ถาม : เมื่อเวลาอยู่กับคนหมู่มากจิตจะส่งออกไปหมดเลยครับ
จะรู้ตัวบ้างแต่นานมากๆ กว่าจะรู้สึกตัวได้ทีหนึ่ง
หรือบางทีก็ออกจากคนกลุ่มนั้นมาแล้ว ถึงมีสติรู้สึกตัวขึ้นมาได้
ปกติแล้วเมื่อได้นั่งเฉยๆ สติจะเกิดถี่มากครับ แต่เมื่ออยู่กับคนหมู่มาก
ถึงจะนั่งเฉยๆ ก็เหมือนเหม่อ หรือว่าหลงไปอยู่ในโลกของความคิด
เป็นเพราะว่ากำลังของสมถะไม่มากพอหรือเพราะอะไรครับ ขอคำแนะนำด้วย?
ดังตฤณ:
การที่เราอยู่ในท่ามกลางคนหมู่มากนี่นะ
ขอให้คิดง่ายๆ ก็แล้วกันว่า เราลงไปอยู่ในคลื่นทะเลที่โยกไปโยนมา
เราไม่สามารถเลี้ยงตัวอยู่ได้นิ่งๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเราเป็นมือใหม่ในการฝึกว่ายน้ำ
แต่ถ้าหากว่าเรามีความนิ่ง หรือว่าตัวเราสูงพอที่จะหยัดยืนอยู่บนพื้นทรายนะครับ
เราได้ที่มั่น เราได้ที่ตั้งแล้ว ถึงแม้ว่าคลื่นจะแรงสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
เราสามารถที่จะทรงตัวอยู่ได้
อันนี้ฉันใดก็ฉันนั้นครับ จิตนะครับ ถ้าหากว่าเราลองมองเป็นน้ำซักกลุ่มหนึ่ง
เป็นน้ำที่อยู่ในตัวเรา แล้วไปปนกับคลื่นน้ำภายนอกที่โยกไปโยนมา
เป็นกลุ่มน้ำที่แรงกว่าเรา แล้วก็มีความสั่นสะเทือนถึงเราได้ เราไม่มีเกราะ
เราไม่มีความแข็งแรงพอนี่ก็แน่นอนครับ คลื่นน้ำในเราก็ต้องโยกโยนตามไป
มันเป็นไปได้ยากที่จะไม่ให้โยกโยนไปนะครับ อันนั้นแหละที่คุณพูดถึงคำว่าสมถะ
ถ้าหากว่ามีสมถะแข็งแรง
หมายความว่า คลื่นจิตของเราจะมีความเสถียร มีความนิ่ง มีความสามารถที่จะดำรงคงอยู่
ทรงตัวอยู่ในภาวะที่ไม่คลอนแคลน ก็จะสามารถอยู่ท่ามกลางคลื่นรบกวนภายนอก
ไม่ว่าจะอยู่ในท่ามกลางคนหมู่มากสักเท่าไร
เราจะสามารถเห็นได้ว่าจิตของเราไม่แปรปรวนตามคลื่นรบกวนภายนอก
แต่ถ้าหากว่าเราจำเป็นต้องไปอยู่ในท่ามกลางหมู่คนที่เค้ามีความฟุ้งซ่านมากๆ
หรือมีคลื่นโทสะแรงมากๆ หรืออาจจะคุยเรื่องเพ้อเจ้อ คุยเรื่องละเม็งละคร
คุยเรื่องวิจารณ์คนโน้น คนนี้ หูเรานี่ต้องได้ยินเขามา
ใจเรายังไม่แข็งพอก็ยอมรับไปก่อน
ยอมรับตามจริงว่าได้ยินแล้วเกิดความรู้สึกปั่นป่วน เกิดความรู้สึกว่าฟุ้งซ่านตาม
ถึงแม้ว่าใจเราจะไม่ยินดีในคำนินทาว่าร้าย
ไม่ได้ยินดีในการพูดไร้สาระเพ้อเจ้อของคนอื่นๆ นะครับ แต่ใจเราก็ต้องปั่นป่วนไป
ถูกกระทบให้มีความฟุ้งซ่านตามไปด้วย
อันนี้ต้องยอมรับตามจริงเสียก่อน
เพื่ออะไร เพื่อที่จะเห็นตามจริงว่า คลื่นความปั่นป่วนของเรา ณ
ขณะที่มันถูกรบกวนได้มีความรุนแรงแค่ไหน
ถ้าหากว่าเราสามารถตั้งต้นเห็นได้ว่าความฟุ้งซ่านของเรามีอยู่เท่าไร
ตรงนั้นเราจะนับว่าเราไม่หลงเข้าไป ไม่จมเข้าไปในอาการฟุ้งซ่านแล้ว
เปรียบเหมือนกับว่า ถ้าเราอยู่ในทะเล ทะเลตื้นๆ แต่ว่าเท้าเรายังยืนไม่ถึงพื้น
เราสามารถที่จะรับรู้ได้หรือเปล่าว่าตัวเราโยกโยนไปแค่ไหน ถ้าหากว่าเราไม่รู้
เราเอาแต่ตะกายหรือพยายามที่จะหลบหนีคลื่น ก็ยิ่งไปกันใหญ่
มันก็ยิ่งมีความกระสับกระส่าย ทั้งทางการและทางใจนะครับ พูดง่ายๆ
ว่ากระสับกระส่ายอยู่แล้ว
บวกความกระสับกระส่ายอันเกิดจากความอยากจะหายกระสับกระส่ายเข้าไปอีก
ถ้าหากว่าครั้งต่อไปทดลองดู เมื่อเราอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วรู้สึกมึนๆ ป่วนๆ นะครับ
เพราะว่ามันแตกต่างจากตอนที่เราอยู่คนเดียวนิ่งๆ ให้ยอมรับตามจริงว่า
ตอนนี้เราปั่นป่วนอยู่ เมื่อยอมรับตามจริงว่าปั่นป่วนอยู่ ลองหายใจทีหนึ่งนะครับ
หายใจทีหนึ่งครั้งนั้นด้วยความยอมรับว่ามีความปั่นป่วนอยู่ในหัว มีความรวนเร
มีความกระอักกระอ่วนอึดอัดอยู่ในอก แล้วต่อมาลมหายใจนั้นหายไปแล้ว หายใจเฮือกต่อมา
หายใจตามสบายตามที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่ไปเร่งลมหายใจ เรียกลมหายใจเข้ามา
เอาตามจังหวะของร่างกาย
ตามธรรมชาติธรรมดาของร่างกายว่าต้องการลมหายใจครั้งต่อไปเมื่อไร
เราก็ค่อยหายใจเข้ามาเมื่อนั้น หายใจครั้งที่ ๒
นี่สังเกตดูว่าคลื่นความปั่นป่วนคลื่นความฟุ้งซ่านนี่ยังเท่าเดิมกับลมหายใจเมื่อครู่นี้หรือเปล่า
ถ้าหากว่าเราใช้ลมหายใจเป็นตัวแบ่ง
เป็นจุดสังเกตนะครับว่า ขณะเมื่อครู่ที่ผ่านมากับขณะนี้
มีความแตกต่างกันอย่างไรในความฟุ้งซ่าน คุณจะเห็นว่า ครั้งแรกมีความมึนมาก
มีความรู้สึกเบลอๆ มีความรู้สึกเหมือนกับปั่นป่วน ค่อนข้างจะรุนแรง แต่หายใจครั้งที่
๒ นี่ ตอนนี้มันมีสติขึ้นมาแล้ว
สตินี่แหละครับจะทำให้คลื่นความปั่นป่วนลดลงตามธรรมชาติ และสตินี่แหละ
มันก็จะเห็นว่า จิตของเราเอง มีความปั่นป่วนน้อยลง มีความมัวหมองน้อยลง
มีความตามคลื่นของคนอื่นที่เค้ากำลังซัดแรงน้อยลง
ตัวเห็นน้อยลงนี่แหละ ที่เขาเรียกว่า
เห็นอนิจจัง เห็นความไม่เที่ยงแบบอ่อนๆ ถ้าหากว่าเรายังไม่หยุดนะครับ
ลมหายใจเข้าครั้งต่อไป เอาตามธรรมชาตินะ อย่างไปเร่งนะ อันนี้สำคัญมากเลยนะครับ
เอาลมหายใจที่เกิดขึ้นนะ เข้าแล้วก็ออกตามธรรมดา
ตามธรรมชาติปกตินี่แหละเป็นตัวแบ่ง เป็นจุดสังเกตว่าคลื่นความฟุ้งซ่าน
คลื่นความปั่นป่วนเรรวนในตัวเรานี่มีเท่าเดิมหรือเปล่า
มันเข้มขึ้นหรือว่าอ่อนแรงลงนะครับ
ถ้าหากว่าเราเห็นความไม่เที่ยงไปเรื่อยๆ
ถึงจุดหนึ่งนะ คุณจะรู้สึกว่าตัวเราหายไป มีแต่คลื่นความปั่นป่วน
มีแต่คลื่นความฟุ้งซ่านอันเกิดจากคลื่นกระแทกภายนอกมารบกวน
จากนั้นนี่คุณจะรู้สึกถึงสติที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จิตมีความตั้งมั่น
มั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ ทรงตัวได้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดนั้น คุณจะมีความรู้สึกว่า
คลื่นความปั่นป่วนภายในของเราหายไป เหมือนกับว่ามีเกราะมีกำบัง
มีสุญญากาศระหว่างเรากับโลกภายนอก ถึงแม้ว่าเรายังสามารถรับรู้ได้ว่าโลกภายนอกเต็มไปด้วยความปั่นป่วน
ไม่ต่างไปจากเดิมแม้แต่น้อย แต่ว่าใจของเราเริ่มมีสุญญากาศจากมันแล้วนะครับ
ลองไปทำดู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น