ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
คืนวันเสาร์สามทุ่ม
คืนนี้ทำคลิปไม่ทันนะครับ
ช่วงบ่ายแก่ๆก็รู้แล้วว่าทำไม่ทัน เดี๋ยวยังไงคิดว่า น่าจะเป็นสัปดาห์หน้านะครับ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะ
ก็ต้องใช้เวลานิดนึงแล้วก็ช่วงที่ผ่านมา อาจจะไปแก้ของเก่าด้วยนะครับ
ก็เลยทำไม่ทัน
แต่อย่างไรก็ตาม
สัปดาห์ที่ผ่านมานะครับ ก็มีเรื่องน่าดีใจคือ เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเสียงสติเหมือนกันนะครับ
วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทางมูลนิธิบูรณพุทธ นำโดยมูลนิธิชลดาของคุณชลลดา
พรหมเดชไพบูลย์ ก็ได้ไปที่บ้านกรุณา หรือว่าชื่อเต็มคือ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา
แถวบางปู โดยมี ผอ.ปรีดา วิสาโรจน์ ให้การต้อนรับนะครับ
จริงๆแล้วเราก็อยากรู้ว่า
เสียงสติใช้ทำอะไรได้บ้าง จะลดความรุนแรงในจิตใจของผู้คนสมัยนี้ลงได้บ้างรึเปล่า
ก็บุกบ้านกรุณาเลยนะครับ ที่นี่ถ้าใครทราบก็คงจะทราบนะครับว่า เป็นแหล่งรวมความรุนแรงในจิตใจของเยาวชน
เพราะว่าเยาวชนเหล่านี้ก้าวพลาด แล้วก็ได้เหมือนกับทำเรื่องที่เป็นข่าวดัง
เป็นข่าวที่ไม่มีคนอยากจะรับรู้นะครับ แล้วก็พอรู้ปุ๊บก็อยากจะสาปแช่ง หรือว่าอยากจะให้เขาได้รับโทษเท่ากับคนที่เป็นผู้ใหญ่นะครับ
ซึ่งถ้าท่านได้ทราบที่มาที่ไปของพวกเขา
บางทีอาจจะเห็นว่า เออคือปัญหายุคเราเนี่ย มันไม่ได้แก้ที่คนใดคนหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้มีใครคนใดคนหนึ่งที่ชั่วร้าย
เรากำลังถูกคุกคามโดยโรคทางใจของคนยุคใหม่จริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องของความรุนแรง การใช้ความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว
หรือสนุกกับการใช้ความรุนแรง เพราะโดนเลี้ยงมาแบบนั้น บางทีโดนพ่อโดนแม่หรือว่า
ผู้ที่ให้การอารักขาทำซะเอง แล้วพวกเขาก็มีความผิดปกติขั้นรุนแรงในจิตใจนะครับ
อย่างตอนผมอ่านข่าวเนี่ย
มีอยู่คนนึงได้ไปเจอจังๆเลย แต่ตอนเจอไม่รู้นะครับว่าเป็นบุคคลในข่าว
ตอนผมอ่านข่าว ผมก็คิดแบบคนทั่วๆไปว่า
เออแบบนี้นี่มันเป็นการกระทำที่มันต่ำกว่าเกณฑ์จิตสำนึกของมนุษย์มาก
ไม่น่าเป็นไปได้ที่คนเราจะทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กอายุยังไม่ถึงยี่สิบเนี่ยนะครับ
แล้วก็เหมือนกับไม่ใช่การกระทำของมนุษย์น่ะ ซึ่งตอนอ่านข่าวก็ผ่านไป
แต่วันพุธที่ผ่านมา
ก็ไปเจอจังๆกับตัวเองเลยนะครับ ตอนนั้นไม่ทราบด้วยว่าเคยเป็นบุคคลในข่าว
อยากเล่าให้ฟังว่า
มีความรู้สึกอันนี้เพราะไม่ทราบข่าวไม่ทราบตื้นลึกหนาบางมาก่อนนะครับ
มีความรู้สึกที่ดี มีความรู้สึกที่เอ็นดูให้กับเด็กคนนี้
แล้วก็อย่างไรก็ตามก็ได้เห็นว่า เขาก็มีลักษณะจิตใจที่แข็งๆกระด้าง
แต่พอใช้เสียงสติไป ก็มีความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้รู้สึกว่า วันพุธที่ผ่านมา
เป็นวันที่เป็นข่าวใหญ่สำหรับตัวเองนะครับโดยส่วนตัวเนี่ย
เพราะเราได้ทราบชัดๆนะครับว่า .. เสียงสติคือ ..
โอเคอย่างเด็กพวกนี้ที่อยู่ในบ้านกรุณาเนี่ย เราอาจจะบอกว่า มันสายไปแล้วเขาทำไปแล้ว
คือยังไงก็มีบาปมีกรรมติดตัวเขาไปแล้วล่ะ
แต่ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่า
เสียงสติช่วยลดความรุนแรงในจิตใจของคนยุคเราได้ มันหมายถึง
เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์อะไรทำนองนี้ขึ้นได้อีก
วันก่อนก็ได้ใช้เสียงสติซึ่งคุณชลลดา
พรหมเดชไพบูลย์ ก็ได้ซื้อบริจาค จริงๆเธอบริจาคอะไรให้กับบ้านกรุณามากมายนะครับ
อย่างสนามฟุตบอลนี่ก็สร้างให้ทั้งสนามเลย แล้วก็จะเป็นคนที่มีความเรียกว่าฝั่กไฝ่มากๆเลยกับการแก้ไขปัญหาของสังคม
ซึ่งน้อยคนนะครับผมว่าเอาเป็นว่าหนึ่งในล้าน
เอาซักหนึ่งในหมื่นหนึ่งในแสนก็แล้วกัน ที่จะอุทิศตัวเองที่จะช่วยให้ปัญหาสังคม
ปัญหาความรุนแรง หรือว่าปัญหาที่มันไม่น่าจะเกิดกับเด็กอายุไม่ถึงยี่สิบให้มันลดน้อยถอยลง
และเธออุทิศตัวจริงๆมาเป็นเวลานานหลายปีนะครับ
อันนี้ก็อาจารย์แนนนะครับ
อาจารย์ธารารัตน์ ตาตนันท์ (ขึ้นภาพกิจกรรม) เทคนิคการแพทย์มหิดลนะครับ ก็ได้ไปเป็นผู้ทำการทดลองเก็บผลด้วยตัวเอง
แล้วในวันนั้นเนี่ยก็ได้มีนักจิตวิทยาจากกรมกองไปสังเกตการณ์ด้วย
หลังจากี่ผ่านไปครั้งแรกนะครับ
เดี๋ยวยังต้องมีการเก็บผล คือจะให้เด็กฟังทุกวันเป็นเวลาประมาณ ๓๐ วัน
แล้วเราจะเก็บผล ๑๕ วัน แล้วก็วันที่ ๓๐ อีกทีนะครับว่า ผลจะเป็นยังไง
แต่วันแรกเนี่ย อย่างน้อยมันมีเรื่องน่าดีใจ ซึ่งเดี๋ยวคุณอ๋อ ณธนา หลงบางพลี
จะได้ตัดต่อคลิปที่ถ่ายทำไว้ในวันนั้นมาให้ชมให้ได้ยินเสียงกันชัดๆเลยนะครับ
สัมภาษณ์เด็กโดยตรงนะครับหลังจากใช้เสียงสติแล้วดีขึ้นไหม พอยต์(Point)คือถ้าหากว่า
ใช้เสียงสติแล้วลดความรุนแรงในจิตใจเด็กพวกนี้ได้
แล้วสามารถต่อยอดให้พวกเขามารู้จักกับพุทธศาสนาในเชิงปฏิบัติ
มันจะไม่เป็นการแค่ใช้ยากล่อมประสาทหรือว่าแก้ปัญหาระยะสั้น
คนเราเนี่ยใช้ยากล่อมประสาทแก้ปัญหาระยะสั้นได้
แต่ว่าพอไอเดียยังไม่เปลี่ยน ออกมาก็เอาใหม่ แต่ถ้าหากว่า เราดึงคลื่นสมองของเขาให้ช้าลงได้ด้วย
ทำให้เขาเชื่อทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเองได้แล้วเนี่ยนะครับ
แล้วก็ต่อยอดเป็นการทำความรู้จักกับกายใจของเขาเอง แบบที่พุทธศาสนาสอนนะครับ
ก็น่ารอดูนะครับ รอดูรอชมนะครับว่า จากภาคมืดที่สวิงมาเป็นภาคสว่าง
ก็จะมีผลยังไงต่อไป
พุทธศาสนาเราก็มีอยู่ในธรรมบทนะครับว่า
“ถ้าเมฆดำมันเคลื่อนผ่านไปแล้ว พระจันทร์ก็สว่างดังเดิม”
ก็เหมือนกับจิตใจของมนุษย์ เกิดมาเนี่ยเกิดมาด้วยบุญกันทุกคนแหละ
แต่ว่าด้วยเมฆหมอกของบาปที่มาบดบัง ทำให้จิตสำนึก หรือว่ามโนธรรมถูกลดต่ำลง แล้วก็ทำให้อาจจะพลาดพลั้งทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว
แล้วก็คือมันไม่มีใครรู้หรอก ไม่มีใครรู้มาแต่เกิดน่ะว่า เราควรทำหรือไม่ควรทำอะไร
เพราะว่าเวลาที่โดนกระตุ้น
มันก็ไม่ใช่ตัวจริงของเรากันทั้งนั้นแหละ มันเป็นกิเลส มันเป็นสัญชาติญาณดิบ หรือว่าเป็นอะไรที่ถูกติดตั้งมาแบบไม่เป็นธรรม
ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับใครหรอก คนน่ะจะสนองตอบกับกิเลสที่คอยบงการหรือว่าชักจูงเราอยู่
โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป
คือประเด็นน่ะมันอย่างนี้
ถ้าเราสามารถพิสูจน์ได้นะครับ เดี๋ยวจะมีศูนย์ฝึกและอบรมอื่นๆอีก ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเสียงสติช่วยได้จริง
แล้วก็มันลดความรุนแรงในวัยรุ่นได้เนี่ย มันก็จะเกิดความน่าเชื่อถือด้วยอ่ะนะว่า เราสามารถป้องกันปัญหาความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยนะครับ
เราแก้อดีตไม่ได้แล้ว แต่ว่าเราใช้อดีตเนี่ยมาเป็นบทเรียน มาเป็นบทศึกษาว่า ทำยังไงจะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นในอนาคตอีกนะครับ
วันนี้จะพูดเรื่องของการใช้อานาปานสติรู้วาระจิตตัวเองนะครับ
คือรู้ใจตัวเองนั่นแหละ บางทีเราก็มักจะมาพูดกันว่า
ไม่มีใครรู้ใจตัวของเราเองได้ดีเท่าตัวเอง แต่เห็นไหมบางทีเนี่ยคุณบ่นกับเพื่อนบ่อยๆว่า งงตัวเองทำไมถึงคิดอย่างนั้น
ทำไม่ถึงทำไปอย่างนี้ หรือแม้กระทั่งว่าบ่นสับสน บ่นสับสนกับฟ้าดินว่าจะเอายังไงดี
จะเอายังไงดี งงใจตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้อะไรกันแน่
หรือว่าพอมีตัวเลือกมาสองทาง สามทาง แล้วเกิดความลังเลสับสนเนี่ย
มันเหมือนกับไม่รู้ว่าอยากได้อะไรจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ตัวเองนึกว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
เรื่องที่สำคัญถ้าหากตัดสินใจผิดพลาด แล้วมันจะกลายเป็นเอาตัวเองเนี่ย
ไปอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ไม่สมควรแก่ตัวเองผิดฝาผิดตัว หรือว่าจะทำให้เรากลายเป็นใครอีกคนที่ตัวเองไม่รู้จักไปตลอดชีวิตอะไรทำนองนั้น
เช่น การเลือกคณะผิด เลือกไปต่างประเทศเพื่อที่จะทำงานแบบนั้นแบบนี้อะไรต่างๆ
ซึ่งมันเกิดขึ้นกับคนยุคเรามาก เพราะยุคเราเป็นยุคของตัวเลือกท่วมท้นนะครับ
ไม่ใช่แค่ข้อมูลท่วม แต่ว่าตัวเลือกท่วมด้วย
แล้วก็เวลาที่ตัวเลือกมาแต่ละที
มันมักจะมาในรูปแบบที่ว่า ถ้าเลือกผิดหรือว่าเลือกไม่ได้ถูกต้องตรงใจจริงๆเนี่ย
จะมาเสียใจทีหลัง รูปแบบของความเสียใจในยุคเราก็ประมาณว่า น่าเสียดายจังเลย
เสียดายใจจะขาด เสียดายเป็นปีๆ ไม่น่าทิ้งคนนี้ มาเลือกคนนั้นเลย
ประเภทที่เราเหมือนกับพอมีโอกาสเห็นความเป็นไปได้ที่จะผิดพลาดสูงเนี่ย
มันทำให้เราลังเลสับสน แล้วก็เหมือนกับถามหาใจตัวเองว่า ตกลงต้องการอะไรกันแน่
หรือไม่ต้องอะไรมากนะครับ บางทีเนี่ยนั่งอยู่เฉยๆแล้วก็รู้สึกราวกับว่า
มีใครหลายคนคุยกันในหัวของเรา
คุณเคยมีประสบการณ์ไม๊ประเภทที่ว่า
ตกลงกับตัวเองไม่ได้เพราะ มันมีภาคนึงที่รู้สึกเหมือนกับมีกำลังใหญ่เป็นนักเลงใหญ่
คอยยืนจังก้า คอยยืนค้ำหัวอยู่ แล้วก็กดคอเรา
บอกคล้ายๆว่ามีอำนาจสะกดเราให้มองไปทางนึง ที่เรารู้อยู่ลึกๆว่ามันเป็นทางที่ค่อนข้างสีเทา
หรือเป็นทางมืดชัดเจนเลยว่าเป็นทางมืด หรือบางทีมันก้ำกึ่งรู้สึกว่ามันเบลอๆ
มันไม่ชัดเจนว่าดีหรือชั่ว ไอ้ภาคนั้นในตัวเราเนี่ย บางทีเราถามใครไม่ได้ว่า
ตกลงมันใช่ตัวเราจริงๆหรือเปล่า หรือว่าเป็นอะไรอีกอย่างนึง เป็นอะไรที่คล้ายๆว่า พูดง่ายๆว่าปีศาจที่อยู่นอกตัวมาคอยกระซิบส่งเสียงบังคับขู่เข็นบอกว่าให้ทำอย่างงั้นอย่างงี้รึเปล่า
คนยุคเราเป็นกันเยอะมากนะครับ แต่ไม่ค่อยคุยกันกลัวคนจะหาว่าบ้า
คือที่มาพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า
ให้ปักใจเชื่อทันทีว่านั่นเป็นเสียงของปีศาจ เป็นเสียงของพญามารหรือว่า
หรือว่าเป็นเสียงของใครบางคน ที่คอยควบคุมบังคับบัญชาชีวิตของเรา
แต่อยากจะให้มองว่า ยุคของเรามันมีลักษณะของจิตสองแบบสองภาคซ้อนกันอยู่ในคนๆเดียวจริงๆ
แล้วก็บางทีมันชัดเจนทั้งสองภาค
อย่างเวลาคิดดี อย่างเวลามองดี มันก็รู้สึกว่ามันใช่เรามันเซฟว(save)มันเป็นโลกที่ปลอดภัย
มันเป็นโลกที่เราเนี่ยลึกๆแล้วอยากที่จะอาศัยในโลกแบบนี้
แต่อีกข้างนึง
มันมีความรู้สึกว่าโลกดีๆโลกสวยๆมันไม่สนุก มันอยากจะทำอะไรที่คึกคักสนุกสนาน
หรือว่าเป็นที่บันเทิง บันเทิงแบบโหดๆ ตรงนี้เนี่ยจะบอกว่าทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลือกเยอะ
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่มันเหมือนกับถูกซึมซับมาจากโลกภายนอก
จะเป็นการบันเทิงแบบโหดเหี้ยม พวกหนังฆ่าตัดคอ หรือว่าการด่าทอที่เราได้ยินได้ฟังกันจากทางการเมือง
หรือว่าความรุนแรงจากข่าว หรือจากเกมหรืออะไรก็แล้วแต่ พอมันสั่งสมมาเยอะๆเนี่ยนะครับ
ถึงแม้ว่าเราจะห้ามใจได้ ไม่ลงมือทำอย่างที่มันเป็นเยี่ยงอย่างเลวๆ
แต่มันก็อยู่ในใจเรา ราวกับว่ามีเสียงของปีศาจหลายๆตนมาขู่ตะคอก หรือคำรามอยู่ในหัวของเรา
จนกระทั่งเราไม่รู้แล้วว่าเราคิดไปเอง หรือว่าไปเอาใครเขามา
หรือว่ามีเจ้ากรรมนายเวรคอยบังคับบัญชาคอยขี่คอเราอยู่จริงๆ
ทีนี้ถ้าเรามาเริ่มฝึกอานาปานสติอย่างที่ได้ดูแอนิเมชั่นกันไปบ้างแล้ว
หรือว่าได้พูดคุยถามตอบอะไรกันมามากแล้วเนี่ยนะ ในระหว่างวันเวลาที่เราเกิดความรู้สึกสับสน
เวลาที่เราเกิดความรู้สึกว่า เอ๊ะ!นี่มันเสียงของเรารึเปล่าเสียงในหัวของเราจริงๆรึเปล่า
หรือว่ามันเป็นเสียงใครมาจากไหน ตรงนี้เนี่ยอานาปานสติช่วยได้
แต่อย่างที่เราได้เห็นกันมาแล้ว
อานาปานสติไม่ใช่การจ้องลมหายใจอย่างเดียว แต่เป็นการที่เราสามารถหายใจยาวเป็น
แล้วก็สังเกตออกว่าเมื่อไหร่หายใจสั้น มันมีความแตกต่างไปยังไง
ถ้าหายในยาวเป็น
คุณจะรู้ว่าเรามีความสุขได้ ถึงแม้จะยังไม่มีรางวัล ยังไม่มีใครมามอบเสียงชื่นชม หรือว่าสายตาแบบเหมือนกับบูชาอะไรแบบนั้น
เราสามารถที่จะอยู่กับตัวเอง แล้วก็มีความสุขได้นานๆ อย่างเวลาที่ใครมาให้ของขวัญ
หรือว่ามาชื่นชมด้วยคำดีๆเนี่ย มันอยู่แป๊บเดียว ไอ้ความรู้สึกปรีดานั้นน่ะ
หรือต่อให้เขามายกย่องให้รางวัลใหญ่ หรือว่าประเคนตำแหน่งอะไรใหม่ให้
อย่างมากก็อยู่ได้เป็นหลักวัน ความปิติความปรีดาปราโมทย์ที่มันยิ่งใหญ่เนี่ย
แต่หากเราหายใจยาวเป็น
มันมีความสุขที่เนียนกว่า
มันมีความสุขที่ยั่งยืนกว่าเป็นปีๆหลายสิบปีตราบเท่าอายุขัยเรายังมาไม่ถึงนะครับ
มันก็จะยังมีความสุขอยู่อย่างนั้นที่ยั่งยืนแบบนั้น โดยไม่มีใครสามารถปล้นไปได้
เพราะเรารู้วิธีหายใจอย่างถูกต้องแล้ว
ทีนี้ถ้าเอาจากประสบการณ์ตรงของคนที่ทำอานาปานสติเป็น
เห็นว่าเมื่อไหร่ที่หายใจยาว เห็นว่าเมื่อไหร่หายใจสั้น แล้วรู้ๆตามจริงว่า
หายใจยาวมีความสุขประมาณนี้ หายใจสั้นมีความรู้สึกเฉยๆ
หรือกระทั่งอึดอัดเป็นทุกข์ประมาณนั้น มันพาให้มารู้ได้ว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ตอนแรกๆเนี่ยไอ้ที่มันสับสนปนเปมั่วไปหมด
เป็นเพราะไม่มีเครื่องช่วยแบ็คอัพ
ไม่มีเครื่องช่วยสนับสนุนให้เหมือนกับทำให้เราส่องสำรวจเข้ามาในใจตัวเองได้
มันมีแต่อะไรมั่วๆปนอยู่ในหัวจนแยกไม่ออก
ทีนี้พอเราเริ่มที่จะหายใจยาวเป็นมีความสุขได้
เริ่มหายใจจากท้องก่อน ไม่ใช่ใช้หน้าอกดึงอย่างเดียว มันเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า
ความคิดที่มันยุ่งๆอยู่ในหัว ที่มันสับสนปนเปมั่วไปหมดเนี่ย มันหายไปได้ชั่วคราว
หายไปได้ชั่วขณะที่เรามีความสดชื่นมากๆ หายไปได้ชั่วขณะที่หลายๆๆลมหายใจมันพาเอาความรู้สึกปีติสุขในลมยาวเข้ามาไม่ขาดสาย
สิ่งที่ขาดสายไปก็คือความฟุ้งซ่านวกวน
ทีนี้พอเราหายใจไปหายใจมา
กลับมาหายใจสั้นใหม่ ตรงนี้ถ้าท่านได้สังเกตอย่างที่ไกด์ไว้ในแอนิเมชั้นจะเห็นว่า ความคิดแบบมั่วๆ
มันพร้อมก่อตัวขึ้นมาใหม่ในเวลาที่หายใจสั้น ตรงนี้เราจะเริ่มเข้าใจจากประสบการณ์ตรงแล้วว่า
หายใจยาวถ้าไม่จำเป็นต้องคิดก็ไม่มีความคิด ไม่มีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น
แต่หายใจสั้นเมื่อไหร่
มันพร้อมจะฟุ้งอะไรก็ได้ จะเป็นลบก็ได้ หรือจะเป็นบวกก็ได้
แต่แนวโน้มของคนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันเนี่ย มันมีความโน้มเอียงจะคิดไปในทางอกุศล
ลองนึกดูพอเข้าวงสนทนา มีที่ไหนเอาคนดีๆมาชื่นชมสรรเสริญ
ส่วนใหญ่เขาก็เอาคนดีบ้างไม่ดีบ้างมานินทากันทั้งนั้น
นี่มันสะท้อนว่าความคิดในหัวของคนเราเนี่ย
เวลาที่มันอยากจะปล่อยแสงออกข้างนอกออกสู่โลกภายนอกเนี่ย
มันปล่อยแสงมืดไม่ใช่แสงสว่าง แล้วแสงมืดมันมาจากไหน ก็มาจากการคิด ครุ่นคิดอยู่เป็นประจำ
คิดอยู่ตลอดเวลา
ย้อนกลับไปนิดนึง
คือตอนแรกเนี่ย เราไม่รู้หรอก จนเราได้สนุกกับการเม้าท์สนุกกับการนินทาว่าร้ายชาวบ้าน
เขาจะดีจริงไม่ดีจริง ชั่วจริงไม่ชั่วจริงไม่รู้นะขอให้เม้าท์
แล้วเกิดความรู้สึกว่ามันปาก เกิดความรู้สึกหายคันอกคันใจ นี่ตัวนี้ที่เราจะรู้ใจตัวเองว่า
เรามีความโน้มเอียงที่จะคิดไม่ดี หรือว่าเอาเรื่องไม่ดีของคนอื่นมาคุยกัน
ทีนี้พอกลับเข้ามาสู่ใจเราบ้าง
พอเราหัดอานาปานสติ มีสติรู้ว่าหายใจยาวมันนำความสุขมาให้
แล้วหายใจสั้นมันพร้อมจะคิดอะไรก็ได้ คิดอะไรมั่วๆก็ได้ แล้วส่วนใหญ่โน้มเอียงไปในทางไม่ดี
ตรงนี้แหละ ตัวสติที่มันมีความสามารถเห็นว่า หายใจยาวเป็นสุข หายใจสั้นเป็นทุกข์ แล้วผลิตความคิดไม่ดีออกมาเนี่ย
มันเหตุเห็นผลขั้นมูลฐานว่า เดิมทีจิตชอบอะไรดีๆสบายๆ แต่เนื่องจากหายใจไม่เป็น
เอาแต่หายใจสั้นๆกระชากๆกัน มันก็เลยเกิดความอึดอัด และไอ้เกิดความอึดอัดเนี่ย
มันก็ไปผลิตความคิดที่ออกแนวลบ ไม่ชอบแนวบวกขึ้นมา เนี่ยอันนี้คือเห็นมูลฐานจริงๆ
ยังไม่ต้องไปทำความเข้าใจลึกซึ้งว่า เอ้..มีเหตุโยงไปโยงมาอย่างไร
เราถึงได้ชอบขุดชอบแซะเอาเรื่องไม่ดีมาใส่หัว นี่ยังไม่พูดถึงเหตุภายนอก
ยังไม่พูดถึงเปลือกชีวิต เอาพูดถึงแก่นก่อน พอเราได้แก่นตรงนี้ ได้เบสิคตรงนี้เกิดความรู้ความเข้าใจตรงนี้ชัดๆ
แล้วสังเกตต่อนะว่า เออเวลาที่หายใจยาว
เริ่มหายใจจากท้องเนี่ยมันรู้สึกสบายปลอดโปร่ง มันรู้สึกว่าโล่ง
มันรู้สึกเหมือนกับว่า ความสุขที่มันเอ่อขึ้นมาเนี่ย มันล้นเหลือ มันเกินพอ ใช้คนเดียวไม่หมด
อยากแจกจ่ายให้คนอื่น นี่ตรงนี้เนี่ยความคิดดีๆมันเริ่มเกิดแล้ว
มันเกิดขึ้นตอนที่เรามีความสุขมากจนไม่อยากไปทำร้ายคนอื่น
ไม่อยากให้สภาพจิตใจที่มันดีๆอยู่เนี่ยเสียหาย ด้วยการไปว่าร้ายไปประทุษร้ายใครเขา
นี่ก็คือเหตุมูลฐานอีกแบบนึง นี่คือเบสิคอีกข้อนึง
เมื่อสังเกตเห็น
เห็นวาระจิตของตัวเอง โดยอาศัยสุขเวทนา และทุกขเวทนา อันเกิดจากการหายใจเป็นตัวตั้งได้
หรือเวลาที่เรามีแก่ใจคิออะไรดีๆ อยากเผื่อแผ่ให้ใครเนี่ย
มันทำนองเดียวกันเลยนะครับ จิตใจมันมีความปลอดโปร่ง จิตใจมันมีความสุข
มันมีความกว้าง มันมีความว่างออกไป แล้วตรงนั้นเนี่ย ที่ตรงนั้นเนี่ยลมหายใจก็ยาว
ยาวอย่างเป็นธรรมชาติ หรือถึงแม้ว่าจะไม่ยาวอยู่นานๆ
แต่อย่างน้อยมันจะไม่ก้มหน้าก้มตา มันจะไม่แค่หายใจสั้นๆแบบอึดอัด
เนี่ยตรงนี้นะสติที่มันเกิดขึ้นเนี่ย มันจะพาเราไปรู้รายละเอียดอื่นๆลึกลงไปเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างเช่น พอเราคุมแค้นใครอยู่ โกรธที่เขามาด่าเรา
หรือโกรธที่เขาเล่นเกมชนะเรา หรือโกรธที่เขาทำให้เราขายหน้า อับอาย มันจะเห็นเลยนะ
มันจะเห็นถ้าสังเกตจากอานาปานสติ มันจะรู้เลยว่าภาพที่มันหลอกหลอน
เสียงที่มันยังก้องอยู่ในหู ที่ทำให้เราเกิดอาการทำร้ายตัวเองด้วยการตรึกนึกไม่เลิกได้เนี่ย
มันเป็นแค่ภาพที่มาพร้อมกับลมหายใจที่สั้น
ถ้าเมื่อไหร่เราหายใจยาว
เริ่มจากหน้าท้องไปก่อนเนี่ยนะครับ ไอ้ภาพตรงนั้นมันจะเลือนลางลงไป
เนี่ยมันจะเห็นมาเป็นช็อตๆนะครับ แล้วก็เกิดความรู้ว่า
เวลาที่เราคิดอะไรไม่ดีขึ้นมา มันจะมากดให้ภาวะร่างกายมีความเกร็ง
บางทีเนี่ยเหมือนก้อนอะไรหนักๆในหัว มันมากดทับปอดไม่ให้หายใจเต็มอิ่ม
พอไอ้ความคิดไม่ดีมันเล่นงานเราได้
แล้วมันกดทับปอดเราได้ ไม่ให้หายใจโล่งเนี่ย ลมหายใจที่ไม่โล่ง ถัดจากนั้นมันก็ย้อนกลับมาผลิตความคิดไม่ดีหนักขึ้นไปอีก
นี่ตัวนี้นะครับถ้าเห็นรายละเอียดแบบนี้ มันกลายเป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
มันกลายเป็นแบบว่า เรามีความสามารถเข้าใจตัวเองได้ บอกตัวเองถูก หรือว่าอธิบายใครๆได้หมดเลยว่า
ทำไม ณ วาระหนึ่งๆเราถึงได้คิดอะไรมั่วๆขึ้นมา มันไม่ต้องโทษใคร
ไม่ต้องไปโทษอดีตที่ไหน เพราะว่าชีวิตเราเนี่ยมีคนทำร้ายเรามาเยอะเหลือเกินจำไม่หมดหรอก
แต่คนที่ทำร้ายตัวเองบ่อยที่สุดก็คือ
นี่แหละภาวะทางกายนี้ ภาวะทางใจนี้ ตัวที่มันจะทำให้เราสาหัสที่สุดนะครับ มันไม่ใช่คนอื่นข้างนอก
คนอื่นข้างนอกเนี่ยต่อให้เขาตัดมือตัดเท้าเรานะ ถ้าใจของเราไม่ไปโกรธ
พระพุทธเจ้าตรัสเลยนะครับบอกว่า ถ้าเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้านะครับ
จะสามารถไปสู่พรหมโลกได้ ถึงแม้ว่าเขาตัดมือตัดเท้าเราอยู่ก็ตาม
เพราะว่าใจของเราเนี่ย คือมันไม่ทำร้ายตัวเองตามคนอื่น แล้วก็ใจของเราเนี่ยนะ
ตอนที่มีเมตตาตอนที่ให้อภัยคนอื่นได้เนี่ย ดูเถอะมันเป็นจังหวะที่เราสามารถหายใจได้อย่างสบาย
ไม่ใช่หายใจแบบสั้นๆ ไม่ใช่หายในแบบเหมือนกับมีหินจากสมองมาทุ่มทับปอด
ถ้าเราเข้าใจวาระจิตของตัวเอง
เข้าใจกลไกการทำงานของจิตแบบนี้ เราจะมีแก่ใจฝึกอานาปานสติให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ผมลืมบอกไปนิดนึง
คือตอนนี้ผมอัพเดทคลิปที่ผ่านๆมา ถ้าใครยังไม่เคยเห็นนะครับ
ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับเสียงสติ เข้าไปที่นี่นะครับ www.เสียงสติ.com มีทั้งเสียงให้ฟังอย่างเดียว เป็นคลื่นศรัทธากับคลื่นสมาธินะครับ
แล้วก็สำหรับคลื่นปัญญาจะมีแอนิเมชั่นประกอบให้ฝึกอานาปานสติได้ด้วยนะครับ
ใครบอกว่า โอ้ยฉันไม่ถูกจริตกับอานาปานสติ ฉันทำแล้วเกิดความอึดอัด
ฉันทำแล้วจะบ้าตายอะไรแบบนี้เนี่ย ทดลองดู ขอให้ๆโอกาสอีกครั้งนึงนะครับ
ลองไปดูแล้วก็ทำตามคลิปที่ให้คำแนะนำตั้งแต่เริ่มเลยนะครับว่า ก้าวแรกของอานาปานสติแบบที่พระพุทธเจ้าสอน
คือนั่งคอตั้งหลังตรงสบายๆ แล้วก็หายใจสั้น หายใจยาวให้เป็น
เพื่อที่จะมีสติรู้เป็นอัตโนมัติว่า ขณะนี้ร่างกายเราต้องการลมเข้ายาวหรือว่าลมเข้าสั้น
ถ้าหากว่าเราสามารถหายใจยาวได้
เราก็จะรู้จักความสุขจากการหายใจยาวได้เช่นกัน
แล้วถ้าหากว่าหายใจจนมีความสุขได้นานๆนะครับ ความสุขนั้นจะปรุงแต่งจิตให้ประณีต จนสามารถเห็นลมหายใจเป็นสาย
แล้วก็เห็นความคิดของตัวเองเนี่ย เป็นแค่ความปรุงแต่งในหัวได้เช่นกันนะครับ
ตรงนี้แหละที่เราจะเอาอานาปานสติไปรู้วาระจิตตัวเองได้ ไม่ต้องไปรู้วาระจิตคนอื่น
พระพุทธเจ้าเคยตรัส ถ้าเราเสียใจว่า เออฉันไม่มีความฉลาดในจิตคนอื่น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ก็จงมีความฉลาดในจิตตัวเองเถอะ
-----------------------------------------------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๒๒
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ตอน ใช้อานาปานสติรู้ใจตัวเอง
ระยะเวลาคลิป ๓๑.๕๐ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=tEIYfdR8fP8&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=22&t=0s** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น