ถาม - เป้าหมายของการสวดมนต์ที่แท้จริงคือเพื่ออะไรคะ? การสวดมนต์เป็นการฝึกสมาธิได้ด้วยหรือเปล่า? บางทีถ้านอนไม่ดึกก็จะสวดเกือบชั่วโมง การที่เราสวดมนต์แล้วขอพร เช่น เรื่องขอให้สอบได้หรือเรื่องของอนาคตนี่ ถือว่าสมควรหรือเปล่า?
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/prjwJJkZdnw
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/prjwJJkZdnw
[ ดังตฤณ ]การสวดมนต์ที่แท้จริง คือการที่ทำให้จิตใจของเราเป็นไปตามคำที่เราสวด
การสวดมนต์มีหลายแบบ สวดแบบอ้อนวอนก็มี สวดแบบขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเหลือก็มี
"แต่การสวดแบบพุทธ คือการสวดแบบจาระไนธรรม"
มีการสรรเสริญว่า
: เทวดาไปเป็นเทวดาบนชั้นฟ้า เสวยทิพยสุขด้วยกรรมอันใด
: พระพุทธเจ้ามีคุณอันวิเศษยิ่งใหญ่อย่างไร
: พระธรรมมีคุณวิเศษยิ่งใหญ่อย่างไร
: พระสงฆ์ปฏิบัติตัวเช่นไรจึงควรแก่การสรรเสริญ
ควรแก่การนบไหว้ ควรแก่การนอบน้อมให้
ควรแก่การยอมเอาศีรษะก้มกราบลงกับพื้น
หรือควรแก่การเป็นเนื้อนาบุญให้เราทำบุญ
มีการ ‘จาระไนธรรม’ แบบนี้เรียกว่าเป็นพุทธ
หรือการแผ่เมตตา การเจริญพุทธมนต์
: บางทีมีเรื่องของการผูกมิตร ขอให้เป็นมิตรกัน
: ขอให้มีความเมตตาต่อกัน
: ขอให้คุณธรรมที่ท่านได้แล้วจงมีความแก่กล้ายิ่งๆขึ้นไป
อะไรแบบนี้เรียกว่าเป็นพุทธ คือ ไม่ได้ไปขอ !
ของพุทธนะ
: ไม่มีการอ้อนวอนขอ
: มีแต่ การสรรเสริญ
: มีแต่ การแผ่เมตตา หรือ
: มีแต่ การจาระไนคุณ
ถ้าหากพบบทสวดไหนที่มีการอ้อนวอนขอ
หรือมีการเรียกร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาปกป้อง
อันนั้นไม่ใช่แนวทางของพุทธ
เป็นแนวทางของพราหมณ์ เป็นแนวทางของศาสนาที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นใหญ่ เข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถดลบันดาลอะไรให้เราได้ แต่ของเรา จะเน้นเรื่อง “ความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมและการพ้นทุกข์” เพราะฉะนั้นอะไรที่เกี่ยวข้องกับการจาระไนกรรมได้ พุทธศาสนาเอาหมด !
เมื่อเราสวดสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ โดยทางตรงจิตจะเกิดความปิติ
จะเกิดความรู้สึกว่าเข้าใจ มันเป็นการรีเฟรชความทรงจำและจิต ให้สอดคล้องกับแนวทางของพุทธศาสนา แต่ในทางที่ลึกลับไปกว่านั้น การที่จิตของเราจูนติดเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนาก็จะมีพลังพุทธคุณ พลังธรรมคุณ และพลังสังฆคุณมาปกป้องเราด้วย !
คำว่าปกป้องในที่นี้ เอาชัดที่สุดคือ ทำให้จิตเราเองเป็นกุศล ไม่ไปแปดเปื้อน ไม่ไปเกี่ยวข้อง ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรที่เป็นอกุศลง่ายๆ การที่เราถูกปกป้องไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับอกุศลได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะด้วยคำพูด ความคิด การกระทำนั่นแหละ คือ การปกป้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต !
เพราะอะไร ?
เพราะว่าทำให้ชีวิตที่กำลังมีลมหายใจอยู่อย่างนี้เป็นชีวิตที่ดี เป็นชีวิตที่สว่าง เป็นชีวิตที่ไม่เกลือกกลั้วอยู่กับคูถ มูตร สิ่งสกปรก แล้วต่อไปก็ประกันได้ว่าจะไม่ไหลลงไปสู่ทุคติภูมิ
บางทีนะคนอุตส่าห์ไปหาเกจิอาจารย์ ได้ไสยคุณมาปกป้องกระสุน ไม่ให้ทะลุอกได้ มีจริง หนังเหนียวจริง อันนี้ยืนยัน มีจริงไม่ใช่ไม่มีจริง แต่ว่าปกป้องไม่ให้จิตถลำลงไปสู่ความเป็นผู้หลงผิด คิดทำบาปทำชั่วอันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ปกป้องไม่ได้ โดยเฉพาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเรียกเข้ามาปกป้องกระสุนเนี่ยมักจะได้แต่ดูด้วยความสมเพชเวทนาว่าเราปกป้องเขาได้แต่เนื้อหนัง แต่ว่าปกป้องจิตของเขาไม่ให้ไหลลงสู่อบายนี่ไม่ได้ !
มันเป็นเรื่องที่จะต้องมีแก่ใจที่จะเข้าใจเรื่องของกรรม เรื่องของวิบากเอาเอง ซึ่งวิธีที่ง่ายที่โบราณได้ให้ไว้ คือให้เป็นบทสวด
ถ้าเราเข้าใจบทสวดว่าแปลว่าอะไร ท่องได้ขึ้นใจ
: จะมีทั้ง ‘ความรู้สึกของปีติ’ ที่ได้ท่องบาลี และก็
: มีทั้ง ‘ความเข้าใจ’
: มีทั้ง ‘ปัญญา’ ที่ถูกรีเฟรชทุกวัน
ดังนั้น เป้าหมายของการสวดมนต์ที่แท้จริง
ก็จะจำแนกไปตามเนื้อหาของการสวดนั่นแหละ
-------------------------------------------------------------
ที่ถามว่าการสวดมนต์เป็นการฝึกสมาธิได้ด้วยหรือเปล่า ?
ที่ถามว่าการสวดมนต์เป็นการฝึกสมาธิได้ด้วยหรือเปล่า ?
ถ้าหากคุณสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจะเปล่งเสียงเต็มปากเต็มคำ
‘อิติปิโส ภควา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ…’
สวดด้วยใจอาจหาญ สวดด้วยใจที่หนักแน่นเป็นกุศล มันเป็นสมาธิได้แน่ !
แต่ประเภทที่สวดงึมงำๆ สวดไปฟุ้งซ่านไป นอกจากจะไม่ได้สมาธิแล้ว เผลอๆยังทำลายสมาธิอีกด้วย ระวังนะพวกชอบสวดมนต์นะ สวดลวกๆนี่มันทำให้จิตเบลอได้นะครับ ผมสังเกตมาหลายคนแล้ว ประเภทที่กะจะมาเอาบุญตอนสวดมนต์ กลายเป็นมาสร้างต้นตอของบาป !
ลองสังเกต เราสวดมนต์ด้วยอาการอย่างไร
จิตของเราก็เป็นไปตามอาการแบบนั้นนั่นแหละ
อย่างถ้าสวดมนต์ไปแล้วก็ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยไปด้วยนี่นะ เวลาทำงานก็จะออกแนวเดียวกัน หรือแม้กระทั่งกำลังคุยกับใครอยู่ กำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่ มันก็จะคอยคิดเลื่อนเปื้อนเลอะเทอะ ไปที่โน่นที่นี่ กระโดดไปเป็นจิงโจ้เลยนะไม่สามารถที่จะหยุดอยู่กับที่ได้
นี่ก็เพราะว่า เราทำบุญด้วยอาการของใจอย่างไร ชีวิตและใจโดยรวมนี่มันก็จะเป็นไปตามนั้น
สำคัญนะตอนทำบุญ อาการของใจนี่ ถ้าไม่สำรวม ถ้าไม่ระวัง
ถ้าหากว่าเรามีความหนักแน่น มีความคิดที่ตั้งใจจะถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา โอกาสที่จะเกิดสมาธิขึ้นมานี่ สูงมาก คนที่ตั้งใจสวดมนต์หลายๆรอบด้วยความเคารพในพระรัตนตรัยจริงๆ เวลานั่งลงทำสมาธิ จะดูลมหายใจ หรืออยากจะสวดพุทโธอะไรก็แล้วแต่ มันมีความรู้สึกเหมือนกับว่าลงได้ง่าย มีความสว่าง ก็เพราะว่าตอนสวดมนต์จิตใจมันนุ่มนวลลงอยู่แล้ว มีความสว่างนำอยู่แล้ว พอเอาความนุ่มนวล เอาความสว่างของจิตมารู้มาดูลมหายใจหรือคำบริกรรมพุทโธเข้านี่ มันก็เหมือนกับกลมกลืน เหมือนกับมีความชอบใจ เหมือนกับมีความรู้สึกว่าอยู่เรียบง่ายกับลมหายใจหรือคำบริกรรมพุทโธนี่สบายดีอยู่แล้ว มีความสุขดีอยู่แล้ว ไม่ต้องกระโดดไปหาอะไรอย่างอื่นก็ได้ นี่มันจะรู้สึกแบบนี้ แล้วก็เลยได้กลายเป็นสมาธิขึ้นมา
-------------------------------------------------------------
ระยะเวลาของการสวด
ถ้าวัดเป็นชั่วโมงวัดเป็นนาทีนี่นะ บางทีไม่ได้เท่ากับวัดเป็นคุณภาพของจิต
ถ้าหากคุณภาพของเสียง
คุณภาพของจิตที่ใช้ในการสวดมนต์
เป็นไปอย่างดี เป็นไปอย่างประณีต
คุณภาพของจิตที่ใช้ในการสวดมนต์
เป็นไปอย่างดี เป็นไปอย่างประณีต
๕ นาที ๑๐ นาที
บางทีได้ผล ได้บุญ ได้สมาธิ
ยิ่งกว่าคนที่สวด ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงเสียอีก !
บางทีได้ผล ได้บุญ ได้สมาธิ
ยิ่งกว่าคนที่สวด ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงเสียอีก !
ผมเคยเห็นนะ คนสวด ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงนี่ นึกว่าได้บุญ ไปเชื่อคำโฆษณาว่า บทสวดบางบทนี่จะทำให้เกิดเป็นเทวดานางฟ้า จะทำให้รวยยิ่งใหญ่ จะทำให้ไปเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอะไรต่อมิอะไร แต่ขณะสวดจิตเต็มไปด้วยความโลภ จิตเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านอยากจะเลิกสวด แต่สวดไปเพราะนึกว่าสวดไปแล้วจะได้รางวัล ไปเอาความคิดแบบที่ลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมากมาเป็นตัวตั้งนี่ การสวดมนต์แทบจะไม่ได้อะไรเลยนะ มันได้แต่ความโลภ !
คือลองนึกภาพดูนะครับ คนนั่งอยู่ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ด้วยความตั้งใจว่าฉันจะเอาความเป็นเทวดา ฉันจะเอาความเป็นนางฟ้า ฉันจะเอาเงินล้าน ถามหน่อย ความรู้สึกมันมืดหรือว่าสว่าง ? ถามหน่อย ความรู้สึกมันแคบหรือว่าเปิดกว้างสบาย ?
ถ้าหากคุณเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นตัวตั้งได้ สำรวจเข้ามาที่ใจ แล้วใจรู้สึกอย่างไร เปิดกว้างหรือปิดแคบ ตัวนี้แหละ มันยิ่งกว่าจะไปกะเกณฑ์เอาว่าต้องสวดให้ได้กี่ชั่วโมงหรือกี่นาที ! การที่เราเอาจิตเป็นตัวตั้ง เราจะรู้สึกเพลิดเพลิน บางทีชั่วโมงนาทีผ่านไปนี่ ไม่รู้สึกตัวหรอก
ในสมัยพุทธกาล มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งมีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาก
และระลึกถึงพระพุทธเจ้า ด้วยอาการประมาณว่า เราบริกรรมพุทโธ พุทโธประมาณนั้นแหละ จนจิตเกิดสมาธิ ประจวบกับนางมีอภิญญาติดตัวมาแต่ก่อนด้วย ถึงขั้นที่ว่าพอเกิดปีตินี่ตัวเบาเหาะได้เลย เหาะจากบ้านที่ตัวเองถูกพ่อแม่กักไว้ เป็นลูกสาวอายุยังน้อย ลอยไปทำการบูชากราบพระพุทธเจ้าได้ถึงที่วัดเชตวันฯเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในตำนานของพุทธนะครับ ไม่ใช่เรื่องเกินวิสัยที่คนมีอภิญญาจะทำได้จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าเล่นๆ ทุกวันนี้ก็มีนะครับที่เขาไปฝึกสมาธิในแบบจะทำให้ตัวเบา มีการแข่งกระโดดกบกันด้วยซ้ำ คือนั่งขัดสมาธิกันอยู่ แล้วก็กระโดดลอยขึ้นมา ใครจะลอยไปได้ไกลกว่ากัน ก็มีพวกที่เขาฝึกสมาธิกันเพื่อฤทธิ์เพื่อเดชกันโดยเฉพาะ
ที่ผมพูดถึงคำถามเกี่ยวกับเรื่องสวดมนต์นี้ยาวหน่อยเพราะว่า มันเป็นต้นทาง ก็ขอใช้เวลาไปเยอะนิดนึงมันตรงกับความสงสัยของคนหลายๆคนที่จะสวดมนต์
ถ้าสวดมนต์เป็นนี่นะ
มันจะได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่มหาศาลเลย
จริงๆแล้วก็เป็น "ทางลัด"
ที่จะช่วยให้คนธรรมดาคนหนึ่ง
ได้เกิดสมาธิได้อย่างยิ่งใหญ่ทีเดียว !
ยิ่งใหญ่ในที่นี้ก็คือ
สามารถมาเจริญสติ รู้ตามจริง เห็นตามจริง ต่อได้นะครับ
-------------------------------------------------------------
เรื่องสวดมนต์แล้วขอพร
ก็ไม่เป็นไรถ้าหากว่าเราเพิ่งเริ่มต้น จะขอพรบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการสวดมนต์ไม่ใช่การขอพร
พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสนะ เวลาไปขอพรท่าน ท่านบอกว่า
" เราตถาคตเลิกให้พรนานแล้ว "
พรเป็นสิ่งที่ทำให้คนลุ่มหลงงมงาย นึกว่าจะได้อะไรดีๆจากใครได้เพียงด้วยวาจา
จริงๆพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องของ “กรรมที่ให้ช่วยตัวเอง” ไม่ใช่ไปขอให้คนอื่นช่วย ถ้าหากว่าท่านช่วยได้ขึ้นมา คนก็ไปหลงติดว่า เออ! ท่านเป็นผู้วิเศษแล้วก็ไปขอท่าน ไม่ทำกรรมกันเอาเอง
ฉะนั้นการที่เราขอพรโอเคไม่เป็นไร แต่ขอพรให้ถูกหลักก็แล้วกัน คือ
: ขอให้จิตของเราเป็นสมาธิ
: ขอให้จิตของเรามีกำลัง
มีความกระตือรือร้นที่จะไปอ่านหนังสือ ขอให้สมองของเราในเวลาทำสอบมีความปลอดโปร่งมากพอ แต่อย่าขอให้สอบได้นะ
ขออะไรก็ได้ ขอเกี่ยวกับจิต
แต่อย่าขอให้สอบได้ การขอให้สอบได้ ขอจากตัวเอง ขอให้อ่านหนังสือเถิด ขอให้ทำความเข้าใจดีๆเถิด แล้วในที่สุดนะครับน้องจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของกรรมอย่างชัดเจน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น