ถ้าคุณอยากรู้อยากเห็นว่า ‘ชาติที่แล้วฉันเคยเป็นใคร?’
นั่นคือการตั้งโจทย์แบบคนธรรมดา
ซึ่งพร้อมจะยึดมั่นถือมั่นว่าเราเป็นใครคนหนึ่ง และวิธีเอาคำตอบก็มักต้องพึ่งพาใครสักคนที่คุณคิดว่าเขารู้
ถ้าเขาบอกว่าเคยเป็นเทวดาหรือมหากษัตริย์ คุณก็โน้มเอียงที่จะเชื่อ
แล้วเกิดอุปาทานยึดมั่น จดจำไว้ว่าตัวเองเป็นเทวดา เป็นมหากษัตริย์
แต่หากคำตอบจากเขาไม่น่าชื่นใจ เช่น บอกว่าคุณเคยเป็นหมาหรือยาจก คุณก็โน้มเอียงที่จะปฏิเสธ
แล้วเกิดทิฐิมานะ เพ่งโทษว่าเขาไม่รู้ ไม่จริง ไม่อยากจดจำ
ทั้งหลายทั้งปวงก็เพราะมนุษย์เราโน้มเอียงที่จะสำคัญตนว่าเป็นผู้ประเสริฐ
ก็ในเมื่อเห็นอยู่ว่าเป็นคน มีสองแขนสองขาสง่างามออกอย่างนี้
ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นหมูเป็นหมาไปได้อย่างไร น่าจะเคยเป็นเทวดานางฟ้าเสียมากกว่า
ฉะนั้น ความอยากรู้เรื่องอดีตชาติของคนทั่วไป
จึงเป็นไปเพื่อเพิ่มอุปาทาน และไหลเวียนอยู่ในวังวนทุกข์
วังวนแห่งความมีตัวตนอะไรอย่างหนึ่งอยู่ร่ำไป แต่เมื่อใดก็ตาม
ที่คุณอยากรู้อยากเห็นว่า ภาวะทางกายใจอย่างนี้ ตลอดจนชะตากรรมที่ต้องเผชิญอย่างนั้น
ไหลมาจากกรรมแบบไหน นั่นจะเป็นการตั้งโจทย์แบบเดียวกับพระพุทธเจ้า
ซึ่งเปิดช่องทางได้คำตอบที่ถูกต้อง กับทั้งช่วยให้เห็นโอกาสยุติทุกข์ ยุติโศก
ยุติการเดินทางไกลที่น่าเหน็ดหน่ายได้อีกด้วย ที่กล่าวเช่นนี้
ก็เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นองค์อรหันต์ผู้ปราศจากอวิชชาบดบังได้นั้น
ท่านตั้งต้นจากการน้อมพิจารณาเข้ามาในความเป็นปัจจุบัน
เห็นตามจริงอย่างที่เป็นอยู่ว่า กำลังหายใจออกหรือหายใจเข้า หายใจยาวหรือหายใจสั้น
และลมหายใจดำเนินไปในกายนั่งที่ตั้งตรง มิใช่คดงอ ไม่แตกต่างจากที่คุณก็รู้ได้ในขณะนี้เช่นกัน
เมื่อตั้งต้นจากความจริงได้
ก็ย่อมสืบไปหาความจริงได้ ท่านระลึกรู้ความจริงอันเป็นปัจจุบันกระทั่งรวมลงเป็นฌาน
ดวงจิตแปรจากภาวะนึกๆคิดๆเป็นภาวะสว่างจ้าประดุจดวงอาทิตย์
จากนั้นจึงถอยออกจากฌานกลับมาสู่สภาพที่สามารถพิจารณาเห็นความจริงทางกายใจได้ ราวกับมองดูวัตถุอื่นอันเป็นต่างหาก
ท่านตรวจดูกายใจอย่างมีเหตุผล คือน้อมพิจารณาว่าอยู่ๆกายใจนี้ปรากฏเองลอยๆไม่ได้
ต้องมีเหตุปัจจัยนำมา ซึ่งนั่นเอง นิมิตจึงปรากฏในห้วงมโนทวารของท่าน
เห็นชัดแจ้งว่าก่อนจะเข้าสู่ภาวะนั่งสมาธิเช่นนั้น กายใจนี้ไปทำอะไรมาบ้าง ไล่ตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว
ไปจนกระทั่งเมื่อวาน เมื่ออาทิตย์ก่อน เมื่อเดือนก่อน เมื่อปีก่อน เมื่อสิบปีก่อน
ฯลฯ ไล่ไปเรื่อยกระทั่งระลึกได้แม้รายละเอียดความทรงจำครั้งแรกเกิด
ซึ่งหมายความว่าเข้าสู่กระบวนการหยั่งรู้วาระแรกแห่งชีวิต
จากนั้นญาณหยั่งรู้จึงปฏิรูปเป็นการเห็นที่มาของการเริ่มชีวิต
นั่นคือกุศลกรรมเก่าแต่ปางก่อน ส่งให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
เป็นผู้มีศักยภาพสูง ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ท่านระลึกได้หนึ่งชาติ สองชาติ
สามชาติ ร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ กระทั่งเป็นอนันตชาติ
รู้ที่มาที่ไปของตนเองอย่างลึกซึ้งว่าได้ตั้งความปรารถนา
กับทั้งบำเพ็ญบารมีมาเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
การเปลี่ยนจากความไม่รู้เรื่องที่มาของตนเอง
มาเป็นรู้แจ้งเรื่องที่มาของตนเองอย่างนี้ เรียกว่าวิชชาขั้นต้น มีชื่อเฉพาะคือ ‘ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ’
เมื่อทราบว่ากายใจแห่งความเป็นตัวตนอย่างนี้
มิใช่มีอยู่หนึ่งเดียว กับทั้งสืบสายกันเป็นลูกโซ่ การตายจากภพหนึ่ง
เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเกิดใหม่ในอีกภพหนึ่ง ท่านก็พิจารณาต่อไปด้วยอำนาจญาณ
เล็งเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมที่ทำในแต่ละภพ
เมื่อภพใดมีน้ำหนักของความคิด คำพูด และการกระทำอันเป็นกุศลมากกว่าอกุศล
ก็ย่อมเป็นแรงส่งให้ขึ้นสูงและเป็นสุข แต่หากเป็นตรงข้าม ทำชั่วมากกว่าทำดี
ก็จะเป็นแรงถีบให้ลงต่ำและเป็นทุกข์
การเปลี่ยนจากความไม่รู้เรื่องการเกิดตายตามกรรม
มาเป็นรู้แจ้งเรื่องของการเกิดตายตามกรรมอย่างนี้ เรียกว่าวิชชาขั้นกลาง มีชื่อเฉพาะคือ
‘จุตูปปาตญาณ’ จากนั้น
ท่านจึงพิจารณาว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็ด้วยความไม่รู้
และหลงยึดไปเองว่ากายใจในแต่ละภพเป็นตัวตน ไม่รู้เลยว่าที่แท้แล้วกายใจเป็นทุกข์
เป็นโทษ ปราศจากจุดเริ่มต้น และจะไม่มีทางยุติลงด้วยความบังเอิญ
ทางเดียวที่จะสิ้นสุดความทุกข์ ก็คือต้องรู้ความจริงขั้นสูงสุดว่ากายใจเป็นทุกข์
ไม่ควรที่จะหลงอุปาทานยึดมั่นถือมั่น
การเปลี่ยนจากความไม่รู้เรื่องทุกข์และการดับทุกข์
มาเป็นรู้แจ้งเรื่องทุกข์และการดับทุกข์
กระทั่งเข้าถึงมหาสมุทรแห่งความว่างอันเป็นอมตะ เรียกว่า ‘นิพพาน’ อย่างนี้ เรียกว่าวิชชาขั้นสูงสุด มีชื่อเฉพาะคือ ‘อาสวักขยญาณ’ สรุปที่กล่าวมาทั้งหมด คือ
การรู้อดีตชาติด้วยตนเองจัดเป็นวิชชาขั้นต้น อันจะนำไปสู่วิชชาขั้นสูงสุด
ส่วนการรู้อดีตชาติจากการฟังคนอื่นบอก ถือเป็นความงมงายก้าวแรก
อันจะนำไปสู่ความงมงายก้าวต่อๆไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด
บทประพันธ์โดย : ดังตฤณ (นิตยสารธรรมะใกล้ตัว ปี ๒๕๕๒)
รวมลิงก์บทความก่อนเกิดเป็นดังตฤณ
แชแนล "ก่อนเกิดเป็นดังตฤณ"
• ตอนที่ ๑ เรื่องส่วนตัวของดังตฤณ
ฟัง https://youtu.be/RpQxFOlF4hU
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_45.html
• ตอนที่ ๒ ใส่บาตรครั้งแรก
ฟัง https://youtu.be/WOolpKCyecs
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_26.html
• ตอนที่ ๓ ไม่มีใครคิดอย่างนี้บ้างหรือ
ฟัง https://youtu.be/PMlxjkuC4Oc
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_8.html
• ตอนที่ ๔ รู้สึกผิดที่เกิดมา
ฟัง https://youtu.be/2fZfnhT1Vx8
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_79.html
• ตอนที่ ๕ ระหว่างเรื่องจริงกับนิยาย
ฟัง https://youtu.be/J2pqdmEEvKI
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_77.html
• ตอนที่ ๖ ระลึกชาติ
ฟัง https://youtu.be/QFQSu4kcrfA
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_27.html
• ตอนที่ ๗ ระลึกชาติ (ต่อ)
ฟัง https://youtu.be/csm0Fh5gPyw
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_68.html
• ตอนที่ ๘ อนาคตอันมืดมน
ฟัง https://youtu.be/DoGJZqRxk9A
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_93.html
• ตอนที่ ๙ วิถีแห่งเต๋า
ฟัง https://youtu.be/PJ39XAUM3xw
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_46.html
• ตอนที่ ๑๐ วิถีแห่งคนโง่
ฟัง https://youtu.be/YkKOtBKvgvI
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_14.html
• ตอนที่ ๑๑ พบทาง
ฟัง https://youtu.be/9LCu0Tq6Trk
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_63.html
• ตอนที่ ๑๒ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ฟัง https://youtu.be/GzXSQLO0KtE
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_73.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น