วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

คนขี้เหงา กับการเจริญสติ

คำถาม : ทำอย่างไรจะรู้ตัวว่าเหงาและความเหงาช่วยฝึกสติได้ไหม คือหมายถึงนำความเหงามาใช้เป็นอุปกรณ์ในการเจริญสตินั่นเอง?


ดังตฤณ: ที่จะรู้ตัวว่าเหงาเป็นคนขี้เหงาหรือเปล่านี่นะครับ ถ้าสังเกตจากทางกายแบบง่ายๆ เลย จะตัวงอบ่อยๆ ลองสังเกตดูคนขี้เหงาจะไม่ค่อยนั่งตัวตรง จะไม่ค่อยนั่งอย่างมีสติเท่าไร จะนั่งด้วยแรงกดของความเหงา แล้วความเหงานี่มีน้ำหนักนะ ทำให้เราซึมๆ เหมือนกับอยากก้มหน้าก้มตามากกว่าที่จะเงยหน้า อยากที่จะงอตัวมากกว่าที่จะนั่งตัวตรงนะครับ 

เมื่อกี้พูดถึงรูปธรรมที่เป็นภายนอก คราวนี้มาพูดถึงนามธรรมที่เป็นภายใน ความรู้สึกของคนขี้เหงานี่นะครับจะมีอาการห่อเหี่ยวบ่อย พูดง่ายๆ ว่า จิตใจโน้มเอียงไปทางหดหู่ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรบีบให้ต้องหดหู่นะครับ อย่างสมมติว่า ถ้าเรามีบุคคลอันเป็นที่รักเสียชีวิตไป อันนั้นสมควรที่จะหดหู่นะ สำหรับปุถุชนธรรมดาที่ยังมีกิเลสอยู่ มันมีเหตุบีบให้หดหู่ แต่คนขี้เหงานี่ไม่ต้องมีเหตุภายนอกมาบีบ ก็สามารถที่จะบีบตัวเองให้เข้าสู่อาการหดหู่ได้ ก็ลองสังเกตแล้วกัน ใจที่หดหู่นี่จะเซื่องซึม ไม่อยากทำอะไร จะรู้สึกเปลี่ยว จะรู้สึกเดียวดาย รู้สึกเหมือนกับว่าทั้งจักรวาลนี้มีเราอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมายแค่ไหน หรือกระทั่งว่าเราแกล้งหัวเราะ แกล้งยิ้ม แกล้งทำหน้าตาดีๆ ยังไงก็แล้วแต่ แต่ข้างในใจยังไม่หายห่อเหี่ยว ยังไม่หายหดหู่นะครับ 

วิธีที่จะฝึกเจริญสติเห็นความเหงา หรือว่าต่อสู้กับความเหงา มันไม่ได้มีตัวที่เป็นเคล็ดวิธีกำจัดความเหงาโดยเฉพาะ แต่เป็นเคล็ดวิธีแบบครอบจักรวาลที่จะป้องกันไม่ให้เกิดกิเลส ไม่ให้เกิดช่องว่างของช่องเว้นวรรคของสติ ไม่ให้เกิดเป็นช่องโหว่ที่จะทำให้ข้าศึกโจมตีเราได้ นั่นก็คือ เราจะต้องมีสติอยู่กับอารมณ์ที่ไม่เป็นโทษ อารมณ์ที่เป็นคุณ ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำอย่างที่สุดเลยก็คือ ให้ใช้ “ลมหายใจ” แต่ไม่ใช่ไปเพ่งเอาลมหายใจนะ แค่ระลึกเอา ระลึกว่าในขณะนี้เรากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่ สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่คุ้นกับการอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องตั้งของสติ ก็ขอให้คิดถามตัวเองง่ายๆ ว่า ขณะนี้เราหายใจเข้าหรือหายใจออก ถามนี่ไม่ใช่จะเอาสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะบีบให้ตัวเองหยุดฟุ้งซ่าน แล้วก็ไม่ใช่จะตั้งใจว่าจะเอาสมาธิ ฌาน ญาณ อะไร แต่ถามเพื่อเอาความรับรู้เข้ามาในปัจจุบันนะครับ ดึงตัวเองกลับเข้ามาสู่ความเป็นปัจจุบันว่า ในขณะนี้มีลมหายใจเข้าหรือลมหายใจออก ให้ดู ถามตัวเองครั้งเดียวพอ รู้ครั้งเดียวพอ แต่ถามให้บ่อยๆ รู้ให้บ่อยๆ ไม่ต้องต่อเนื่องนะครับ แต่ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะนึกได้ เมื่อบ่อยที่สุดเท่าที่จะนึกได้แล้วเกิดอะไรขึ้น คุณจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองนี่นะ ใจตัวเองมีลมหายใจเป็นเพื่อน แต่เดิมใจไม่มีอะไรเป็นหลักยึดเหนี่ยวเลย เหมือนกับไม่มีเพื่อน เหมือนกับไม่มีใคร แล้วก็คิดไปต่างๆ นานา คิดไปถึงภาวะความเปล่าเปลี่ยว แล้วก็ภาวะอยู่คนเดียว ภาวะที่ไม่น่าอภิรมย์นัก สำหรับชาวโลกทั่วไป 

แต่ถ้าหากคุณถามตัวเองได้บ่อยๆ ว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก แล้วสังเกตด้วยว่าหายใจเข้าและหายใจออกนั้น บางทีมันก็สั้น บางทีมันก็ยาว เท่านี้ เพียงเท่านี้นั้น ง่ายๆ แต่ได้ผล ใจคุณจะรู้สึกเหมือนมีเพื่อน ใจคุณจะรู้สึกเหมือนมีหลักให้ยึดเกาะ ตอนแรกๆ ทำจะไม่เห็นผลหรอก แต่ทำไปเรื่อยๆ ทำไปบ่อยๆ จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เออ แทนที่เราจะเสียเวลาไปเหงา เราเอาเวลามาสังเกตว่า ขณะนี้หายใจเข้าหรือหายใจออก หายใจสั้นหรือหายใจยาว มันได้ประโยชน์ได้ความสดชื่นจากลมหายใจ ได้ความรู้สึกว่าเรามีอะไรทำ ได้ความรู้สึกว่า อ้อ เนี่ย ข้อสังเกต จุดสังเกตที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อะไรๆ มันไม่เที่ยง ดูได้จากลมหายใจของเราที่เข้าออกตลอด ๒๔ ชั่วโมงนี่เอง มันปรากฎอยู่ตลอดเวลานะครับ เดี๋ยวก็เข้าเดี๋ยวก็ออก เดี๋ยวก็ยาว เดี๋ยวก็สั้น ถ้าหากว่าเรารู้ไปเรื่อยๆ ภาวะทางใจของเราจะปฏิวัติตัวเอง ปฏิรูปตัวเอง เปลี่ยนจากภาวะที่หดหู่เองได้ บีบคั้นตัวเองให้เข้าสู่ความเหงาเองได้ มาเป็นมีความรู้สึกเหมือนเบิกบาน มีความรู้สึกเหมือนสดชื่น มีความรู้สึกเหมือนตื่น มีความรู้สึกเหมือนสามารถรับรู้อะไรๆ ก็ได้โดยไม่ปล่อยให้สูญเปล่านะครับ คิดว่าน่าจะนำไปลองทำดู แล้วได้ผลยังไงก็ลองถามกลับมาอีกทีก็ได้นะครับ 

รับฟังไฟล์เสียงที่ : http://youtu.be/reJtAJitkBQ
﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。﹎。


กลับไปหน้าคำถามวันที่ออกอากาศ http://bit.ly/14mFlVN
สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ  http://bit.ly/15FWLjj
สารบัญหมวด                          http://bit.ly/14wgP50

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น