วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

สติปัฏฐาน๔ นับหนึ่งที่ภาวะไหน?

คำถาม: ขอสอบถามจุดเริ่มการนับเจ็ดเดือนบรรลุธรรม?


ดังตฤณ : ผมเข้าใจว่าคงถามว่า ถ้าเอาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า ผู้ใดก็ตามไม่ว่าจะเพศไหนวัยใด ถ้าหากได้ปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐานทั้งสี่ประการนี้แล้วอย่างเต็มที่ คือต้องเอาแบบที่พระพุทธเจ้าประทานแนวทางไว้นะ ถึงจะได้รับการประกันจากท่าน บอกว่า ถ้าหากใครผู้ใดก็ตามที่เจริญสติปัฏฐานทั้งสี่ประการนี้อย่างเต็มที่ อย่างช้าที่สุดถ้าบุญน้อย บุญเก่ามีอยู่น้อย เจ็ดปีนะครับ จะต้องได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ถึงที่สุดของความทุกข์ แต่ถ้าหากว่าบารมีค่อนข้างจะน้อย อาจจะได้เป็นพระอนาคามีภายในเจ็ดปีก็ได้ หรือถ้าหากว่ามีอินทรีย์แก่กล้ามาแล้ว มีบุญเก่าเยอะ อย่างกลางก็ประมาณเจ็ดเดือน แล้วถ้ามีอินทรีย์แก่กล้าสูงสุดเลย เป็นพวกที่ว่าปฏิบัติธรรมเจริญสติปัฏฐานทั้งสี่ประการแล้ว ดูกาย เวทนา จิต ธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตนแล้ว เจ็ดวันเท่านั้นก็สามารถที่จะบรรลุเป็นอรหันต์ได้ อันนี้ไม่ใช่เรื่องบรรลุเป็นโสดา สกทาคา ไม่ใช่นะ บรรลุถึงขั้นที่ว่าสิ้นกิเลสพ้นทุกข์ถึงที่สุดทุกข์เลยทีเดียว นี่คือคำรับประกันจากพระพุทธเจ้าที่รู้ดีที่สุดในอนันตจักรวาลนี้

ที่นี้คำถามก็คงจะหมายถึงว่า ถ้าจะเริ่มนับตรงที่จะได้รับคำประกันจากพระพุทธเจ้าว่า อย่างช้าที่สุดอย่างไรก็ไม่เกินเจ็ดปี เราจะนับกันตรงไหน คิดว่าคงเข้าใจคำถามถูกต้องนะครับ

ก็คือเราจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของหลักการอย่างชัดเจนนะครับว่า ที่ท่านให้เจริญสติปัฏฐานนั้น เจริญกันอย่างไร พูดง่ายๆ ต้องมีสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ แล้วก็มีการเพียรพยายาม มีการลงมืออย่างจริงจังตามแนวทางของสติปัฏฐาน ๔ ยกตัวอย่างเช่น ขึ้นต้นมาที่พระพุทธเจ้าให้สังเกตว่าจะตั้งสตินับกันตรงไหน นับกันตรงที่ว่า หายใจเข้ารู้ไหม หายใจออกรู้ไหม เมื่อไรที่หายใจยาวรู้ไหม เมื่อไรที่หายใจสั้นรู้ไหม แล้วพอรู้ไปเรื่อยๆ จิตเขาจะปฏิรูปตัวเองออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู ผู้เฝ้ามองอยู่ว่า ลมหายใจเดี๋ยวก็เข้าเดี๋ยวก็ออก เดี๋ยวก็ยาวเดี๋ยวก็สั้น ตัวของจิตที่ปฏิรูปตัวเอง พัฒนาตัวเองขึ้นไปเป็นผู้รู้ผู้ดูลมหายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง มันจะเป็นตัวตั้ง

ถ้าหากว่าจะเอาตัวคำถามว่าตัวตั้งอยู่ตรงไหน ผมขอให้เอาตรงนี้ก็แล้วกัน พอมีสัมมาทิฐิแล้วเข้าใจหลักการแล้ว แล้วก็สามารถที่จะดูลมหายใจได้ ซึ่งเท่าที่ผมเห็นมาประเภทที่ไม่เคยมีทิฐิ หรือไม่เคยปักใจว่าจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้มาก่อน ได้มาลองฝึกดู แค่ครั้งเดียว สามารถที่จะเห็นว่าลมหายใจเดี๋ยวก็เข้าเดี๋ยวก็ออก เดี๋ยวก็ยาวเดี๋ยวก็สั้น และจิตสามารถที่จะปฏิรูปตัวเองจากผู้คิดมาเป็นผู้รู้ว่า กำลังมีลมหายใจเข้าบ้างออกบ้าง มีลมหายใจสั้นบ้างยาวบ้าง แล้วจิตจะถอยออกมาเป็นผู้ดู ดูอยู่ว่าจิตก็ส่วนหนึ่ง ลมหายใจ กองลมทั้งปวงก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง คำว่ากองลมทั้งปวงหมายความว่า เดี๋ยวมันก็ยาวเดี๋ยวมันก็สั้น เดี๋ยวก็เข้าเดี๋ยวก็ออก อย่างนี้เรียกว่ากองลมนะครับ ส่วนจิตเหมือนเขาดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้มีความเป็นตัวลมหายใจหรือว่าไม่ได้มีความรู้สึกเป็นผู้หายใจ ตัวนี้เรียกว่าจิตถอยออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดูลมหายใจ ขอให้นับตรงนั้นแหละเป็นตัวตั้ง คือมีความสามารถที่จะดู และมีความสามารถที่จะดูนั้นเริ่มขึ้นมาได้อย่างไร เริ่มขึ้นมาจากการทำความเข้าใจ มีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธเจ้าว่าท่านบรรลุธรรมจริงและท่านมาสอนธรรมที่ถูกต้อง เราทำตามด้วยใจที่สวามิภักดิ์ ด้วยใจที่ศิโรราบให้ ด้วยใจที่ไม่คิดเป็นอื่น ด้วยใจที่พิจารณาแล้วอย่างมีเหตุมีผลว่า ท่านตรัสมาถูกต้อง ถ้าหากว่าดูลมหายใจ ถ้าหากว่าดูโดยความเป็นอิริยาบถ โดยความเป็นสุขทุกข์ โดยความเป็นภาวะของจิตใจ เห็นว่ามันไม่เที่ยงทั้งหมด ในที่สุดก็ต้องเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ ด้วย พอทำใจไว้ก่อน ปักใจไว้ก่อนตั้งแต่แรก พอลงมือทำจริงก็เห็นตามนั้น พอเห็นตามนั้น เริ่มมีจิตที่มีความสามารถ เริ่มเห็นว่ากายใจไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตนนั่นล่ะครับขอให้นับเป็น Day 1 เป็นวันที่หนึ่ง

รับฟังไฟล์เสียงที่: http://youtu.be/dDjbmeja3s0
--------------------------------------------
กลับไปหน้าคำถามวันที่ออกอากาศ http://bit.ly/17tideV
สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ  http://bit.ly/15FWLjj
สารบัญหมวด                          http://bit.ly/14wgP50

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น