วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรียนรู้การปรุงแต่งจิตผ่านเพลง

ดังตฤณ:  สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มสนใจการเจริญสติใหม่  จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเค้าเริ่มดูกันอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงความปรุงแต่งทางใจ ส่วนใหญ่จะนึกถึงอะไรที่ยากและน่าเบื่อ วันนี้เราจะมองกันแบบนักเจริญสติในเมืองที่คลุกคลีอยู่กับภาพเสียงที่มีสีสันเร้าใจอยู่ตลอดเวลา แล้วจะพบว่าการเจริญสติให้เห็นการปรุงแต่งของจิต ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

รับฟังทางยูทูป
: http://bit.ly/1w8JIV5


วันนี้เราจะมองกันแบบนักเจริญสติในเมือง
ที่คลุกคลีอยู่กับภาพเสียงที่มีสีสันเร้าใจอยู่ตลอดเวลา
แล้วจะพบว่าการเจริญสติให้เห็นการปรุงแต่งของจิต
ไม่ใช่เรื่องไกลตัว !

หลายคนบ่นว่าติดเพลง
คล้อยตามเพลงหรืออินไปกับเพลงมาก ๆ
ก็นั่นแหล่ะครับที่เรียกว่า
ใจเราถูกปรุงแต่งไปตามเพลงแล้ว

ถ้าหากเรารู้วิธี
ที่จะเห็นความปรุงแต่งทางใจขณะอินไปกับเพลง
ก็เรียกว่ายังมีความสุขแบบโลก ๆ
แต่ในขณะเดียวกัน
ก็เริ่มก้าวเข้าสู่พรมแดนของการเจริญสติบ้างแล้ว
สามารถถอดถอนอาการจมลงไปตามอารมณ์เพลงมากเกินไปได้บ้าง

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ลองมาใช้เสียงเพลงบรรเลงที่ไม่มีเนื้อร้อง
ซึ่งผมเปิดให้ฟังมาหลายคืน
เพื่อเป็นการสาธิตให้ว่าความปรุงแต่งตามทำนองเพลง
โดยปราศจากเนื้อร้องนั้นเป็นอย่างไร

เพลงที่คุณได้ยินเป็นทำนองเพลงที่ฟังใสซื่อน่ารัก
ชวนให้อยากยิ้มมุมปากหน่อย ๆ
อันนี้เพราะเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น
ที่ประกอบกันเป็นทำนองสดใส
สร้างอารมณ์สดใสขึ้นมา
ตัวอารมณ์สดใสนั่นแหล่ะ
ที่ทำให้เราบอกว่าเสียงแบบนี้น่ารัก
ฟังแล้วนึกอยากยิ้ม

ที่นี้ผมจะไม่ให้ฟังแต่ทำนองแต่บอกชื่อเพลงด้วย
เพลงนี้ชื่อ ความอบอุ่นกลางสายฝน
ถ้าคุณนึกถึงชื่อนี้แล้วฟังเพลงใหม่ ลองดูนะครับว่า
จะมีอาการปรุงแต่งทางใจแบบใดเกิดขึ้น

...เพลงบรรเลง...

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

หลายคนอาจจินตนาการตาม
เช่น เสียงกีตาร์ เหมือนเสียงสายฝนสาดโปรย
และสำหรับบางคน เสียงเพลงอาจเตือนให้จำได้
ถึงช่วงขณะที่อบอุ่นในท่ามกลางความเย็นฉ่ำวันฝนตก
แต่ถ้าเคยเกิดความอบอุ่นกลางสายฝนมาก่อน
จะกับแฟน กับพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนพ้องที่คุ้นเคย
หรือกระทั่งเคยดูหนังน่าประทับใจที่ฝังอยู่ในความทรงจำก็ตาม
ใจคุณจะเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปล็อคติด
อยู่กับจินตภาพที่สวยงามตามอารมณ์เพลงทันที

คนฟังเพลงนี้นะครับ
ถ้าใจไม่โฟกัสไปกับเสียงเพลงจริงจัง
จิตจะค่อย ๆ ออกอาการเหม่อลอยหรือฟุ้งซ่าน
เสียงจะไม่เข้ามากระทบหู
หรือเสียงกระทบหูแต่จินตภาพไม่เกิด
อันนี้ก็เรียกว่า ใจปรุงแต่งไปตามคลื่นความฟุ้งซ่าน
ที่แทรกขึ้นมาระหว่างการฟังเพลง

แต่ถ้าระหว่างการฟังเพลงหรือหลังฟังเพลงจบแล้ว
เรายังมีความรู้สึกอ้อยอิ่ง ติดอยู่ในใจ
ก็แปลว่าใจของเราถูกเพลงปรุงแต่งเต็มขั้น
อย่างที่เรียกกันทั่วไปว่าอินกันนั่นแหล่ะ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

เราสามารถเห็นความแตกต่างที่ตรงนี้
ดนตรีที่ปราศจากเสียงร้อง ปราศจากภาษามาปรุงแต่งใจ
ให้เล็งไปแคบๆตามเนื้อร้องนั้น                   
บางคนนึกถึงหนุ่มหล่อ ถึงสาวสวยที่เพิ่งตกหลุมรัก
บางคนนึกถึงนิยายที่พึ่งอ่าน
บางคนนึกถึงภาพยนตร์ที่เพิ่งดู
บางคนนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวไกลๆที่อยากไปให้ถึง
ซึ่งก็สุดแล้วแต่ว่าอารมณ์เพลง
จะมาตรงกับอารมณ์ทางใจของใครท่าไหน

แต่ถ้ามีการกำกับคำเข้ามาว่าอารมณ์เพลงนี้สื่ออะไร
ก็จะมีการบังคับให้เกิดจินตภาพขึ้นมาตามคำ
เช่น ขณะที่คนแต่งแต่งเพลงนี้
ทำนองลอยมาตามลมฝนหอมเย็นที่โชยมาทางประตูหน้าต่าง
ความฉ่ำชื่นของอากาศ
ทำให้นึกถึงความฉ่ำชื่นที่เป็นท่วงทำนองประมาณเดียวกัน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ไม่ว่าใจของคุณจะล็อคติดกับอารมณ์แบบไหน
หรือกระทั่งไม่รู้สึกอะไรเลย
เหล่านั้นแหล่ะเรียกว่า การปรุงแต่งทางจิต

ความรู้สึกยินดีหรือไม่ยินดีเกิดก่อน
แล้วจากนั้นค่อยกระตุ้นให้เกิดความทรงจำแบบไหน  
จากนั้นถ้าความทรงจำมีพลังแรงพอ
ใจของคุณจะค่อยๆ ด่ำดื่มหรือปักแน่วลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้กระทั่งเพลงจบใจก็ไม่ถอนจากความรู้สึกอ้อยอิ่งนั้น

แต่คนส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกรู้สา
กับเพลงบรรเลงที่ปรุงแต่งจินตนาการอย่างเป็นอิสระประเภทนี้นัก
เพราะมักชอบแบบที่มีเนื้อร้องมาไกด์เลย
ไกด์ให้เห็น ๆ เลยว่าจะให้เราเห็นภาพทางใจอย่างไร
จะให้เศร้าขนาดไหน หรือจะปลุกเร้า
ให้เกิดความด่าคนหรืออยากให้อภัยคนยังไง

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ทั้งหมดนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า
ภาษาเป็นสิ่งที่ครอบงำใจมนุษย์
เมื่อเราเห็นว่า
แท้จริงแล้ว มีแต่จะครอบได้หรือครอบไม่ได้

ถ้าครอบได้
ก็ทำให้เราติดอยู่ในอารมณ์นั้นนาน ถอนยาก

แต่ถ้าครอบไม่ได้
ก็ทำให้เราติดอยู่ในอารมณ์นั้นเดี๋ยวเดียวหรือไม่ติดเลย

การมองเห็นเข้ามาในสภาพทางใจ
ที่เกิดขึ้นจริงขณะฟังเพลงดังกล่าวนี้นะครับ
จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ค่อยๆ มองอย่างเข้าใจว่า
ที่เราถอนใจจากใครบางคนไม่ได้
ก็เพราะในหัวของเรา
มีคำคำหนึ่งหรือหลายๆคำคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง
ให้นึกถึงเหตุการณ์ในความทรงจำดีหรือว่าร้าย

เมื่อนึกออกและสิ่งที่นึกนั้นมีพลังแรงพอ
จิตก็จะถูกดูดติดไปไหนไม่รอด
ต่อเมื่อเราเกิดสติเห็นความอ้อยอิ่ง
หรืออาการถอดใจไม่หลุด
ใจก็เหมือนว่าง วาง ไม่วอกแวก ไม่วุ่นวาย
ไม่เห็นว่าภาวะความไม่เที่ยงที่ล่วงลับไปแล้วจะน่าติดใจตรงไหน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

นี่แหละครับ การเจริญสติเห็นความปรุงแต่ง
คุณสามารถฟังเพลงแล้วพบเห็นการปรุงแต่งทางใจได้เสมอ
เป็นยึดมากหรือยึดน้อย
สำคัญคือไม่ว่าจะยึดระดับไหน
ในที่สุดสิ่งที่ยึด ตลอดจนอาการทางใจที่ยึด
จะต้องสาบสูญคลี่คลายกลายเป็นอื่นเสมอ
ลองสังเกตดูนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น