ถาม
: นั่งสมาธิไม่ค่อยได้เลย ใจมันชอบเร่งไปหาสิ่งอื่นตลอดเวลา
อาจจะเป็นธรรมชาติของใจที่ชอบเร่งอยู่แล้วด้วย นิ่งๆไม่ค่อยเป็นเลย ทำอย่างไรดี?
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/BCu3Ur9KkUs
ดังตฤณตอบ: •
สำหรับคนที่รู้ตัวว่าใจไม่นิ่ง
ใจกระโดดไปกระโดดมา
ขอแนะนำว่าอย่าเพิ่งนั่งสมาธิ
ให้ทำอะไรก่อนหน้านั้น เพื่อกล่อมเกลาหรือว่าจูนจิต
ให้ลงสู่สภาพพร้อมจะนิ่ง พร้อมจะสว่าง พร้อมจะเย็นเสียก่อน
• อย่างที่พี่เคยแนะนำในเรื่องของการสวดมนต์
เปล่งเสียงบูชาพระรัตนตรัย ‘เต็มปากเต็มคำ’
‘อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา…’
ถ้าหากว่าเราสร้างนิสัย เพาะนิสัยขึ้นมาใหม่
มันจะขี้เกียจนิดหนึ่งตอนเริ่มต้น
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ก่อนนั่งสมาธิ สวดมนต์หลายๆรอบ ไม่ใช่รอบเดียวนะ
สวดจนกว่าจะรู้สึกว่าใจของเราเห็น ‘ความไม่เที่ยงของจิต’
: รอบนี้ รู้สึกว่าไม่นิ่งไม่สงบ มีความกระโดดไปกระโดดมา
: อีกรอบหนึ่ง มันเย็นลง มีความรู้สึกว่ากระโดดน้อยลง
: รอบต่อมา มันเหมือนกับเป็นสมาธิเลย
• ยังไม่ทันนั่งสมาธิ แค่สวดมนต์อย่างเดียว
ใจผูกกับความสว่าง ใจผูกกับความศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว
มันเกิดความรู้สึกสงบเย็นขึ้นมาได้แล้ว
ตรงนี้นะ ..
: ถ้าหากว่าเห็นความไม่เที่ยงได้
: รู้สึกถึงอาการทางใจที่มันแปรไปในแต่ละรอบของการสวดมนต์ได้
ตัวนี้แหละ..
‘สติ’ เราเริ่มเกิดแล้วนะ !
‘ปัญญา’ เราเริ่มเกิดแล้วด้วย !
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• สติกับปัญญามีผลสำคัญมาก
ถ้าหากว่าจิตเริ่มต้นด้วย
: ความมีสติ
: ความมีปัญญา และ
: ความเยือกเย็นได้
แล้วเราไปทำใจให้อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว
อย่างเช่นลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
จะรู้สึกเลยว่า ‘ใจเย็นพอที่จะทำได้จริง’ !
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ถ้าหากว่าทำจนคุ้น ปฏิบัติเป็นนิสัย ทำทุกครั้ง
ก่อนนั่งสมาธิเราสวดมนต์หลายๆรอบ
แล้วก็สังเกตจิตตัวเองในแต่ละรอบไปด้วย
ว่ารอบนี้มันนิ่งหรือว่ามีความสั่นไหว
รอบนี้มันฟุ้งซ่านกระจัดกระจาย
หรือว่ามันมีความรู้สึกสงบเย็น
• คิดถึงเรื่องเดียว คิดถึงการสวดอย่างเดียว
ตัวสตินี้แหละ
ตัวความเย็นอันเกิดจากการสวดมนต์นี่แหละ
จะไปส่งเสริมสร้าง ‘นิสัยทางสมาธิขึ้นมา’
• เราจะมีความรู้สึกว่าการกระโดดไปกระโดดมา
เป็นเรื่องประเดี๋ยวประด๋าว
เป็นเรื่องเกิดขึ้นชั่วครู่ เป็นภาวะชั่วคราว
ไม่ใช่ภาวะที่จะต้องเป็นตัวแทนของเราตลอดไป !
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• สังเกตนะพอเราฟุ้งซ่านจัดๆ
มีความรู้สึกกระโดดไปกระโดดมา
เนื่องจากเราตามใจตัวเองมามากที่จะให้จิตมันเป็นแบบนั้น
เวลาเกิดภาวะดังกล่าว
มันมีความรู้สึก ‘เป็นตัวของเรา’ มากเลย
มันใช่มากเลย นี่แหละ ‘ตัวของเรา’ แน่ๆ
แต่ถ้าเมื่อไรเราไปใช้วิธีอย่างที่พี่ว่า
สวดมนต์แล้วสังเกตเอาแต่ละรอบอาการของจิตมันต่างไป
สภาวะของใจมันไม่เหมือนเดิม มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ตัวนี้จะทำให้ความยึดติดหลงเข้าใจว่า สภาพจิตฟุ้งซ่าน สภาพจิตซัดส่ายเป็นตัวเรา มันใช่ตัวเรา มันค่อยๆเลือนหายไป
จะค่อยๆกลายเป็นความรู้สึกว่า
สภาวะฟุ้งซ่านเป็นแค่ภาวะชั่วคราว
จรมาแล้วจรไป
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ซึ่งคงไม่ใช่ว่าทำกันวันสองวันแล้วจะได้ผล
จะต้องทำกันเป็นเดือนๆ ทำกันเป็นปีๆ
• ขอให้คิดว่า จริงๆแล้วระหว่างนั้นก็มีความสุขอยู่แล้ว
ก่อนจะเดินทางไปถึงบรมสุขอันเป็นเป้าหมายใหญ่
เราก็มีความสุขในการเดินทางเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่แล้ว
ชีวิตของเราทั้งชีวิตไม่มีใครที่จะเปลี่ยนได้ภายในวันสองวัน
อันนั้นก็เหมือนกัน
• การที่เราจะเป็นคนต่างจากเดิม
จากที่เคยฟุ้งซ่าน เป็นคนมีสมาธิได้
มันไม่ใช่ด้วยการใช้ความพยายามเล็กน้อยแน่นอน
มันต้องใช้ ‘ความต่อเนื่อง’
และความพยายามที่จะมากได้ มันต้องมี ‘ฉันทะ’
มันต้องมี ‘ความปลื้มใจในตัวเอง’
มันต้องมี ‘ความหวังรำไรว่ามันได้แน่’
ก็ใช้วิธีนี้วิธีที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้นั่นแหละ
ให้ดูความไม่เที่ยงของสภาวะทางใจ
ถ้าเราเห็นความไม่เที่ยงได้มันจะเริ่มมีกำลังใจขึ้นมา
ไม่ใช่แค่ความสุขอันเกิดจากการสวดมนต์หรือว่าการนั่งสมาธินะ
แต่เป็นความสุขอันเกิดจากการรู้สึกมั่นใจในตัวเอง
ว่าเราก็สามารถเห็นอนิจจังได้กับเขาเหมือนกัน !
• ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมีปัญญาสูงส่ง
เราจะต้องมีไอคิวทางธรรมที่สูงกว่านี้ขึ้นไปมากๆ
แต่เราเป็นของเราอย่างนี้แหละ
เอาตัวที่มันกำลังฟุ้งซ่าน มันกำลังกระโดดบ่อยๆแบบนี้
เอามาใช้ดูความไม่เที่ยง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• แต่แน่นอนครับ คือถ้าดูระหว่างวันมันดูไม่ออกหรอกนะ
เพราะความฟุ้งซ่านมันกระจายมากเกินไป
แล้วก็ไม่มีฐาน ไม่มีจุดสังเกต
ไม่มีจุดที่เทียบวัดที่จะเอามาเป็นความแตกต่างของความฟุ้งซ่าน
• แต่ถ้าหากว่าเราใช้การสวดมนต์
อาศัยการสวดมนต์เป็นเครื่องเปรียบเทียบ
ว่าตอนสวดมนต์ดีๆแล้วเกิดความรู้สึกใจเย็น
เกิดความรู้สึกว่าสว่าง เกิดความรู้สึกว่าโปร่งโล่ง
คลื่นความฟุ้งซ่านมันลดระดับลง
อย่างนี้มีความหวังแน่นอน !
มันมีความรู้สึกเลยว่าเราก็สามารถทำได้
ไม่ใช่ว่าต้องมีความสามารถอะไรที่มีพรสวรรค์
มีความเก่งกาจแบบคนที่เขาไปนั่งในถ้ำกันได้เป็นชั่วโมงๆอะไรแบบนั้น
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• จริงๆแล้วอยากจะบอกกับทุกคนเลยว่า
การทำสมาธิไม่ใช่เรื่องของคนเก่ง
ไม่ใช่เรื่องของคนมีพรสวรรค์มาแต่เกิด
• ตรงข้าม หลายคนเลยที่มีพรสวรรค์มาแต่เกิด
นั่งสมาธิเก่งตั้งแต่เด็กๆประมาทชะล่ากัน
นึกว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว นึกว่าตัวเองเกิดมาก็มีดี
ไม่เห็นต้องไปพยายามอะไรก็มีสมาธิ
หลายคนเลยที่ไปติดกับ ไปหลงเข้าใจผิดๆ
ไม่ไปพัฒนาให้มันดีขึ้น
กลายเป็นว่ายิ่งโตขึ้นจิตใจยิ่งตกต่ำลง
จิตใจยิ่งมืดมนลงแล้วก็เห็นผิดเป็นชอบมากขึ้นทุกที
จนกระทั่งซัดส่ายกระจัดกระจาย
• บางคนผมเคยเห็นตอนเด็กๆ นิ่งมากเลย
นิ่งอย่างน่าเลื่อมใสทีเดียว มีพลังอย่างใหญ่
แต่พอโตขึ้นมาด้วยความทะนงหลงตัว
ก็ไปปรามาสคนโน้นคนนี้ ไปปรามาสบุคคลศักดิ์สิทธิ์
บางทีก็ไปบอกว่ารู้สึกกับพระพุทธเจ้าเหมือนเพื่อน
เหมือนกับเขาเคยเป็นเพื่อนกันมา
แล้วยังเป็นเพื่อนกันอยู่อะไรทำนองนั้น
สุดท้ายก็ชีวิตพังพินาศ จิตใจแตกซ่านกระจัดกระจายไป
อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจก็แล้วกัน
• คนเราจะมีสมาธิได้
ต้องมีสติและปัญญาประกอบด้วย
แล้วก็สร้างกันได้ ทำกันได้ ในทุกระดับที่กำลังเป็นอยู่จริงๆ
เราอยู่ตรงไหนก็เริ่มจากตรงนั้นแหละ
ขอแนะนำว่าอย่าเพิ่งนั่งสมาธิ
ให้ทำอะไรก่อนหน้านั้น เพื่อกล่อมเกลาหรือว่าจูนจิต
ให้ลงสู่สภาพพร้อมจะนิ่ง พร้อมจะสว่าง พร้อมจะเย็นเสียก่อน
• อย่างที่พี่เคยแนะนำในเรื่องของการสวดมนต์
เปล่งเสียงบูชาพระรัตนตรัย ‘เต็มปากเต็มคำ’
‘อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา…’
ถ้าหากว่าเราสร้างนิสัย เพาะนิสัยขึ้นมาใหม่
มันจะขี้เกียจนิดหนึ่งตอนเริ่มต้น
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ก่อนนั่งสมาธิ สวดมนต์หลายๆรอบ ไม่ใช่รอบเดียวนะ
สวดจนกว่าจะรู้สึกว่าใจของเราเห็น ‘ความไม่เที่ยงของจิต’
: รอบนี้ รู้สึกว่าไม่นิ่งไม่สงบ มีความกระโดดไปกระโดดมา
: อีกรอบหนึ่ง มันเย็นลง มีความรู้สึกว่ากระโดดน้อยลง
: รอบต่อมา มันเหมือนกับเป็นสมาธิเลย
• ยังไม่ทันนั่งสมาธิ แค่สวดมนต์อย่างเดียว
ใจผูกกับความสว่าง ใจผูกกับความศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว
มันเกิดความรู้สึกสงบเย็นขึ้นมาได้แล้ว
ตรงนี้นะ ..
: ถ้าหากว่าเห็นความไม่เที่ยงได้
: รู้สึกถึงอาการทางใจที่มันแปรไปในแต่ละรอบของการสวดมนต์ได้
ตัวนี้แหละ..
‘สติ’ เราเริ่มเกิดแล้วนะ !
‘ปัญญา’ เราเริ่มเกิดแล้วด้วย !
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• สติกับปัญญามีผลสำคัญมาก
ถ้าหากว่าจิตเริ่มต้นด้วย
: ความมีสติ
: ความมีปัญญา และ
: ความเยือกเย็นได้
แล้วเราไปทำใจให้อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว
อย่างเช่นลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
จะรู้สึกเลยว่า ‘ใจเย็นพอที่จะทำได้จริง’ !
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ถ้าหากว่าทำจนคุ้น ปฏิบัติเป็นนิสัย ทำทุกครั้ง
ก่อนนั่งสมาธิเราสวดมนต์หลายๆรอบ
แล้วก็สังเกตจิตตัวเองในแต่ละรอบไปด้วย
ว่ารอบนี้มันนิ่งหรือว่ามีความสั่นไหว
รอบนี้มันฟุ้งซ่านกระจัดกระจาย
หรือว่ามันมีความรู้สึกสงบเย็น
• คิดถึงเรื่องเดียว คิดถึงการสวดอย่างเดียว
ตัวสตินี้แหละ
ตัวความเย็นอันเกิดจากการสวดมนต์นี่แหละ
จะไปส่งเสริมสร้าง ‘นิสัยทางสมาธิขึ้นมา’
• เราจะมีความรู้สึกว่าการกระโดดไปกระโดดมา
เป็นเรื่องประเดี๋ยวประด๋าว
เป็นเรื่องเกิดขึ้นชั่วครู่ เป็นภาวะชั่วคราว
ไม่ใช่ภาวะที่จะต้องเป็นตัวแทนของเราตลอดไป !
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• สังเกตนะพอเราฟุ้งซ่านจัดๆ
มีความรู้สึกกระโดดไปกระโดดมา
เนื่องจากเราตามใจตัวเองมามากที่จะให้จิตมันเป็นแบบนั้น
เวลาเกิดภาวะดังกล่าว
มันมีความรู้สึก ‘เป็นตัวของเรา’ มากเลย
มันใช่มากเลย นี่แหละ ‘ตัวของเรา’ แน่ๆ
แต่ถ้าเมื่อไรเราไปใช้วิธีอย่างที่พี่ว่า
สวดมนต์แล้วสังเกตเอาแต่ละรอบอาการของจิตมันต่างไป
สภาวะของใจมันไม่เหมือนเดิม มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ตัวนี้จะทำให้ความยึดติดหลงเข้าใจว่า สภาพจิตฟุ้งซ่าน สภาพจิตซัดส่ายเป็นตัวเรา มันใช่ตัวเรา มันค่อยๆเลือนหายไป
จะค่อยๆกลายเป็นความรู้สึกว่า
สภาวะฟุ้งซ่านเป็นแค่ภาวะชั่วคราว
จรมาแล้วจรไป
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• ซึ่งคงไม่ใช่ว่าทำกันวันสองวันแล้วจะได้ผล
จะต้องทำกันเป็นเดือนๆ ทำกันเป็นปีๆ
• ขอให้คิดว่า จริงๆแล้วระหว่างนั้นก็มีความสุขอยู่แล้ว
ก่อนจะเดินทางไปถึงบรมสุขอันเป็นเป้าหมายใหญ่
เราก็มีความสุขในการเดินทางเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่แล้ว
ชีวิตของเราทั้งชีวิตไม่มีใครที่จะเปลี่ยนได้ภายในวันสองวัน
อันนั้นก็เหมือนกัน
• การที่เราจะเป็นคนต่างจากเดิม
จากที่เคยฟุ้งซ่าน เป็นคนมีสมาธิได้
มันไม่ใช่ด้วยการใช้ความพยายามเล็กน้อยแน่นอน
มันต้องใช้ ‘ความต่อเนื่อง’
และความพยายามที่จะมากได้ มันต้องมี ‘ฉันทะ’
มันต้องมี ‘ความปลื้มใจในตัวเอง’
มันต้องมี ‘ความหวังรำไรว่ามันได้แน่’
ก็ใช้วิธีนี้วิธีที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้นั่นแหละ
ให้ดูความไม่เที่ยงของสภาวะทางใจ
ถ้าเราเห็นความไม่เที่ยงได้มันจะเริ่มมีกำลังใจขึ้นมา
ไม่ใช่แค่ความสุขอันเกิดจากการสวดมนต์หรือว่าการนั่งสมาธินะ
แต่เป็นความสุขอันเกิดจากการรู้สึกมั่นใจในตัวเอง
ว่าเราก็สามารถเห็นอนิจจังได้กับเขาเหมือนกัน !
• ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมีปัญญาสูงส่ง
เราจะต้องมีไอคิวทางธรรมที่สูงกว่านี้ขึ้นไปมากๆ
แต่เราเป็นของเราอย่างนี้แหละ
เอาตัวที่มันกำลังฟุ้งซ่าน มันกำลังกระโดดบ่อยๆแบบนี้
เอามาใช้ดูความไม่เที่ยง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• แต่แน่นอนครับ คือถ้าดูระหว่างวันมันดูไม่ออกหรอกนะ
เพราะความฟุ้งซ่านมันกระจายมากเกินไป
แล้วก็ไม่มีฐาน ไม่มีจุดสังเกต
ไม่มีจุดที่เทียบวัดที่จะเอามาเป็นความแตกต่างของความฟุ้งซ่าน
• แต่ถ้าหากว่าเราใช้การสวดมนต์
อาศัยการสวดมนต์เป็นเครื่องเปรียบเทียบ
ว่าตอนสวดมนต์ดีๆแล้วเกิดความรู้สึกใจเย็น
เกิดความรู้สึกว่าสว่าง เกิดความรู้สึกว่าโปร่งโล่ง
คลื่นความฟุ้งซ่านมันลดระดับลง
อย่างนี้มีความหวังแน่นอน !
มันมีความรู้สึกเลยว่าเราก็สามารถทำได้
ไม่ใช่ว่าต้องมีความสามารถอะไรที่มีพรสวรรค์
มีความเก่งกาจแบบคนที่เขาไปนั่งในถ้ำกันได้เป็นชั่วโมงๆอะไรแบบนั้น
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• จริงๆแล้วอยากจะบอกกับทุกคนเลยว่า
การทำสมาธิไม่ใช่เรื่องของคนเก่ง
ไม่ใช่เรื่องของคนมีพรสวรรค์มาแต่เกิด
• ตรงข้าม หลายคนเลยที่มีพรสวรรค์มาแต่เกิด
นั่งสมาธิเก่งตั้งแต่เด็กๆประมาทชะล่ากัน
นึกว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว นึกว่าตัวเองเกิดมาก็มีดี
ไม่เห็นต้องไปพยายามอะไรก็มีสมาธิ
หลายคนเลยที่ไปติดกับ ไปหลงเข้าใจผิดๆ
ไม่ไปพัฒนาให้มันดีขึ้น
กลายเป็นว่ายิ่งโตขึ้นจิตใจยิ่งตกต่ำลง
จิตใจยิ่งมืดมนลงแล้วก็เห็นผิดเป็นชอบมากขึ้นทุกที
จนกระทั่งซัดส่ายกระจัดกระจาย
• บางคนผมเคยเห็นตอนเด็กๆ นิ่งมากเลย
นิ่งอย่างน่าเลื่อมใสทีเดียว มีพลังอย่างใหญ่
แต่พอโตขึ้นมาด้วยความทะนงหลงตัว
ก็ไปปรามาสคนโน้นคนนี้ ไปปรามาสบุคคลศักดิ์สิทธิ์
บางทีก็ไปบอกว่ารู้สึกกับพระพุทธเจ้าเหมือนเพื่อน
เหมือนกับเขาเคยเป็นเพื่อนกันมา
แล้วยังเป็นเพื่อนกันอยู่อะไรทำนองนั้น
สุดท้ายก็ชีวิตพังพินาศ จิตใจแตกซ่านกระจัดกระจายไป
อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจก็แล้วกัน
• คนเราจะมีสมาธิได้
ต้องมีสติและปัญญาประกอบด้วย
แล้วก็สร้างกันได้ ทำกันได้ ในทุกระดับที่กำลังเป็นอยู่จริงๆ
เราอยู่ตรงไหนก็เริ่มจากตรงนั้นแหละ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น