ถาม : ไม่ได้ใส่บาตรมานานพอสมควรแล้วครับ
การซื้อหาข้าวของที่จัดเป็นชุด เพื่อใส่บาตรพระที่บริเวณตลาด หรือบริเวณวัดนั้น
พอไปรู้มากขึ้นว่า พระที่รอรับบาตรนั้น ถ้าบิณฑบาตมากกว่า ๓ บาตรจะผิดพระวินัย
จึงเกิดความสงสัยว่า แล้วเราควรจะใส่บาตรหรือไม่? หรือถ้าใส่บาตรก็ต้องรับวิบากด้านลบไปด้วย
หรือคิดในแง่ดีว่า ท่านเป็นอริยสงฆ์แล้วไม่มีการผิดพระวินัย?
ดังตฤณ:
โอ้
ข้อสุดท้าย คงเป็นความเข้าใจ
มาจากคำว่า ‘สติวินัย’ ของพระอรหันต์นะครับ
คือพระอรหันต์เนี่ย
ได้รับการยกโทษเป็นพิเศษ เป็นกรณีพิเศษ
เหมือนมีบัตรเครดิต บัตรทองนี่ จะได้ที่อภิสิทธิ์
หรือว่าได้รับการยกเว้นอะไรหลายๆอย่างนะ
ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องเข้าคิวอะไรแบบนี้
คือ ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยสงฆ์แล้ว
จะไม่มีการลงโทษนะ ไม่ใช่
แม้แต่พระอานนท์เป็นพระอรหันต์แล้ว
ก็ยังได้มติจากสงฆ์ลงโทษได้
ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจกันนะว่า
แล้วแต่เรื่อง แล้วแต่กาละ แล้วแต่เทศะนะครับ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
สำหรับกรณีที่พระทำผิดวินัย
โดยที่ท่านอาจจะรู้เท่าถึงกาล
หรือรู้ไม่เท่าถึงกาลก็แล้วแต่
แต่การใส่บาตรของเรา
มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับความผิดของท่านหรอก
ไม่ได้จะต้องไปรับโทษอะไรไปกับท่านด้วย
แต่ถ้าหากว่าการตั้งต้นรับรู้ของเรา
ทราบว่านั่นเป็นการผิดพระวินัย
แล้วเรายังขืนไปสนับสนุนหรือส่งเสริม
อันนี้เนี่ยนะ โทษที่เราจะได้รับคือความรู้สึกไม่ดี
คือความรู้สึกดูดาย
ที่เราไม่ไปบอกกล่าวท่านให้ท่านรู้ตัว
หรือว่า คือบางทีมันไม่รู้ว่า
มันจะไปช่วยบอกช่วยกล่าวยังไงได้หมด
ก็อาจจะคิดว่า
โอเค มันอาจจะไม่ใช่เรื่องของเราเสียทีเดียว
แต่อย่างน้อยที่สุดเราจะไม่ทำการส่งเสริมท่าน
ด้วยการทำให้ท่านเข้าใจผิดด้วยการใส่บาตรของเรา
อะไรแบบนี้ ก็จะทำให้ตัวเองมีความสบายใจแล้ว
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
หรือถ้าเกิดเคยใส่ให้ท่านมา
โดยไม่ทราบว่านั่นคือการผิดพระวินัย
ตรงการทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งสองฝ่าย
ก็ไม่ได้จะทำให้เรามีมลทินขึ้นมาแต่ประการใด เพราะ
๑) การรับรู้ของเราตั้งต้นด้วยการไม่ทราบว่านั่นผิดวินัย และ
๒) เจตนาของเรามีความคิดอยากจะใส่บาตร
ตัวความคิดอยากจะใส่บาตร
ถ้าหากว่าของได้มาด้วยความบริสุทธิ์
เป็นของของเราโดยชอบธรรม
และพระท่านก็ไม่ได้เป็นพวก ๑๘ มงกุฎ
ขบวนการหลอกลวงประชาชนอะไรแบบนี้นะ
บุญก็ได้เต็มที่นั่นแหล่ะ
บุญก็ได้ในฐานะของผู้ที่คิดใส่บาตร
และได้ใส่บาตรสำเร็จนั่นแหล่ะ
ไม่ได้มีโทษอื่นเจือปนอยู่เลย ขอให้สบายใจได้
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
เวลาที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา
เราดูที่การรับรู้ ตั้งตนขึ้นมา มันรับรู้อะไร
แล้วจากนั้น เราก็ค่อยไปพิจารณาว่า
เจตนาของเราบริสุทธิ์แค่ไหน
ของๆเราที่ให้ท่านไปนี่นะ ได้มาชอบธรรมหรือเปล่า
ตัวนี้นี่แหละ ที่พิจารณามากๆแล้ว
มันจะเกิดความสบายใจขึ้นมาได้
ว่าเราได้ให้ทานจริงๆ เราให้ทานเต็มขั้นจริงๆ
มีความบริบูรณ์อยู่ในนั้นจริงๆ
ไม่ได้มีมลทินอื่น
มาจากคำว่า ‘สติวินัย’ ของพระอรหันต์นะครับ
คือพระอรหันต์เนี่ย
ได้รับการยกโทษเป็นพิเศษ เป็นกรณีพิเศษ
เหมือนมีบัตรเครดิต บัตรทองนี่ จะได้ที่อภิสิทธิ์
หรือว่าได้รับการยกเว้นอะไรหลายๆอย่างนะ
ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องเข้าคิวอะไรแบบนี้
คือ ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยสงฆ์แล้ว
จะไม่มีการลงโทษนะ ไม่ใช่
แม้แต่พระอานนท์เป็นพระอรหันต์แล้ว
ก็ยังได้มติจากสงฆ์ลงโทษได้
ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจกันนะว่า
แล้วแต่เรื่อง แล้วแต่กาละ แล้วแต่เทศะนะครับ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
สำหรับกรณีที่พระทำผิดวินัย
โดยที่ท่านอาจจะรู้เท่าถึงกาล
หรือรู้ไม่เท่าถึงกาลก็แล้วแต่
แต่การใส่บาตรของเรา
มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับความผิดของท่านหรอก
ไม่ได้จะต้องไปรับโทษอะไรไปกับท่านด้วย
แต่ถ้าหากว่าการตั้งต้นรับรู้ของเรา
ทราบว่านั่นเป็นการผิดพระวินัย
แล้วเรายังขืนไปสนับสนุนหรือส่งเสริม
อันนี้เนี่ยนะ โทษที่เราจะได้รับคือความรู้สึกไม่ดี
คือความรู้สึกดูดาย
ที่เราไม่ไปบอกกล่าวท่านให้ท่านรู้ตัว
หรือว่า คือบางทีมันไม่รู้ว่า
มันจะไปช่วยบอกช่วยกล่าวยังไงได้หมด
ก็อาจจะคิดว่า
โอเค มันอาจจะไม่ใช่เรื่องของเราเสียทีเดียว
แต่อย่างน้อยที่สุดเราจะไม่ทำการส่งเสริมท่าน
ด้วยการทำให้ท่านเข้าใจผิดด้วยการใส่บาตรของเรา
อะไรแบบนี้ ก็จะทำให้ตัวเองมีความสบายใจแล้ว
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
หรือถ้าเกิดเคยใส่ให้ท่านมา
โดยไม่ทราบว่านั่นคือการผิดพระวินัย
ตรงการทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งสองฝ่าย
ก็ไม่ได้จะทำให้เรามีมลทินขึ้นมาแต่ประการใด เพราะ
๑) การรับรู้ของเราตั้งต้นด้วยการไม่ทราบว่านั่นผิดวินัย และ
๒) เจตนาของเรามีความคิดอยากจะใส่บาตร
ตัวความคิดอยากจะใส่บาตร
ถ้าหากว่าของได้มาด้วยความบริสุทธิ์
เป็นของของเราโดยชอบธรรม
และพระท่านก็ไม่ได้เป็นพวก ๑๘ มงกุฎ
ขบวนการหลอกลวงประชาชนอะไรแบบนี้นะ
บุญก็ได้เต็มที่นั่นแหล่ะ
บุญก็ได้ในฐานะของผู้ที่คิดใส่บาตร
และได้ใส่บาตรสำเร็จนั่นแหล่ะ
ไม่ได้มีโทษอื่นเจือปนอยู่เลย ขอให้สบายใจได้
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
เวลาที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา
เราดูที่การรับรู้ ตั้งตนขึ้นมา มันรับรู้อะไร
แล้วจากนั้น เราก็ค่อยไปพิจารณาว่า
เจตนาของเราบริสุทธิ์แค่ไหน
ของๆเราที่ให้ท่านไปนี่นะ ได้มาชอบธรรมหรือเปล่า
ตัวนี้นี่แหละ ที่พิจารณามากๆแล้ว
มันจะเกิดความสบายใจขึ้นมาได้
ว่าเราได้ให้ทานจริงๆ เราให้ทานเต็มขั้นจริงๆ
มีความบริบูรณ์อยู่ในนั้นจริงๆ
ไม่ได้มีมลทินอื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น