วิปัสสนานุบาล EP 99 | อังคาร 22 มีนาคม 2565
เกริ่นนำ – การใช้ประโยชน์จากจิตรวม
พี่ตุลย์ : หลายคน ที่ทำทั้งสมถะและวิปัสสนา
จะได้พบกับผลอย่างหนึ่งตรงกันนะ
คือไม่ใช่แค่รู้เห็นว่า กายนี้ใจนี้ ปรากฏเป็นเมฆหมอก
ปรากฏเป็น อนัตตาไม่ใช่ตัวตนแว็บๆ แล้วหายไป
แต่จะรู้ได้เรื่อยๆ รู้ได้บ่อยๆ รู้ได้เองระหว่างวัน
และที่สำคัญ หลายๆคน หลายๆท่าน ตอนนี้
ก็จะมีประสบการณ์ที่คล้ายๆ กัน คือ
อยู่ระหว่างวัน เหมือนจิตจะมีกำลัง
แล้วก็ ถ้าใครเคยผ่านประสบการณ์จิตรวมมาแล้ว
จิตรวมอย่างใหญ่บ้าง จิตรวมอย่างเล็กบ้าง
ก็จะรู้สึกว่า บางทีเคลื่อนไหวไปอยู่ระหว่างวัน ไม่ได้ทำอะไร
แต่จิตคล้ายๆ ทำท่าจะรวมลงเองนะ
ตรงนั้นอย่าปล่อยให้เสียเปล่านะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่เริ่มจะรู้สึกถึงธาตุแท้ของความเป็นธาตุดิน
ว่าตั้งต้น ยกตั้งขึ้นมาด้วยโครงกระดูก ก็เห็นต่างๆ กันไป
แต่โดยรวมนะครับ จะออกแนวประมาณที่ ..
วันนี้ไม่มีสาธิตนะ เกิดข้อขัดข้องทางเทคนิค
เคยทำได้แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น (ทำไม่ได้)
พอดีจะสาธิตให้ดูนะว่าเห็นประมาณไหน จะบอกคร่าวๆ ง่ายๆ นะ
ว่าถ้ารู้สึกถึงกำลังของจิต ในระหว่างวัน ที่ทำท่าเหมือนจะรวมลง
มีจุดหนึ่ง ที่น่าสนใจน่าบอกกล่าวไว้
ซึ่งที่มาบอก จะเป็นประสบการณ์
หรือว่าเอาแนวทางที่สมควรจะบอกกับหลายๆ ท่าน
เมื่อถึงจังหวะ พอรู้สึกว่าจิตมีกำลังนะ เอาง่ายๆ เลย
ตั้งความรับรู้ ตั้งข้อสังเกตแค่ว่า หลังกำลังตรงหรือว่าหลังกำลังงอ
ถ้าเกิดความรับรู้ขึ้นมา เหมือนกับเห็นเป็นซี่โครง
หรือเห็นเป็นกระดูกสันหลัง เอาแค่คร่าวๆ ก็ได้
รู้สึกถึงกะโหลกที่มีโพรงอยู่ด้านใน
นี่ตัวนี่ เป็นที่ตั้งของสติในแบบไม่เสียเปล่า
ถ้า.. อันนี้ย้ำนะ สำหรับท่านที่มีความรู้สึกว่า
อยู่ระหว่างวันจิตมีกำลัง แล้วคล้ายๆ จะรวมลงเอง แต่ไม่รวม
เพราะว่าจิตไปโฟกัสอยู่กับเรื่องนั้นเรื่องนี้
บางที เหมือนเกือบๆ แล้วแต่ทำไมรู้สึกว่า
อาจจะต้องมีส่งสายตาออกไปดูโน่นดูนี่ หรือว่าเงี่ยหูฟัง
ตรงนั้นถ้าหากว่า ว่างๆ อยู่ แค่รู้ว่า หลังกำลังตรง หรือว่าหลังกำลังงอ
จะปรากฏขึ้นมาคร่าวๆ เหมือนกับมีกระดูกสันหลัง
เหมือนกับมีกระดูกซี่โครง เหมือนกะโหลกนี่มีโพรง
ซึ่งถ้าหากว่า ตรงนั้น รู้สึกถึงอะไรคลุ้งๆ อยู่ในโพรงกะโหลก
เห็นเป็นหมอกควัน เห็นเป็นสายหมอกบางๆ
หรือว่าอะไรที่คล้ายกับกองใบไม้ที่ถูกลมเป่า ให้คลุ้งขึ้นมา
แล้วเกิดความรู้สึกว่า ใจนี่สงบว่าง แล้วก็รู้เห็นอยู่อย่างนั้นเฉย ๆ
แบบด้วยอาการสักแต่ว่า
ตรงนี้ จะเป็นการต่อยอดการภาวนา
จากเส้นทางจงกรม และการนั่งสมาธิ
ไปอยู่ในระหว่างวัน เต็มพิกัด
คือถ้าตั้งหลักอะไรไม่ได้ ให้ตั้งหลักที่ธาตุดิน ไว้ก่อนนะ
เห็นเป็นโครงกระดูกหายใจ
หรือว่าเห็นเป็นโครงกระดูก ที่มีหมอกควันคลุ้งอยู่ในกะโหลก
อยู่ในอาการสักแต่ว่า เหมือนเห็นโลกทั้งใบกลายเป็นของเล่น
โลกทั้งใบกลายเป็นของหลอก
มีกระดูก ที่เป็นโครง
แล้วก็ มีความคิด หรือมีลมหายใจผ่านเข้าผ่านออก
เหมือนเป็นกะโหลกกะลาอะไร ที่ไม่มีค่า ไม่มีราคา
ไม่มีความหมาย ไม่มีตัวใครอยู่ในนี้
จิตแบบนั้น จะเป็นจิตที่เฉียดใกล้ ที่จะข้ามเส้นแรก
ยิ่งกว่าตอนเดินจงกรม หรือว่านั่งสมาธิ แบบตั้งอกตั้งใจเสียอีก
เพราะว่า ถ้าสะสมความรู้สึกว่า ตรงนี้เป็นของหลอก เป็นของเล่น
เป็นกะโหลกกะลา ไม่ใช่ใคร ซ้ำไปซ้ำมา บ่อยๆ เข้า
ตัวอนัตตสัญญา หรือความรู้สึกไม่ใช่ตัวตน
จะปรุงแต่งจิตให้ ก้าวข้ามความเชื่อ ข้ามพ้นความศรัทธา
มาสู่การเห็นเป็นปกติ เห็นจริงๆ แล้วก็เกิดการรวมลงขึ้นมา
เราคุยกันบ่อยว่า การที่จะให้เกิดสังขารุเปกขาญาณ
หรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ หรือพูดง่ายๆ .. อาการสักแต่ว่า
สักแต่รู้ สักแต่ว่า จนกระทั่งมีกำลังมากพอ ที่จะข้ามเส้นนี่
ไม่ใช่แค่ทำแป๊บๆ ประเภทที่เห็นแว็บๆ นะ
คือรู้สึกขึ้นมา เป็นจริงเป็นจังว่า ตรงนี้เป็นท่อนอะไรอย่างหนึ่ง
ข้างในนี่ เหมือนแต่มีสภาพหมอกควันขึ้นมา แล้วหายไป
แบบนั้นนี่ ยังไม่สะเทือนกิเลสเท่าไหร่
คือ เห็นตรงทางแล้ว เข้าเค้าแล้ว แต่ว่ายังไม่มีกำลังมากพอ
แล้วตรงที่เห็นแว็บๆ แล้วไม่มีกำลังมากพอ อย่าประมาทนะ
บางทีนี่ นู่นเลย คือแล่นไป เลยชาตินี้
แล้วไม่รู้จะไปเจอพระพุทธเจ้า ได้เจอพุทธศาสนาเวอร์ชั่นไหนอีก
อาจจะหลงติดอยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ ที่กว่าจะได้รวมกำลังลง
แต่ถ้าหากเข้าใจ
เข้าใจความสำคัญ ของการเห็นกายใจนี้โดยอาการสักแต่ว่า
และมีกำลังของสมถะมากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในระหว่างวัน
ตรงนี้ มีสิทธิ์ แล้วก็ไม่เสียเวลาในระหว่างวันไปเปล่าๆ
บางท่านจำทางเข้าได้ เฉพาะตอนที่นั่งสมาธิ และเดินจงกรม
แต่อยู่ระหว่างวัน จิตใจซัดส่าย เพราะต้องทำโน่นทำนี่
ไม่รู้จะตั้งเป้าไว้ที่ตรงไหน ไม่รู้จะเล็งไว้ที่ตรงไหน
ดูลมหายใจ ก็กลายเป็นว่าโฟกัสลมหายใจมากเกินไป
เวลาที่อยู่ดีๆ จิตมีกำลัง เหมือนจะรวมตัวเข้ามา
เพราะคนที่เคยจิตรวมนี่ จะรู้อาการ จะเข้าใจได้
ว่ากระแสตอนที่จะผนึกรวมลงนี่
หน้าตาเป็นอย่างไร อาการเป็นอย่างไร
ความรู้สึกเป็นอย่างไรออกมาจากข้างในนะ
แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ตรงนี้ก็บอกไว้เป็นแนวนะครับ
พูดซ้ำสั้นๆ อีกครั้ง
สำรวจ สังเกตแค่ว่า หลังกำลังตรง หรือหลังกำลังงอ
หลังตรงรู้ว่าหลังตรง หลังงอรู้ว่าหลังงอ จะเห็นขึ้นมาเองรางๆ
หรือบางคนอาจจะรู้ชัด เหมือนกับมีกระดูกซี่โครงปรากฏ
หรือว่ามีกะโหลกโผล่ขึ้นมาด้วย
แต่ถ้าหากว่าเห็นเหมือนกับกระดูกซี่โครง กำลังหายใจเข้าหายใจออก
มีธาตุลม ผ่านเข้าผ่านออก หรือมีอะไรคลุ้งๆ อยู่ในโพรงกระโหลก
ตรงนั้นแหละ ดูไปอย่างนั้นเลย
จะรู้สึกเหมือนกลวงๆ จะรู้สึกเหมือนไม่มีอะไร ไม่มีใคร
แต่อย่าดูแค่แว็บๆ ขอให้ดูไปเรื่อยๆ
มีจังหวะไหน ที่จิตทำท่าจะรวม ก็ดูไปอย่างนั้น ดูไปเรื่อยๆ
ดูไปเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่ให้เกิดขึ้นเป็นปกติ
นั่นแหละจะดีที่สุดเลยนะ
ดีกว่าตอนที่ตั้งอกตั้งใจเอามรรคเอาผล
ดีกว่าตอนที่เรามาทำสมาธิ และขอให้จิตรวมลงเถิด อะไรแบบนี้นะ
การที่เราสะสมอนัตตสัญญาไปทีละเล็กทีละน้อย
แล้วเพิ่มพูนขึ้นนั่นแหละ ที่จะตะล่อมจิต
ให้เกิดอาการผนึกรวมในอีกแบบหนึ่ง
ไม่ใช่เป็นลักษณะของการเพ่งสมาธิเอา
แต่เป็นลักษณะของการรู้ตื่น
จิตรวมลงด้วยอาการรู้ตื่นว่าใจนี้เป็นของหลอก
ไม่ใช่ตัวใคร ไม่มีตัวตนอยู่ในนี้นะ
ตรงนั้นแหละ ที่มีค่าสูงสุด
ตรงนั้นแหละ เป็นการรวมจิตแบบพุทธ
ซึ่งหาไม่ได้ในที่อื่นๆ หรือชาติใดๆ ในสังสารวัฏนี้นะ
_______________
วิปัสสนานุบาล EP 99 | อังคาร 22 มีนาคม 2565
เกริ่นนำ – การใช้ประโยชน์จากจิตรวม
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=vuKjqHImNFs&t=2s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น