อาการทางกายใดบ้างเป็นสัญญาณว่ากำลังมีรัก? คำถามแบบนี้อาจชวนให้คุณสังเกตพฤติกรรมภายนอกของคนอื่น
เช่นเห็นเขานั่งเหม่อลอยแม้ในเวลาสมควรตั้งใจมีสมาธิฟังครูสอนหรือฟังนายสั่ง
แต่เมื่อถามเจาะจงลงไปว่าเป็น ‘อาการทางจิต’ แบบไหนบ้าง เป็นสัญญาณว่ากำลังมีรัก? อย่างนี้มีสิทธิ์ชวนให้นึกถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้มากขึ้น
เพราะคุณไม่รู้วาระจิตผู้อื่น
จึงไม่อาจทราบว่าโลกภายในของแต่ละคนที่มีรักเป็นอย่างไร
ในขณะที่สำรวจเข้ามาทราบภาวะจิตใจและอารมณ์ของตนเองได้ง่ายกว่า
ตัวอย่างเช่นถ้าคุณถูกบังคับให้ตอบว่ารักใครสักคนไหม
หากต้องชั่งใจเพื่อหาคำตอบที่แท้จริงเกินหนึ่งพริบตาเดียว
แปลว่าดีกรีความรักที่คุณมีต่อคนๆหนึ่งยังต่ำอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อาการทะยานทางจิตที่พุ่งเข้าไปยึดเหนี่ยวคนๆนั้นไม่แรงพอ หากแม้นว่าแรงพอแล้ว
คุณจะตอบได้ชัดถ้อยชัดคำเหมือนเอาอีโต้ฟันโชะเข้าที่หูคนถามทันที ว่ารักหรือไม่รัก
หากอ่านจิตเป็น คุณจะพบความวิจิตรพิสดารของความรักได้หลากหลายเหลือเชื่อ
บางความรักทำให้จิตของคุณพุ่งแน่วไปที่คนๆหนึ่งด้วยความโลภอยากครอบครองกายใจของเขาไว้ในมือคุณคนเดียว
อาการเล็งละโมบโลภมาก อยากเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาจากคนรัก ทั้งเวลา ทั้งของขวัญ
ตลอดจนบริการรับใช้ครบวงจรจากเขา อาการทางจิตชนิดนี้มาพร้อมกับความพลุ่งพล่านร้อนรน
รักแล้วกระวนกระวาย ทำความทรมานมากกว่าสบายใจ
อีกขั้วตรงข้ามของความรักข้างต้นจะทำให้คุณยอมโง่
ทุ่มกายถวายชีวิต ยอมเสียสละจนกลายเป็นอ่อนแอปวกเปียก
เปิดโอกาสให้เขาใช้คุณเป็นไร่นาเพาะบาปเพาะเวร ปล่อยให้เขานิสัยเสียโดยไม่พยายามทำอะไรให้ดีขึ้น
อาการทางจิตชนิดนี้มาพร้อมกับความมืดบอด ยิ่งรักยิ่งทึบหนัก
อาศัยความสุขเล็กๆน้อยๆเป็นกำลังใจให้ยอมจำนนไปเรื่อย
แต่บางความรักก็ทำให้จิตของคุณสงบเย็นลึกซึ้ง
ปราศจากอาการเกาะเกี่ยวกระหวัดเข้าหาตัว มีแต่กระแสความปรารถนาดีแผ่ออกไป สุขใจแค่มีใครคนหนึ่งเป็นที่ตั้งของความรู้สึกด้านสว่าง
รักได้ทั้งที่เป็นอิสระต่อกันอย่างสิ้นเชิง
คุณเกิดมาต้องผ่านประสบการณ์ทางจิตขณะมีรักมาแล้วหลายรูปแบบ
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วความรักทั้งหลายจะมีพื้นฐานคล้ายคลึงกันบางประการ คือมีแรงดึงดูดในด้านดี เสมือนระหว่างใจกับใจเป็นแม่เหล็กที่กระทำต่อกัน
ความรักฉันญาติมิตรทำให้จิตของคุณมีแรงดึงดูดอ่อนๆ
ให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง
ส่วนความรักสีชมพูจะทำให้จิตของคุณเกิดแรงดึงดูดรุนแรง ให้ความรู้สึกวาบหวาม
เหนี่ยวนำให้อยากแนบชิด แต่ขณะเดียวกันก็พร้อมจะผลักไสให้เป็นอื่นอยู่ในส่วนลึก
ขอเพียงเกิดความแปรปรวนทางอารมณ์เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกได้
พอโตมาคนเราจะอยากมีประสบการณ์ทางจิตแบบวาบหวามกันทั้งนั้น
ความอยากดังกล่าวทำให้รู้สึกโหยหา จึงดูเหมือนธรรมชาติบังคับให้ทุกคนเกิดอุปาทานว่าตนเองเกิดมาแล้วต้องเสาะหารักแท้ให้เจอ
หากคุณเป็นนักล่าฝัน
คุณสร้างความรักไว้ล่วงหน้า ชนิดที่ทำให้จิตเกิดอาการอ้อยอิ่ง
เต็มไปด้วยภาพงดงามสูงส่งชวนหลงใหลทะยานอยาก
ความรักล่วงหน้าของคุณอาจกลายเป็นปมปัญหาสำคัญ
เมื่อพบว่าตัวตนที่มีเลือดเนื้อและกลิ่นเหงื่อไคลของผู้คนหาใช่อะไรที่หอมหวนดังฝันไม่
ในทางกลับกัน หากคุณฝันไม่เป็น
เอาแต่เชื่อทฤษฎีประเภทมนุษย์แค่มีหน้าที่หลั่งน้ำกามใส่กัน
จิตคุณย่อมมีอาการเย็นชา
เพ่งเล็งแต่ในแง่ได้ประโยชน์เสียประโยชน์จากเพศตรงข้ามแปลกหน้า
นั่นก็จะเป็นปมปัญหา
เมื่อพบว่าจิตใจของใครๆและตัวคุณเองร้องหาความสุขอันละเอียดอ่อนยิ่งกว่าผลประโยชน์ทางเพศมากนัก
ความผิดหวังและความสัมพันธ์ที่แตกพังซ้ำๆอาจทำให้หลายคนชาด้านมากขึ้นเรื่อยๆกับรักแท้
คนส่วนใหญ่ในโลกเหลือความหวังแค่ค้นหาใครสักคนที่พอไปด้วยกันได้ เอามาแก้เหงา
เอามาสร้างครอบครัว เอามามีเซ็กซ์
โดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนต้องการเสรีภาพ
ไม่มีใครอยากเจอห่วงล่ามคอ ไม่มีใครอยากโดนผูกมัด
แต่ขณะเดียวกันก็อยากกะเกณฑ์ให้คู่ของตนซื่อสัตย์ รายงานความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าว
พูดง่ายๆคืออยากเป็นนาย ไม่อยากเป็นทาส และหนทางง่ายที่สุดที่คนเราจะได้ทาส
ก็คือใช้อำนาจความรักและความเป็นกันเองแบบผัวเมียลากจูงมา
ความเคยชินและภาระหน้าที่ของการครองคู่จะทำให้อาการทางจิตซึ่งมีต่อกันแปรไปทีละน้อย
แรงดึงดูดจะลดลง หรือกระทั่งคลายออกอย่างสิ้นเชิง
เหลือไว้แต่สายใยผูกพันในฐานะคนข้างเคียง
ทุกคนแสวงหาความรักอันหวานชื่นโดยไม่ทราบอย่างแท้จริงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
แล้วจะรักษาไว้ได้ด้วยท่าไหน รู้แต่ว่าต้องหาให้ได้ รู้แต่ว่าต้องมีให้ได้
การจะมองให้เห็นหน้าตาความรัก
บางทีอาจต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับอาการทางจิตแบบอื่นๆ เช่น
๑)
ตรงข้ามกับคำว่ารักคือเกลียด เพราะความเกลียดทำให้อาการทางจิตเป็นไปในทางผลักไส
เมื่อผลักไม่พ้นตัวก็คาอยู่ อึดอัดอยู่
๒) ใกล้กับคำว่ารักคือนิยม
เพราะความนิยมปรุงแต่งให้จิตเกิดความสดใส คุณอาจรู้สึกถึงแรงดึงดูด
แต่ก็ไม่ถึงขนาดวาบหวาม
๓)
เสมอกับคำว่ารักคือชมชอบ เพราะความชมชอบมักแฝงอยู่ด้วยพลังพิศวาส
หากมีปัจจัยแวดล้อมเร่งพลังพิศวาสได้มากพอ
คุณก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาเขาหรือเธอมาอยู่ในชีวิตคุณ
๔)
เหนือกว่าคำว่ารักคือเมตตา เพราะความเมตตาไม่ได้ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน
เหมือนอาการทางใจของคนรดน้ำต้นไม้
ย่อมได้ความฉ่ำชื่นตอบแทนกลับมาในขณะนั้นๆอยู่แล้วโดยตัวเอง
ข้อสุดท้ายนี่แหละคือบทสรุปแห่งวิธีรักษาความรักไว้ให้ยั่งยืน
เพราะเมตตาตัวเดียวจะทำงานครอบจักรวาล คือตัดรอนอาการเกลียด
ลดความหวังในเชิงวาบหวาม และแทนที่เงามืดของความเห็นแก่ตัวลงได้
หากเมตตาของคุณมีชีวิตยืนยาวพอจะเบื่อความโกรธ
เห็นว่าไม่รู้จะโกรธไปทำไม แม้คนเลวที่น่าระคายอย่างที่สุด
ก็ไม่ควรค่าพอจะเก็บไว้เป็นทุกข์ทางใจเลย คนบัดซบที่สุดนั่นแหละ
ที่คุณควรทิ้งไปจากใจก่อนเพื่อน และเปิดโอกาสให้เขารบกวนจิตใจคุณน้อยกว่าใครเพื่อน
เมตตาจัดเป็นธรรมใกล้พ้นโลก
ยกตัวอย่างเช่นความรู้สึกแบบโลกๆจะทำให้คุณอยากเอาชนะ ขณะอยากเอาชนะจะไม่มีเมตตา
เมื่อคุณเลือกที่จะอยู่ข้างเมตตาย่อมไม่อยากเอาชนะ ลงเอยคือเท้าของคุณย่อมใกล้ข้ามเส้นแห่งความทุกข์และภัยเวรในโลกไปได้
เมื่อเมตตาเป็น
วันหนึ่งคุณอาจขยับขึ้นไปเข้าถึงสัจธรรมที่ว่าความไม่มีตัวตนให้เห็นแก่ตัวเลยนั่นแหละ
เป็นอันเดียวกับการเข้าถึงความรักขั้นสูงสุด
ก้าวแรกของเมตตา
อาจมาจากการคิดถึงความจริงง่ายๆเช่น ‘ให้จริงแล้วใจเบา’ สังเกตความจริงผ่านการกระทำจริงเรื่อยๆ
กระทั่งวันหนึ่งใจคุณมีแต่เบาแบบไม่กลับหนักด้วยฤทธิ์ความเอาแต่ได้เลย
นั่นแหละครับ คุณยืนอยู่ข้างชนกลุ่มน้อยที่เต็มไปด้วยอาการทางจิตอันเป็นสุขแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น