วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

๑.๔๙ เกิดปิติขัดขวางการภาวนาไหม?


สวดมนต์ระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วเกิดปีติรุนแรงน้ำตาไหล จะทำให้การภาวนาเนิ่นช้าหรือไม่? จะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไร? 

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/_EbC3E8gM3M

ดังตฤณ : 

ปีติที่แรงก็มีข้อดีทำให้เกิดกำลังมาก เพราะปีตินี่ตัวรักษาตัวหล่อเลี้ยงสภาพของจิตให้มีความไม่วอกแวกไปจากอารมณ์ที่เรากำลังตั้งอยู่ ณ ขณะนั้น ที่เรากำลังโฟกัสที่เรากำลังจดจ่ออยู่

แต่ปีติที่มากเกินไปหรือแรงเกินไปทำให้เกินความไขว้เขว ทำให้เกิดความกระสับกระส่ายขึ้นมาได้ อย่างพอระลึกถึงพุทธคุณแทนที่จะเกิดปีติแบบเย็นซ่านซึ่งเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสมาธิ เป็นปีติรุนแรงทำให้ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยกตัวโยนแล้วเกิดความกังวลขึ้นมา เกิดความอับอายขายหน้าเวลาที่อยู่ต่อหน้าธารกำนัล เขาเห็นเราร้องห่มร้องไห้ ก็อาจจะเกิดความรู้สึกกังวลเสียสมาธิไปได้

หรือถ้าเราเคยได้ยินมาว่าการมีปีติมากเกินไป การเพลิดเพลินไปกับสมาธิมากเกินไปเป็นเหตุให้การเจริญสติเนิ่นช้า สมาธิไม่ตั้งมั่น อันนี้เป็นคำกล่าวเพื่อไม่ให้เราหลงทางไปตามแรงดันของปีติมากเกินไป แต่ถ้าเราเป็นห่วงเกินไปว่าจะไม่ได้ความก้าวหน้า ตัวนี้มันก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะถ่วงความเจริญของสติได้เหมือนกัน

คือเพลินเกินไปกับห่วงเกินไปมันมีผลเป็นตัวถ่วงเท่าๆ กัน ไม่ได้มีความแตกต่างกันเพราะว่ามันทำให้จิตใจของเราไม่เป็นปกติ ทำให้จิตใจของเรามีความรู้สึกฟุ้งซ่านไปในเรื่องที่มันไม่ได้เป็นปัญหา เราไปทำให้มันกลายเป็นปัญหาขึ้นมา

ตัวปีติถ้าหากว่าพิจารณาตามสภาพธรรม พระพุทธเจ้าให้พิจารณาว่าเป็นสังขารธรรมชนิดหนึ่ง คือแตกต่างจากสุขเวทนา สุขเวทนาเป็นความรู้สึกอันเย็น อันเบา อันสบาย แต่ปีติมีความเข้มความอ่อน มีแรงดัน มีความรู้สึกทางกายที่เหมือนผิดจากธรรมดา เย็นมากกว่าปกติหรือถึงขนาดน้ำหูน้ำตาไหล เขาเรียกว่าเป็นการปรุงแต่งทางจิตที่เกินไปกว่าความสุขความสบาย เราสามารถเห็นเป็นสังขารขันธ์ได้

เมื่อเห็นเป็นขันธ์ชนิดหนึ่ง หมายถึงว่าเป็นการปรุงแต่งสภาวะทางใจชนิดหนึ่ง เราก็จะเข้าใจว่าจะมองมันอย่างไร มองมันโดยความเป็นของไม่เที่ยงครับ ปีตินี่ไม่ว่าจะฉีดขึ้นมาแรงแค่ไหนก็ตาม มันจะมีลักษณะที่ชัดเจนที่แสดงออกมาจากภายใน เป็นอาการที่ผุดพลุ่งขึ้นมาของความซาบซ่าน หรือว่าเป็นน้ำตาที่ออกมาจากเบ้าตา หรือว่าเป็นอาการขนลุกขนพองทางกาย ไม่ว่าอาการนั้นจะแสดงชัดเด่นทางกายหรือทางใจก็ขอให้พิจารณาท่องไว้เลยว่าเป็นสังขารขันธ์

เมื่อเรามองว่าเป็นสังขารขันธ์แล้วเฝ้าติดตามอยู่ เฝ้าดูอยู่ว่าระดับความรุนแรงของมันมีความเที่ยงหรือไม่เที่ยง ต่อให้มันฉีดแรงสัก ๕ นาที ก็ดูไป ๕ นาทีโดยที่ไม่กังวล ไม่ไปมัวแต่เฝ้าคิดคำนึงว่ามันจะเป็นตัวถ่วงความเจริญของเราหรือเปล่า? เมื่อเราเล็งอยู่เมื่อเราเฝ้าดูอยู่ว่ามันเที่ยงหรือไม่เที่ยง ในที่สุดเราก็จะเห็นว่าระดับอาการฉีดของปีติมันลดระดับลง

เหมือนน้ำพุที่พุ่งขึ้นไป ๑๐ เมตรได้ ในที่สุดมันก็ลดระดับลงเมื่อแรงดันมันตกลง ระดับของน้ำพุก็อาจจะเหลือ ๕ เมตรหรืออาจจะเหลือ ๒ เมตร อาจจะเหลือ ๑ เมตร ไม่ว่ามันจะเพิ่มหรือลดแค่ไหน เรามีสติตามรู้ตามดูเท่าที่มันกำลังปรากฏอยู่ตามจริงนั่นแหละ

นี่เป็นประโยชน์แล้ว ประโยชน์ตรงที่เราสามารถเห็นสังขารขันธ์ซึ่งเป็นขันธ์ชนิดหนึ่งแสดงความไม่เที่ยงได้ แล้วทำให้จิตของเราถอยออกมาจากความยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นตัวเป็นตน หรือว่ามันน่าห่วงน่ากังวลได้ อะไรก็แล้วแต่ที่เราเห็นว่ามันไม่เที่ยง แล้วเราลดความกังวลเกี่ยวกับมัน ลดความยึดมั่นถือมั่นเกี่ยวกับมันลงได้ เป็นประโยชน์ทั้งสิ้นในการเจริญสติ

อย่าเห็นมันเป็นอุปสรรคนะครับ มันจะไม่เนิ่นช้าออกไปนะตรงข้ามมันจะทำให้เราก้าวเข้าสู่ ก้าวไปเข้าที่เข้าทางได้เร็วขึ้นด้วยซ้ำ เพราะปีติเป็นของชัด เป็นของปรากฏที่ไม่ต้องพยายามเค้น ไม่ต้องพยายามเพ่ง มันปรากฏอยู่ชัดๆ ให้รู้สึกทางกายทางใจเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น