ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน
พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม
ทุกท่านครับ
ผมอยู่ในโลกนี้มาเกินครึ่งศตวรรษก็เพิ่งมีปีนี้แหละ ที่ได้เห็นได้ประจักษ์กับประสบการณ์ตัวเองว่า
ความกลัวตายทั้งโลกที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันทั่วทุกมุมโลกมันเป็นยังไงนะครับ
ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่
.. เอาตามความรู้สึกเนี่ยเป็นปีที่แย่
แล้วก็เป็นปีที่คนที่ไม่เคยกลัวตายมาก่อนก็อาจจะกลัวกันคราวนี้เอง
คนที่เคยมีความรู้สึกว่าไปเดินห้างนี้ชิลล์ๆ(Chill)เหมือนบ้านที่สอง
ก็เริ่มจะกลายเป็นความรู้สึกแหยงๆ เกิดความรู้สึกเหมือนกับเข้าไปในที่ๆมีการรบราฆ่าฟัน
หรือว่ามีแหล่งแพร่เชื้อ หรือว่ามีอะไรที่น่ากลัว
ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ชิลล์ๆเหมือนแต่เดิมอีกต่อไป แล้วมันไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย
มันเกิดขึ้นทั่วโลกนะครับ
บรรยากาศแบบนี้
ถ้าหากว่าเราไม่ได้มีต้นทุนทางธรรม ก็จะรู้สึกว่าโลกนี้น่ากลัว โลกนี้ไม่น่าอยู่แล้ว
หรือว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเรารึเปล่า
ควรจะทำอะไรให้มันคุ้มค่ากับวันสุดท้ายแค่ไหน
ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นพร้อมๆกันแบบนี้นะ
มันหาปีอื่นมาประชุมความรู้สึกเดียวกันไม่ได้นะครับมันยากมาก
ทีนี้ถ้ามองตามความรู้สึกแบบพุทธนะครับ
สมมติว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย ต่อให้วันนี้เป็นวันสุดท้าย
ถ้าหากว่าคุณมีความเข้าถึง หรือว่ารู้ว่าจะเอาจิตเอาใจไปฝากไว้กับอะไรที่คุ้มที่สุด
คุณจะรู้สึกว่าวันนี้วันสุดท้ายเป็นวันที่คุ้มกว่าร้อยปีที่คุณไม่ได้ฝากจิตฝากใจไว้กับสิ่งที่ควรฝาก
เหมือนอย่างพระธรรมบทที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะครับว่า มีอายุมาร้อยปีไม่สู้คนที่อยู่มาแค่หนึ่งวันแต่รู้ธรรมะของพระองค์
ธรรมะที่พระองค์ค้นพบแล้วก็ชี้ทางให้
คือจริงๆแล้วเนี่ยไม่มีใครเป็นเจ้าของนะครับธรรมะเนี่ย
ธรรมะเป็นของกลางแต่ต้องอาศัยมหาบุรุษที่มีบารมีระดับพระพุทธเจ้า
ถึงจะค้นพบโดยพระองค์เอง แล้วก็สามารถนำมาระบอกต่อ ทีนี้ตรงนี้มันเป็นเหมือนกับมาตรวัดได้
ถ้าหากว่าคุณปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่พระพุทธองค์ชี้
แล้วเกิดความรู้ คืออาจจะไม่ได้รู้แจ่มแจ้งเหมือนกับพระอรหันต์
แต่ค่อยๆเขยิบไปตามลำดับ แล้วเกิดความรู้สึกว่า เออมันทำได้นะ ปีนี้ ๒๕๖๓
ยังทำการเจริญสติแบบที่พระพุทธเจ้าสอนเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วได้อยู่
ยังได้ผลอยู่แล้วก็ยังเป็นพยานยืนยันให้พระพุทธเจ้าได้ว่า ถ้าเห็นแบบนี้
แม้กระทั่งอยู่ที่ต้นทางมันก็คุ้มค่าชีวิตแล้ว
หนึ่งวัน
ขอแค่หนึ่งวัน ขอเอาวันสุดท้ายเลยก็ได้ สมมติว่าอะไรๆมันจะหายไปหมดในวันพรุ่งนี้
ขอแค่วันนี้เราทำอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนได้เนี่ย คุ้มแล้วกับชีวิตนี้ทั้งชีวิตนะครับ
วันนี้เราก็มาต่อกันด้วยเรื่องของการฝึกรู้อิริยาบถที่ตั้งลมหายใจ
คือเราเริ่มต้นจากการหายใจยาวเป็น รู้ว่าลมหายใจเข้าออกที่กายนี้ แล้วก็นำความรู้สึกเป็นสุขเวลาที่หายใจยาวมาให้กับร่างกายนะครับ
แล้วจิตใจน่ะบางทีมันก็ฟุ้งบ้าง หรือว่าสงบบ้าง
ถ้าหากว่ามันมีความสุขอยู่กับลมหายใจยาวมันก็สงบลง
แต่ถ้ามันมีความทุกข์
มันมีความอึดอัด มันมีความรู้สึกไม่ดี จะกับลมหายใจ หรือว่ากับเรื่องราวที่จิตคิดจิตค้นขึ้นมาเองเนี่ยนะครับ
พอมีความทุกข์แล้ว ความฟุ้งซ่านมันก็จะถูกผลิตออกมาต้นตอความทุกข์นั่นแหละ
แล้วก็เกิดความรู้สึกยุ่งเหยิง ควบคุมจิตใจยาก
แต่ถ้าหากว่าเราเห็นว่าลมหายใจยาว
มันทำให้ความคิดสามารถที่จะเบาบางลง หรือสงบระงับลงได้เนี่ย เราก็จะมีแก่จิตแก่ใจที่จะสังเกตต่อไปว่า
ความไม่เที่ยงที่บอกว่ามากับการแสดงตัวของลมหายใจก็ตาม ความสุขก็ตาม
หรือว่าความฟุ้งซ่านก็ตามเนี่ย
มันยิ่งเห็นก็ยิ่งมีความรู้สึกถอยออกมาจากอาการยึดมั่นถือมั่น
อันนี้ถ้าหากว่าใครทำได้ถึงตรงนี้แล้ว ก็จะรู้สึกว่าต่อให้วันนี้เป็นวันสุดท้าย เราก็มีดีไปตายนะครับ
มีดีพร้อมตายแล้ว
วันนี้เรามาคุยกันเรื่องของอิริยาบถอันเป็นที่ตั้งของลมหายใจ
ซึ่งเรารู้มาแล้วนะว่า มันเกิดลมหายใจยาวบ้างสั้นบ้างขึ้นมาได้จริงๆ แล้วถ้าหากว่า
เรามีสติพอที่จะรู้ลมรู้สุขแล้วก็รู้จิตสังขารหรือความคิดฟุ้งซ่านได้เนี่ยนะครับ การที่กลับมาย้อนกลับมาเห็นอิริยาบถอันเป็นที่ตั้งของสิ่งเหล่านั้นเนี่ยมันง่ายนิดเดียว
วันนี้นะครับก็ใช้หูฟังแบบเดิม
แต่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจอย่างเดียวนะครับ มันทำตามกันไม่ได้ เพราะว่าต้องมีการเดินต้องมีการลุกนั่นอะไรต่างๆ
อันนี้เนี่ยจะเป็นการที่เราแสดงภาพเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงภาพรวมนะครับ แล้วเอาไปทำเอง
เสียงสติจะช่วยให้สมองของคุณอยู่ในโหมดจำแม่นขึ้น
เพราะว่าเราจะไปโยงกับครั้งก่อนๆด้วย ถ้าหากว่าใครทำตามมาแล้วนะครับ
จะเห็นว่าเสียงสติเวลาที่ทำให้จูนให้สมองของเราสงบลง มีความพร้อมเปิดรับพร้อมที่จะเรียนรู้
แล้วก็ดูเข้ามาในกายใจของตัวเอง มันจำได้แล้วว่าจะเริ่มต้นมุมมองมาจากจุดไหน
มาจากจุดที่กำลังคอตั้งหลังตรงอยู่นี่แหละ มาจากจุดที่กำลังหายใจเข้าหายใจออก
มาจากจุดที่เรากำลังรู้สึกผ่อนคลายสบายเป็นสุข หรือว่ารู้สึกอึดอัด
ต่อให้อึดอัดแล้วรู้ก็มีสตินะครับ แต่ถ้าอึดอัดอยู่แล้วสมมติให้มันเป็นสุข
หรือว่าพยายามให้มันมีความสุขยื้อความสุข หรือบางทีดึงความสุขเข้าตัว
อันนี้ไม่ใช่สติ อันนี้เป็นกิเลส อันนี้เป็นตัณหาเป็นภวตัณหานะครับ
แต่ถ้าหากว่าเราขณะนี้มีความผ่อนคลายสบายดีอยู่
แล้วก็มีความพร้อมที่จะดูอิริยาบทอันเป็นที่ตั้งของลมหายใจเนี่ย
มันจะเริ่มจากอิริยาบถนั่ง แต่เดี๋ยวพอดูคลิปจะมีสอนทำสมาธิด้วยการเดิน
หรือพูดง่ายๆว่าเดินจงกรมให้เป็นสมาธิขึ้นมานะครับ
ตอนนี้ถึงคุณจะยังไม่ได้ทำตามก็ตาม
แต่ว่าการที่ใจของเราอยู่ในพร้อมรู้ ฟังไปด้วยดูไปด้วยเนี่ย มันจะจำขึ้นใจแล้วเอาไปเดินตามเองในภายหลังได้นะครับ
พอเห็นกายได้อย่างมีสมาธิเนี่ย
คราวหน้าก็จะโยงเข้ากับเรื่องวิธีเห็นกายเป็นกระดูกนะครับ ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิดนะครับ
เอาง่ายๆเลยแค่คุณหายใจได้อย่างมีสมาธิ เห็นชายโครงมันกระเพื่อมพะเยิบพะยาบเนี่ยนี่ก็เรียกว่าเป็นการที่จิตเนี่ยเข้าไปสัมผัสชัดรู้ถึงความมีกระดูกอยู่แล้ว
ถ้าหากว่าจิตใสใจสบายขึ้นกว่านั้นต่อเนื่องไปอีกสักพักนึงมันก็เห็นได้สบายๆ
ไม่ใช่เรื่องลึกลับหรือต้องใช้ความสามารถพิเศษอะไรเลยนะครับ
ทีนี้คุณก็จะเห็นนะว่า
ลำดับของสติปัฏฐาน๔ ที่พระพุทธเจ้าสอนเนี่ย มาเริ่มจากการเห็นลมหายใจ เห็นเวทนา
เห็นจิต แล้วก็สามารถที่จะเจาะลึกลงไปได้เรื่อยๆไม่ใช้ของยากนะครับ
แล้วก็คือไม่ใช่ของง่ายหรอก แต่ว่าไม่ใช่ของยากเกินเอื้อม
แล้วก็ไม่เกินวิสัยที่เราๆท่านๆที่ยังอยู่ในเมืองเนี่ย จะทำให้เห็นได้ด้วย
เพราะอย่างตอนนี้ก็มีเสียงสติช่วย
ดึงให้สมองช้าลงคลื่นสมองช้าลง เสร็จแล้วความพร้อมที่จะรู้พร้อมที่จะโฟกัสมันก็มากขึ้น
สมัยก่อนต้องอาศัยความวิเวกของป่า
ตอนนี้เราก็เอาเครื่องทุ่นแรงแบบคนที่อยู่ในยุคไอที เอาเทคโนโลยีมาประยุกต์กัน
---------------------------------------------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๒๙
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ตอน (เกริ่นนำ)
ฝึกรู้อิริยาบถที่ตั้งลมหายใจ
ระยะเวลาคลิป ๑๑.๑๒ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=j3gq_KKYhgI&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=28&t=0s** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น