วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

วิปัสสนานุบาล EP 91 (เกริ่นนำ) จากเราเก่ง สู่เราเห็น จนถึงไม่มีเรา - 10 มีนาคม 2565

วิปัสสนานุบาล EP 91 | พฤหัส 10 มีนาคม 2565

เกริ่นนำ - จากเราเก่ง - สู่เราเห็น - จนถึงไม่มีเรา

 

พี่ตุลย์ : มีคนที่เดินจงกรมหลับตากันได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในห้องนี้

ลำดับพัฒนาการ ทิศทางที่เราควรทำความเข้าใจก็คือ

ช่วงแรกๆ .. แน่นอน พอหลับตาเดินได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หยุดได้เป๊ะ แล้วก็เดินได้ตรง ทั้งๆ ที่หลับตาอยู่

เห็นๆ เลย หลอกกันไม่ได้ ดูกันในไลฟ์นี่

แล้วตัวของตัวเองจะรู้ดีว่า ไม่มีการมาลักไก่ ไม่มีการมาอะไร

 

ขึ้นต้นมา จะรู้สึกว่าเราทำได้ เป็นธรรมดาของคนที่ยังไม่ได้ข้ามพ้นไป

จะรู้สึกว่าเราเก่งเป็นธรรมดานะ

 

พูดเพื่อที่จะบอกว่า ถ้าเกิดความรู้สึกว่า เราเก่ง ขึ้นมา

หรือว่าเราเจ๋ง เราทำได้ เราสามารถ

ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ หรือจะต้องมาด่าตัวเอง .. เป็นเรื่องปกติ

 

ก็เคยทำไม่ได้ แล้วคนอื่นทั้งโลกก็ทำไม่ได้

ครั้นพอเราทำได้ขึ้นมา ก็แน่นอน จะเกิดอาการชมตัวเอง ว่าเราเก่ง

ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

ทีนี้ ถ้าแม่นยำในทิศทาง

เราไม่ได้เอาแค่เรื่องของ การเดินหลับตาได้ตรงทาง

การกะระยะ หยุดได้เป๊ะ

 

แต่เราเอาความสามารถที่จะมีจิตสัมผัส

มารับรู้ มาตั้งทิศตั้งทาง ให้เกิดสติ

แบบที่มองเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า กายนี้ ที่มีหัวตัวแขนขา

ทิ้งน้ำหนักลงบนเท้าทั้งสอง

มีความเป็นธาตุดินเสมอกันกับผนัง หรือประตู หรือต้นไม้

ตามแต่สถานที่ๆ ใครจะอาศัยเดิน

 

แล้วระหว่างธาตุดินหมายเลขหนึ่ง และหมายเลขสอง

มีช่องว่างคั่นอยู่ ให้เกิดการรับรู้ว่า นี่ธาตุดินนะ ต้องกินที่ว่าง

 

ความรู้สึกจะค่อยๆ ต่างไป

จากที่มีความรู้สึกใหญ่ๆ อยู่ว่าเราเก่ง

จะเห็นเป็นว่า ธาตุดินถูกรู้ได้ชัด

 

และยิ่งชัด ยิ่งคม ยิ่งใส ไร้ความคิด

ความคิดสงัดเงียบจากหัวมากเท่าไหร่

จะเกิดความรู้สึกแทนที่ขึ้นมา

จากคำว่าเราเก่ง กลายเป็นว่าเราเห็น

 

ตรงที่เราเห็น แล้วรู้สึกว่า ตรงตามความเป็นจริง

ตรงกับที่จะมี reality check

เราลืมตา กับหลับตา มีผนังอยู่ตรงหน้าจริงๆ กะระยะได้เป๊ะ

แล้วก็มีช่องว่างอยู่จริง

ระหว่างธาตุดิน หมายเลขหนึ่ง กับธาตุดิน หมายเลขสอง

 

ตัวเราเห็น ยิ่งเห็นชัดเท่าไหร่

จิตใสไร้ขอบแผ่กว้าง  ไม่มีประมาณมากเท่าไหร่

จะยิ่งมีความรู้สึกขึ้นมาเรื่อยๆ .. เราเห็นๆ ไม่ใช่เราเก่ง

 

จากที่เราเก่ง เรื่องการกะระยะ เรื่องการเดินได้ตรง

เรื่องการเดินไม่ชน เรื่องการเดินไม่เป๋

จะรู้สึกพื้นๆ เบสิกเป็นเรื่องธรรมดาไป

 

แล้วมองใหม่ เกิดความรู้สึกใหม่ว่า

ที่เดินไปนี่ ไม่ใช่เราเดิน เป็นธาตุดินเคลื่อนที่ไป

 

ความรู้สึกเป็นเรา ยังเกาะกุมที่จิตเต็มที่ ก็ไม่เป็นไร

อันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอีกเช่นกัน

ไม่ต้องไปพยายามถอดถอนทันที

แต่จะสังเกตได้ว่า ยิ่งเข้าสู่ขั้นของ ..เราเห็น มากกว่าเราเก่ง

ถอยห่างออกมา มากเท่าไหร่

 

ตัวเราเห็น จะยิ่งยืนยันกับตัวเองได้ว่า

ที่เราเห็นนี่ เราเห็นจริงๆ ไม่ใช่อุปาทานแป๊บๆ

เพราะจิตจะเสถียร และรู้สึกเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ

 

แม้ในระหว่างวัน ก็จะเกิดความคงค้าง

รู้สึกว่า กายนี้ ความเคลื่อนไหวแบบนี้

สักว่าเป็นความเคลื่อนไหวของธาตุดิน

หรือเป็นความหยุดอยู่นิ่งอยู่ของธาตุดิน

ไม่ใช่เป็นความหยุดอยู่ หรือเคลื่อนไหวของใคร แบบแต่ก่อน

 

ตัวเราเห็นๆ ที่เกิดซ้ำๆ เดินจงกรมแม่นยำ

จุดหยุดเทียบตลอด ไม่เลิก

ว่ามีตัวธาตุดินหมายเลขหนึ่ง กับธาตุดินหมายเลขสอง

ตั้งระยะห่างกัน ประจันกัน

เกิดความสว่าง เกิดความตั้งมั่น เกิดความรู้สึกถึงจิตใสไร้ขอบ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตเปลี่ยนจากคว่ำเป็นหงาย

เปลี่ยนจากปิดเป็นเปิด จะเห็นตัวเอง รับรู้สภาวะตัวเองชัดเจน

ว่า จิตก็เป็นธาตุหนึ่ง อาศัยธาตุดิน อาศัยอากาศ อาศัยธาตุลม

เป็นเครื่องประชุม ประกอบพร้อมให้จิตอิงอาศัยอยู่ด้วยได้

 

โดยเฉพาะคนที่ไปถึงจุดที่สามารถหยุดรู้ได้สบายๆ

ธาตุดินหมายเลขหนึ่ง หมายเลขสอง พร้อมอากาศว่างหายใจออก

ธาตุดินหมายเลขหนึ่ง หมายเลขสอง พร้อมอากาศว่างหายใจเข้า

รู้สึกชิวๆ สบายๆ จิตเปิด จิตใส ไร้ความคิด

ไร้ความรู้สึกว่าเหล่านี้เป็นใคร

เหล่านี้ใครเก่ง เหล่านี้ใครดี เหล่านี้ใครทำได้

มีแต่ความเป็นธาตุ ตั้งอยู่ให้เห็นสว่างแจ้งอยู่อย่างนั้น

 

จะเกิดความรู้สึกชัดขึ้นๆ ว่า จิตอยู่ตรงนี้เอง

อยู่ตรงที่รับรู้อยู่ ทั้งหมดนั่นแหละ

 

แม้แต่ความสว่างๆ เป็นแค่เหมือนกับเปลือกของจิต

ตัวจิตจริงๆ อยู่ตรงที่มันรู้ รู้อยู่ทั้งหมด

แม้กระทั่งตอนนี้ ที่รู้อยู่ทั้งหมด รับรู้อยู่ทั้งหมด .. นั่นแหละจิต

นั่นแหละ วิญญาณธาตุ

 

เมื่อเราเห็นวิญญาณธาตุ เป็นแค่ส่วนประกอบ

เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของธาตุทั้งหลาย มีธาตุดินเป็นอาทิ

 

จิตจะยิ่งนิ่งเงียบ และยิ่งเข้าสู่ภาวะรู้แบบไม่ตัดสิน

ไม่มีการชี้ว่านี่เราเป็นใคร

มีแต่อาการรู้ว่า ไม่มีใคร อยู่ในนี้

 

ไม่ว่าจะเป็นธาตุดิน หรือว่า อากาศว่างระหว่างธาตุดิน

หรือลมหายใจที่เข้าออกอยู่ในธาตุดิน ไม่มีใครในนี้

หรือแม้แต่จิตที่สว่างอยู่ ก็ไม่มีใครที่จะอ้างได้ว่าเป็นตัวตนของใคร

 

ระยะนี้ พอเห็นจิตจริงๆ เห็นจิตว่าเด่นชัด

เป็นองค์ประกอบหนึ่งในธาตุทั้งหก

จะเปลี่ยนจากคำในหัวว่า .. เราเห็น กลายเป็น ไม่มีเรา

 

จากตอนแรก

เราเก่ง กลายเป็น เราเห็น

จากเราเห็น กลายเป็น ไม่มีเรา

 

ตรงที่ไม่มีเรา จิตยังอยู่ในขั้นรู้สึกว่า ไม่มีตัวตน

เรียกว่าเป็นอนัตตสัญญา

คืออนัตตา บวกกับคำว่าสัญญา

กลายเป็นความรู้สึกว่าไม่มีตัวตน

 

ตอนที่รู้สึกว่าไม่มีตัวตนชัดขึ้นๆ

อันนั้นยังไม่ใช่มรรคผล ยังไม่ใช่การเห็นนิพพาน

เป็นแค่การรู้สึกเพิ่มขึ้นๆ ชัดขึ้นๆ ว่า

กายนี้ใจนี้ สักว่าเป็นรูป สักว่าเป็นนาม

ไม่มีใครอยู่ในนี้ ไม่มีตัวใคร ไม่มีบุคคล ไม่มีเราเขา

 

ถ้าหากว่าเกิดความรับรู้ ด้วยสติบริสุทธิ์

เห็นว่ากายนี้ใจนี้สักว่าเป็นธาตุ ไม่มีตัวใครในนี้จริงๆ นานขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งลืมตา ก็ยังจำความรู้สึกนี้ได้

คุยกับใคร ก็ยังมีความรู้สึกแบบนี้ผุดขึ้นมาประปราย หรือผุดขึ้นมาถี่ๆ

 

จะมีความรู้สึกเหมือนมีสองตัวมากขึ้นทุกที

และเป็นอนัตตาทั้งสองตัวนะ ไม่ใช่มีตัวตนขึ้นมาใหม่

 

ไม่ใช่มีตัวใครที่แปลกปลอมขึ้นมาอีกคน

แต่ว่าจะรู้สึกเหมือนมีอนัตตา ที่กำลังแสดงให้ดู

เป็นอาการขยับปาก เป็นอาการพูดคุย

และมีอนัตตาภายใน มีความรับรู้อยู่ว่า

นี่เรากำลังดู ความไม่ใช่ใครของเปลือก

คือกายนี้ การปรุงแต่งของใจนี้ให้คิดให้พูดให้ทำ

 

ตัวที่เห็นไปเรื่อยๆ

จะค่อยๆ มีความเบิกบานชนิดหนึ่งออกมาจากใจกลาง

ซึ่งความเบิกบานชนิดนี้ ถ้าหากแรงพอ

จะทะลุเปลือกหยาบออกมา

 

เปลือกหยาบ เปลือกโมหะ เปลือกแห่งการยึดมั่นถือมั่น

ว่าเป็นตัวเป็นตน มีตัวมีตนอยู่ในกายนี้ มีตัวมีตนอยู่ในใจนี้

 

การทะลุออกมานั่นแหละ คือการข้ามเส้น

คือเป้าแรกที่เรามาอยู่ในห้องวิปัสสนานุบาลนี้ ก็เพื่อการนั้น

 

ถ้าใครนั่งสมาธิก็ตาม เจริญอานาปานสติอยู่

หรือ เดินจงกรมจะหลับตา หรือลืมตาก็ตาม ตามอัธยาศัย

แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมา .. เราเก่ง อย่าไปว่าตัวเอง

บอกตัวเองว่า เราอยู่ในเขตแรก

 

ต่อมา รู้สึกว่าเราเห็น

ก็ให้เริ่มไว้ใจตัวเองได้ขึ้นมาอีกนิด ว่าไม่มีตัวเก่งแล้ว

ไม่มีตัวที่สำคัญมั่นหมายว่าเราทำอะไรเพื่อใคร

เอารางวัลมาเพื่อคนไหน ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว

เริ่มเข้าเขตเห็นว่าไม่มีใคร

 

แต่ที่จะเข้าเขตสุดท้ายเห็นว่าไม่มีใครจริงๆ มีอนัตตสัญญาจริงๆ

คือขั้นที่เรารู้สึกถึงความเป็นจิตที่เบ่งบาน

มีลักษณะกว้าง มีลักษณะไร้ขอบ ไม่คิด

 

เงียบใสไร้ความคิด มีจิตตั้งมั่นรู้อยู่

โดยไม่ตัดสิน ไม่เอาอะไรให้ใครทั้งนั้น

นี่ เข้าเขตความไม่มีเราไปมากขึ้นๆ

ตรงนี้คือการบ่มตัว เพื่อให้จิตทะลุออกมาจริง

 

นี่พูดแบบที่ให้เห็นภาพกว้างมากที่สุด ในเวลาน้อยที่สุดก็จะประมาณนี้

_______________

วิปัสสนานุบาล EP 91 | พฤหัส 10 มีนาคม 2565

เกริ่นนำ - จากเราเก่ง - สู่เราเห็น - จนถึงไม่มีเรา

ถอดคำ : เอ้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น