่าผมมีความสามารถพิเศษ พลังพิเศษอะไรที่จะดลบันดาล

ให้ใครถึงขั้นแรกได้ ข้ามเส้นแรกได้ ผ่านด่านแรกได้ .. ไม่ใช่  

 

ต้องด้วยความพยายาม ของคน ๆ นั้นเอง

 

ผมได้แค่เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน มาทําให้เป็นที่เข้าใจ เป็นวัน ๆ

 

เพราะผมเอง เอาจริงๆ เลย ถ้าจะบอกว่า ได้ธรรมะจริงๆ จากใครนี่

ก็เรียบเรียงครูบาอาจารย์มาหมดแล้วแหละ คือพูดซ้ำบ่อยแล้ว

 

แต่ว่าที่จริงๆ เลย ก็ได้จากพระพุทธเจ้า

เพราะว่าเริ่มต้นไม่ได้เริ่มด้วยบุคคล

แต่ว่าเริ่มด้วยการรับธรรมะ จากพระองค์โดยตรง

 

แล้วผมก็พยายามให้คนๆ นี้ ได้แนวทางแบบนั้นด้วย

จะได้ช่วยกันยืนยันว่า พระพุทธเจ้ายังไม่ตายอาศัยสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้

เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัตินั่นแหละ มาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้

ขอมีความเพียร มีความพยายามจริงจังเท่านั้น

 

ทีนี้ มีอีกประเด็นหนึ่งคือ

คนๆ นี้ ไม่ได้ปฏิบัติในเวลา ในช่วงชีวิต ที่มีความสุขอย่างเดียว

คือมีทั้งช่วงที่อะไรในชีวิตนี่เบาบาง

แล้วก็มีหลายช่วง โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ช่วงเดือนท้ายๆ นี่

ชีวิตมาถึงจุดที่เรียกว่า แบกภาระหนักที่สุด .. หนักที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต

 

มีคําหนึ่ง  อันนี้จะไม่ลงดีเทล แต่มีคําหนึ่งที่ผมบอกเขา นั่นก็คือ   

 

ตอนที่เซ็งสุดขีด ตอนจิตไม่เอาไหนเลย

อย่าคิดว่าเป็นเคราะห์ร้ายเสมอไป โดยเฉพาะในทางธรรม

 

ตอนที่ เราเห็นทุกข์ชัดเจนที่สุดนี่ เกิดตอนที่ทุกขเวทนามันปรากฏ

แต่ขณะเดียวกัน จิตมีความเป็นอุเบกขา เป็นอุเบกขาแบบบริสุทธิ์

พูดง่าย ๆ ว่า ความทุกข์ เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจ หนักหนาสาหัส

ที่คน ๆ นี้เจอในช่วงท้าย ๆ .. แต่ว่ายังเจริญสติไม่หยุด

 

ต่อไปนี่ก็จะรวบรวม

คือให้เขารวบรวมสิ่งที่ได้คุยกัน ที่เขาเล่าให้ฟังนี่ออกมาเป็นเล่ม

เพราะฉะนั้นไม่ปิดบังตลอดไปแน่นอน จะรู้กัน

คือเคยเห็นหน้ากันในนี้แหละ

 

ช่วงนี้หลาย ๆ ท่านก็มีความทุกข์ เผชิญกับชะตากรรมแบบฆราวาส

ที่เต็มไปด้วย เรื่องรุงรัง น่าหนักใจ หรือว่า อารมณ์เซ็งเป็ด

ที่ยิ่งวัน โลกเหมือนยิ่งกระทําย่ำยีกับจิตใจชาวโลกนี่ หนักขึ้นๆ

 

แต่ถ้าหากว่า ในห้วงแห่งความทุกข์

เรามีความใส ความเบาของจิต

อันเกิดจากการภาวนาถูกทาง เจริญอานาปานสติเป็น

 

คน ๆ นี้ ผมสอนแบบเดียวกันกับที่มาโค้ชทุกท่านนี่แหละ

อาจจะมีดีเทลอะไรที่ยิบย่อย แต่ว่าโดยแนวทางหลัก ไม่ต่างกัน

รับรองได้ รับประกันได้ว่า ไม่ใช่มีเคล็ดลับ

หรือว่าไม่ใช่มีกํามืออาจารย์อะไร ที่จะต้องปิดบังกัน

 

ทุกอย่างที่ผมคุยกันในไลฟ์ห้องวิปัสสนานุบาล

ก็คือ อะไรแบบเดียวกันที่คุยกับคน ๆ นี้แหละ

 

แต่คน ๆ นี้ ไม่ได้ ..

เอาเป็นว่าเจ็ดเดือนที่ผ่านมา ใส่ใจจริงๆ ว่า

เราจะเอาจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร

ไม่ไปสะเปะสะปะ ไม่คิดเองเออเอง แล้วก็อยู่กับร่องกะรอย

 

คือบางครั้งนี่ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น

แล้วเป็นเหตุให้เกิดความท้อ เกิดความทรมานใจ

หรืออย่างท่านๆ นี่แหละ บางทีอยากได้มรรคอยากได้ผล  

ผ่านมาหลายด่าน ผ่านด่านความเห็นผิดอะไรมาสารพัด

แล้วก็ซับซ้อนพิสดารมาก เพราะตอนจิตมีกําลังจะเล่นอะไรได้เยอะ  

 

ไปคิดเองเออเองแค่นิดเดียวนี่ โอ้โห! บางทีเห็นเลย

บางทีจะไปเป็นอสัญญีพรหม (หมายเหตุ : พรหมลูกฟัก) บ้าง

บางทีจะไปเหมือนกับ สร้างนิมิตอะไรขึ้นมาเอง

แล้วก็ เข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์อะไรขึ้นมาได้อย่างนี้

 

ก็เลยจะบอกว่า ถ้าเราปฏิบัติแบบตรงทางจริง ๆ

บางทีแม้ตรงทางแล้ว ก็เจอด่านดัก ก็เจออุปสรรค หลายซับหลายซ้อน

ซึ่งเดี๋ยวจะให้มาเล่าแบบละเอียด  

แต่เดือนนี้ ขอลองดูว่าเป็นไปได้ไหม ที่ยังสด ๆ ใหม่ ๆ อยู่นี่

จะมีความสามารถ ในการทําอะไรให้ดีขึ้นได้หรือเปล่า

 

ก็จะบอกนะครับว่า ถ้าหาก เราคิดว่า

เราไม่มีโอกาส เรามีความทุกข์ ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องหนักหนาสาหัส   

 

อยากบอกว่า จริง ๆ แล้ว

อาจจะเป็นช่วงที่ดีที่สุด ที่เอื้อที่สุด

หรือว่าผลักดันให้เรา ผ่านด่านแรกได้ง่ายที่สุดในชีวิต ก็ได้

 

ถ้าเราเจริญสติดี  มีทุนเป็นสมาธิ มีจิตใสใจเบาได้บ้าง

เดินจงกรมเป็น เทียบธาตุดิน วัตถุนี้ กับวัตถุอื่นได้เสมอกัน

อันนี้ อาจจะเป็นจุดลงตัวที่สุด ที่เราจะได้สําเร็จ

 

อย่างพระพุทธเจ้า ท่านทุกข์ทรมานอยู่หกพรรษา

ถ้านึกไม่ออก ลองเอาตัวไปอยู่ใน ที่ๆ เต็มไปด้วยความทุกข์

เต็มไปด้วยเสี้ยนหนาม เต็มไปด้วยความคันคะเยอ

เต็มไปด้วย ความลําบากนานับประการ  

แทบไม่กินแทบไม่นอน อะไรแบบนี้ หกพรรษาหกปี ลองนึกดู  

 

เสร็จแล้ว คืนที่ท่านบรรลุ ท่านมีจิตที่ เป็นสมาธิ

แล้วก็ทบทวนดูเห็นว่า อะไรๆ ที่ กําลังมี กําลังเป็นอยู่นี่

เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ว่ามีใคร ไม่ใช่มีภาวะอะไรอย่างหนึ่งตั้งอยู่

จะทุกข์หรือจะสุขก็ตาม ท่านเห็นเหตุปัจจัย

 

และการเห็นเหตุปัจจัย สืบไปสืบมา ได้ต้นเค้าที่ อวิชชา

ประหารอวิชชาสําเร็จนั่นแหละ ท่านถึงได้มาสอนโลกได้  

 

อันนี้ก็เหมือนกัน พวกเรานี่บางทีตั้งสเปกกันไว้ผิด ๆ

ว่าชีวิตต้องอยู่ในช่วงที่ดี มีความสุข ชีวิตต้องพร้อม สมาธิต้องเจ๋ง

ต้องมีใครสักคนหนึ่ง มาดลบันดาล หรือมาเสกเป่า

ให้ใจของเราเข้าที่เข้าทาง มีความวิเศษวิโสอะไรขึ้นมา

แล้วถึงพร้อมบรรลุได้ .. ไม่ใช่นะ ตรงกันข้าม  

 

ที่ตั้งไว้เป็นสเปกในใจ ว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้

โดนกิเลสหลอก

 

แต่ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ มีความทุกข์ตามอัตภาพของแต่ละคนนั่นแหละ  

แล้วมีความเพียรที่ถูกต้อง ที่จะทําให้เกิดสมาธิ ที่จะทําให้เกิดปัญญา

นั่นแหละ ความพร้อมที่จะข้ามเส้นได้

 

เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสเองเลย บอกว่า

ถ้าไม่มีความสุขอยู่บ้าง

สัตว์ทั้งหลายก็คงไม่ติดอยู่ในสังสารวัฏ

แล้วถ้าไม่มีความทุกข์อยู่บ้าง

สัตว์ทั้งหลาย ก็คงไม่คิดจะออกจากสังสารวัฏ

 

พูดง่าย ๆ ถ้าไม่มีความทุกข์ ไม่มีแรงผลัก มีแต่ดีกับดี จะออกไปทําไม

มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีแต่ชะตากรรมที่มาโอ๋  

มีแต่ใครต่อใครที่มาชื่นชม

แล้วจะออกไปทําไมจากความเป็นอย่างนี้ใช่ไหม

 

คือ ใครที่กําลังมีความทุกข์ แต่ยังเพียรไม่เลิก

แล้วรู้ว่าจิตของเราใส ใจของเราเบาได้ 

ตรงนี้ อยากจะบอกว่า ขอให้ดูคน ๆ นี้เป็นตัวอย่าง

 

บอกซ้ำอีกที .. เขาพูดเอง ตั้งแต่รู้จักกันเจ็ดเดือน

ไม่มีแม้แต่วันเดียว ที่หยุดเจริญสติ

ไม่มีแม้แต่วันเดียว ที่เลิกทําสมาธิ หรือเดินจงกรม

 

 

จะมีอยู่วันหนึ่งที่ผมสั่งให้หยุดเอง เพราะว่าเขาไปเล่นอะไรเพี้ยนๆ

แล้วก็กลัวว่าจะหลงทางเข้าป่ารกไป ก็เลยบอก

คือจะดูอาการว่า จะยังมีนิมิตหลอกหลอนอะไรอีกไหม

 

แต่ว่า นอกนั้นเจ็ดเดือนที่ผ่านมา ไม่มีแม้แต่วันเดียวที่หยุด

ก็จะบอกทุกท่าน ให้เกิดกําลังใจ และเกิดความแน่ใจ

 

.. นี่หลายๆ คนอาจจะนึกถึงเรื่อง เจ็ดเดือนบรรลุธรรม

 

เจ็ดเดือนบรรลุธรรมนี่เป็นนิยายนะ ไม่ใช่เรื่องของผมเอง

เป็นนิยายจริงๆ แต่ว่าเรียบเรียงขึ้นมา

เพื่อที่จะให้เห็นว่า สติปัฏฐานสี่ ปฏิบัติได้จริงๆ ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไร

ตั้งแต่ต้น จนข้ามเส้นแรกได้อย่างไร

 

ตรงนี้ก็เป็นความประจวบมั้ง เจ็ดเดือนพอดีเหมือนกัน

แต่ว่าอันนี้เรื่องจริง แล้วก็เป็นสิ่งที่ ..

 

คือบางคนในที่นี้ .. อย่างคนนี้ ผมกะไว้เก็งไว้ว่ามีแวว

อันนี้พูดตรงไปตรงมาเลย คือเห็นตั้งแต่แรก ว่ามีแวว

เสร็จแล้วก็ได้จริงๆ

 

เพราะฉะนั้น ที่ผมพูดว่าหลายๆ คนในห้องนี้มีสิทธิ์

นี่ไม่ได้มั่วนะ แล้วตอนนี้ก็ยังยืนยันว่า

ถ้ามีฉันทะ ก็มีจํานวนที่เพิ่มขึ้น

ที่บอกไปวันก่อน.. ปีนี้มีสิทธิ์หกคน

อันนี้ยํ้าว่าเท่าที่เห็นว่ากําลังมีอยู่

 

แต่ถ้ามีฉันทะเพิ่มขึ้น อาจจะยี่สิบ สี่สิบอะไรแบบนี้

ตัวเลขนี่ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเหตุปัจจัย ไม่ได้ฟิกซ์ตายตัว

 

คือหลังๆ ผมมีความเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องวันเวลาที่เหมาะสมด้วย

ที่จริง ใจ ไม่อยากยอมรับ .. แต่ว่าเป็นเรื่องจริง

คือมีจังหวะ มีโอกาส มีเดือน มีปีที่เหมาะสม

 

ทีนี้ไม่ใช่ว่า สมมติว่า

อย่างคนๆ นี้ บอกเดือนมีนาคม เป็นจังหวะที่เหมาะ  

แต่ถ้ามีนาคม ทอดหุ่ยเลย .. ก็ไม่ได้นะ

 

แล้วจะมีช่วงอื่น ๆ

อย่างช่วงปีนี้อาจจะมีอีกสองเดือน โอกาสอาจจะน้อยลงอะไรแบบนี้  

แต่นี่ถ้าสมมติว่า ปีนี้มีสามเดือนมีจังหวะที่เหมาะจะได้ถึง

เสร็จแล้วทั้งสามเดือนนี่ นอนเล่น ตีพุง ดูหนังดูละครอะไรไปนี่

ก็หมดสิทธิ์

 

อันนี้ต้องทําความเข้าใจ

ทําให้เกิดความเข้าใจจริง ๆ ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ  

 

อย่างผมเคยพูดบ่อย ๆ ยกตัวอย่างพระเจ้าอชาติศัตรูนี่

เดือนนั้นปีนั้น ที่ท่านจะได้พบพระพุทธเจ้า ต่อเบื้องพระพักตร์

ฟังธรรมเทศน์เป็นครั้งแรกนี่ ท่านมีสิทธิ์ได้บรรลุโสดาปัตติผล

พระพุทธเจ้ายืนยันเอง

 

แต่กลับไปฆ่าพ่อเสียก่อน มีเหตุปัจจัยอื่นมาเบียดเบียนก็ปลดไป

ต้องไปนรกก่อน ก่อนที่จะกลับขึ้นมาในอีก

ไม่รู้นานกี่ปี แล้วค่อยได้เป็นพระปัจเจกในภายหลัง

 

อันนี้ก็จะบอกว่า เรื่องโอกาสบรรลุธรรม ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

มีสิทธิ์กันทุกคน ยังมีความเป็นไปได้อยู่ในสมัยนี้

 

อย่าไปเชื่อที่บอกว่า ยุคนี้พ้นสมัยแล้ว

ยังมีกันอยู่เยอะแยะ ครูบาอาจารย์ พระป่าอะไรเยอะแยะเลย

ที่ท่านยังมีตัวตนยืนยัน แต่คนเมืองไม่ค่อยจะรู้จัก

แล้วก็ บางทีไม่ได้เห็นปฏิปทา ก็ไม่เข้าใจว่า

นึกว่ามีแต่พระตามข่าว

 

ก็ข่าวพระมั่วกามขายดี ข่าวอลัชชีขายได้

ถ้าเห็นแต่อย่างนั้น แล้วก็จํากันอยู่อย่างงั้น ไม่มีกําลังใจหรอก แน่นอน

 

แต่ถ้าหากว่า เราบอกว่าเป็นฆราวาสหัวดํา ใส่เสื้อเชิ้ต

(ผม) ไม่ได้ใส่ชุดขาวนะ ผมไม่ได้เป็นคนที่นิยมว่า

ยูนิฟอร์มนี่จะต้องประกาศตัว ว่าฉันเป็นนักเจริญสติอะไรแบบนี้

 

คือพวกเรา เป็นคนธรรมดา ๆ หาเช้ากินค่ำ

ยังต้องแข่งกับคนอื่น ยังต้องไปเหมือนกับ..

บางทีมีปัญหาทางใจ ทางอารมณ์กับใครต่อใครอย่างนี้

 

ถ้ามารวมๆ กัน แล้วได้ทําอะไรร่วมกัน อย่างที่เห็นๆ กันอยู่  

มาไลฟ์ด้วยกันแล้ว .. เออ คนนี้ตอนแรกที่มาไม่เป็นเรื่องเลย

เห็นกันอยู่ชัดๆ เห็นหน้าแบบจะๆ

เสร็จแล้วไม่กี่เดือนต่อมา กลายเป็นอีกคนหนึ่ง แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

มีออร่าส่องสว่าง หน้าตาดูใจเย็น

แล้วเจ้าตัวก็เล่าเองว่า ปัญหากับคนรอบข้างก็น้อยลง   

 

หรือกระทั่งบางคน มีเพื่อนที่ได้รับแรงบันดาลใจ  

ถึงขั้นจะมาปฏิบัติด้วยกัน เพราะเห็นแล้วว่าทําได้  

 

ถามว่า แค่มาอยู่ในห้องนี้ ไม่ต้องทําอะไรเลยนี่ ได้เลยไหม

ได้ครับ ได้ใจที่อนุโมทนาบ้าง ได้ใจที่รู้สึกอยากชมอยากเชียร์บ้าง

 

แต่ที่จะได้แบบเขาน่ะ ไม่มีสิทธิ์

 

ยกเว้นแต่ว่าเราทําไปด้วย แล้วก็เห็นคนอื่นไปด้วย

คือมีการเทียบ เทียบเราในอีกแบบหนึ่ง

 

ไม่ใช่เทียบด้อย หรือเทียบเหนือ

แต่เทียบ โดยความเป็นขันธ์ เทียบโดยความเป็นธาตุ

ว่าเออ ธาตุนี้ ขันธ์นี้ สว่างขึ้นมาด้วยเหตุปัจจัยอะไร

แล้วธาตุนี้ ขันธ์นี้ มัวทําอะไรอยู่  

 

หรือว่า มีเหตุปัจจัยที่ดีเสมอกับเขา หรือกระทั่งเหนือกว่าเขา

ตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องอัตตามานะของใคร เหนือหรือด้อยกว่ากัน

แต่เป็นการเห็นเหตุปัจจัย ว่าใครที่ฝั่งไหน ขันธ์ไหน ธาตุไหน

มีเหตุปัจจัยดีกว่ากัน

 

แล้วก็ ต้องยอมรับด้วยความเป็นอุเบกขาตามนั้น ว่า

ด้วยเหตุปัจจัยอย่างนี้ ถึงได้ด้อยกว่า

ด้วยเหตุปัจจัยอย่างนี้ ถึงได้เหนือกว่า หรือว่าเสมอกัน

ไม่ใช่เพราะว่า มีใครที่เจ๋งกว่าใคร

ไม่มีตัวใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  

 

เอาล่ะ ไว้จะค่อย ๆ ทยอยเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคนแรก  

ที่ได้สอบผ่านในห้องวิปัสสนานุบาล

จริง ๆ แล้วคิดด้วยซ้ำว่า ถ้ามีอีกหลาย ๆ คนตามมา

จะเปลี่ยนชื่อห้องจาก วิปัสสนานุบาล เป็นห้อง ธรรมาภิสมัย

(หมายเหตุ : การตรัสรู้ธรรม การสำเร็จมรรคผล)

 

แปลกันเอาเองว่าธรรมาภิสมัยแปลว่าอะไร

เดี๋ยวเราก็มาเริ่มคืนนี้กันด้วยการสวดมนต์เช่นเคยครับ

เพื่อเป็นการแสดงว่า เราเคารพพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน พระศาสดาองค์เดียวกัน

_______________

วิปัสสนานุบาล EP 87 | เสาร์ 5 มีนาคม 2565

เกริ่นนำ – ช่วงชีวิตสาหัส อาจเป็นจังหวะดีสุด เพื่อก้าวผ่านด่านแรก

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=VD5x-NRbnPA

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น