ถาม : การรู้ลมเข้าออก ลมสั้น
ลมยาว ทำอย่างไรจึงจะไม่รู้สึกเหมือนเป็นการบริกรรม?
ดังตฤณ:
วิธีง่ายที่สุด ก็คือ
ให้อยู่กับลมหายใจในระหว่างวัน
ฝึกแบบที่เราจะเอาเบสิคก่อน
การฝึกแบบเอาเบสิค คือ การไม่หลับตา
แล้วก็เหมือนกับรู้ไปธรรมดาๆว่า
: นี่กำลังหายใจเข้า หรือ หายใจออกอยู่
: ท้องมันพองอยู่ หรือว่า ท้องมันยุบอยู่
เอาตามจริง เอาตามเนื้อผ้า
เอาตามที่มันปรากฏอยู่
โดยลักษณะเฉพาะของเรานี่แหละ
ถ้าหากว่าเราสามารถรับรู้ในระหว่างวันได้ว่า
นี่กำลังหายใจเข้านี่กำลังหายใจออกอยู่ได้เรื่อยๆ
จนเกิดความรู้สึกว่า
เรา ‘ชิน’ ที่จะรู้สึกขึ้นมาเองว่า
นี่กำลังหายใจเข้า นี่กำลังหายใจออก
มันก็จะค่อยๆเห็นขึ้นมาในลักษณะปลีกย่อย
เช่นว่า ครั้งนี้หายใจยาว..
เพราะว่าร่างกายมันต้องการลมมากกว่าเมื่อครู่นี้
ครั้งนี้หายใจสั้นลง..
เพราะว่ารู้สึกในอกมันอัดเต็ม
มันเหมือนกับลมมันเข้าไปอัดแน่น
ไม่มีพื้นที่ใหม่ให้กับลมระลอกอื่น
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
มันจะเห็นไปเรื่อยๆ
โดยที่เรายังไม่ต้องตั้งใจให้มันเป็นสมาธิ
หรือว่ามีความสงบอะไรขึ้นมาทันทีทันใดหรอก
แต่พอสะสมเบสิคของการรู้สึกถึงลมหายใจในระหว่างวันไปเรื่อยๆแล้ว
มันจะมีผลใหญ่หลวงเลยตอนที่เรานั่งสมาธิเป็นเรื่องเป็นราว
มาหลับตา มาอยู่ในห้องพระอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา
หรือว่าจะทำในห้องนอนก็แล้วแต่
เราจะไม่รู้สึกเลยว่า
นี่เป็นการบริกรรม นี่เป็นการนั่งสมาธิ
นี่เป็นการทำอะไรที่ผิดแปลกเป็นพิเศษ
เพราะเราชินแล้วกับการเห็นลมหายใจที่เข้าออกตามปกติ
ให้อยู่กับลมหายใจในระหว่างวัน
ฝึกแบบที่เราจะเอาเบสิคก่อน
การฝึกแบบเอาเบสิค คือ การไม่หลับตา
แล้วก็เหมือนกับรู้ไปธรรมดาๆว่า
: นี่กำลังหายใจเข้า หรือ หายใจออกอยู่
: ท้องมันพองอยู่ หรือว่า ท้องมันยุบอยู่
เอาตามจริง เอาตามเนื้อผ้า
เอาตามที่มันปรากฏอยู่
โดยลักษณะเฉพาะของเรานี่แหละ
ถ้าหากว่าเราสามารถรับรู้ในระหว่างวันได้ว่า
นี่กำลังหายใจเข้านี่กำลังหายใจออกอยู่ได้เรื่อยๆ
จนเกิดความรู้สึกว่า
เรา ‘ชิน’ ที่จะรู้สึกขึ้นมาเองว่า
นี่กำลังหายใจเข้า นี่กำลังหายใจออก
มันก็จะค่อยๆเห็นขึ้นมาในลักษณะปลีกย่อย
เช่นว่า ครั้งนี้หายใจยาว..
เพราะว่าร่างกายมันต้องการลมมากกว่าเมื่อครู่นี้
ครั้งนี้หายใจสั้นลง..
เพราะว่ารู้สึกในอกมันอัดเต็ม
มันเหมือนกับลมมันเข้าไปอัดแน่น
ไม่มีพื้นที่ใหม่ให้กับลมระลอกอื่น
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
มันจะเห็นไปเรื่อยๆ
โดยที่เรายังไม่ต้องตั้งใจให้มันเป็นสมาธิ
หรือว่ามีความสงบอะไรขึ้นมาทันทีทันใดหรอก
แต่พอสะสมเบสิคของการรู้สึกถึงลมหายใจในระหว่างวันไปเรื่อยๆแล้ว
มันจะมีผลใหญ่หลวงเลยตอนที่เรานั่งสมาธิเป็นเรื่องเป็นราว
มาหลับตา มาอยู่ในห้องพระอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา
หรือว่าจะทำในห้องนอนก็แล้วแต่
เราจะไม่รู้สึกเลยว่า
นี่เป็นการบริกรรม นี่เป็นการนั่งสมาธิ
นี่เป็นการทำอะไรที่ผิดแปลกเป็นพิเศษ
เพราะเราชินแล้วกับการเห็นลมหายใจที่เข้าออกตามปกติ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
เวลาที่พระพุทธเจ้าสอนอานาปานสติ
ท่านย้ำคำนี้มากๆเลย
ตอนที่ท่านสอนสติปัฏฐาน ๔
ท่านจะย้ำคำนี้ว่า
ดูตามที่มันปรากฏอยู่เป็นปกตินั่นแหละ
ที่มันกำลังปรากฏให้ดูตามปกตินั่นแหละ
ไม่ต้องไปพยายามทำอะไรให้มันพิเศษขึ้นมา
อย่างคนไทยบางทีไปสอนเรื่องว่า
ให้บริกรรมกำกับ หรือว่า
นับ ๑...๒...๓ หรือว่า
ดูว่ากระทบกับจะงอยจมูกที่ไหน
โพรงจมูกตอนไหน ตรงไหนอะไรต่างๆ
มันเลยเกิดการสังเกตมากเกินไป
ตั้งใจสังเกตมากเกินไป
กลายเป็นการเพ่งให้ใจไปรับรู้อยู่ในจุดแคบๆ
ที่มีการสืบคำสอนกันมา
ซึ่งบางทีบางคนบังเอิญตั้งจิตไว้ถูก
จิตอยู่ที่อิริยาบถก่อนมันก็อาจจะประสบความสำเร็จ
แต่ส่วนใหญ่มันจะพุ่งเป้าไปแคบๆเล็กๆ
แต่ทีนี้ถ้าเราใช้การสังเกตลมหายใจในระหว่างวัน
จิตมันจะไม่แคบ เพราะมันจะรู้สึกถึงลมหายใจตามปกติไป
เอาล่ะครับเหลือแค่ ๑๐ วินาที ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
ท่านย้ำคำนี้มากๆเลย
ตอนที่ท่านสอนสติปัฏฐาน ๔
ท่านจะย้ำคำนี้ว่า
ดูตามที่มันปรากฏอยู่เป็นปกตินั่นแหละ
ที่มันกำลังปรากฏให้ดูตามปกตินั่นแหละ
ไม่ต้องไปพยายามทำอะไรให้มันพิเศษขึ้นมา
อย่างคนไทยบางทีไปสอนเรื่องว่า
ให้บริกรรมกำกับ หรือว่า
นับ ๑...๒...๓ หรือว่า
ดูว่ากระทบกับจะงอยจมูกที่ไหน
โพรงจมูกตอนไหน ตรงไหนอะไรต่างๆ
มันเลยเกิดการสังเกตมากเกินไป
ตั้งใจสังเกตมากเกินไป
กลายเป็นการเพ่งให้ใจไปรับรู้อยู่ในจุดแคบๆ
ที่มีการสืบคำสอนกันมา
ซึ่งบางทีบางคนบังเอิญตั้งจิตไว้ถูก
จิตอยู่ที่อิริยาบถก่อนมันก็อาจจะประสบความสำเร็จ
แต่ส่วนใหญ่มันจะพุ่งเป้าไปแคบๆเล็กๆ
แต่ทีนี้ถ้าเราใช้การสังเกตลมหายใจในระหว่างวัน
จิตมันจะไม่แคบ เพราะมันจะรู้สึกถึงลมหายใจตามปกติไป
เอาล่ะครับเหลือแค่ ๑๐ วินาที ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น