วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

ตอนที่ ๑๒ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า (ก่อนเกิดเป็นดังตฤณ)

หลายคนชอบคิดว่าผมเป็นคนมีบุญ จึงเข้าทางสว่างตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ผมว่าตัวเองบุญน้อย ค่าที่มาเกิดและโตในบ้านของสามีภรรยาผู้มีความเลื่อมใสพระพุทธศาสนา มีโอกาสได้ใส่บาตรครั้งแรกตั้งแต่ ๑ ขวบ อยู่ในโรงเรียนที่ช่วยจัดพิธีประกาศตนเป็นชาวพุทธตั้งแต่ก่อน ๑๐ ขวบ เรียกว่าเกิดมาเพื่อเป็นชาวพุทธเต็มขั้น เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้าประทับยืนอยู่ตรงหน้าทั้งในบ้านและที่โรงเรียน แต่กลับอาศัยเวลาตั้ง ๑๗ ปี กว่าจะรู้ว่าพระองค์เป็นใคร และจะเข้าเฝ้าพระองค์ได้อย่างไร 

ผมเป็นชาวพุทธประเภทอยากพบพระพุทธเจ้าใจแทบขาด จำได้ดีถึงความทุรนทุราย เฝ้าคิดคำนึงว่าทำไมเราบุญน้อย ทำไมเราเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้า ต้องแลกด้วยอะไร ถึงจะมีสิทธิ์เข้าเฝ้าฟังธรรมต่อเบื้องพระพักตร์ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ว่างๆผมก็นั่งเศร้าซึมไปกับการตระหนักว่า อย่างไรชาตินี้ทั้งชาติ ก็ไม่มีโอกาสพบองค์จริงแห่งพระศาสดาแม้แต่ครั้งเดียว ผมอิจฉาคนสมัยพุทธกาล ที่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ แต่ผมก็เป็นพวกปลอบตัวเองเป็นครับ พยายามคิดว่าตนโชคดีกว่าคนในสมัยพุทธกาลข้อหนึ่ง คือไม่ต้องเดินทางข้ามบ้านข้ามเมือง ข้ามห้วยข้ามเขา แค่นั่งอยู่ในห้องแอร์ที่บ้านหรือสถานศึกษา เดินไปเลือกหยิบคัมภีร์พระไตรปิฎกจากชั้นวาง ก็รับรู้ธรรมะเดียวกับเหล่าท่านผู้มีวาสนาในยุคโน้นได้แล้ว

พระไตรปิฎกฉบับคัดสรรของท่านอาจารย์ธรรมรักษา ตลอดจนพระไตรปิฎกฉบับย่อความทั้งหมดของท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ จึงกลายเป็นประตูแห่งกาลเวลาพาผมกลับไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ทุกวัน ทุกเวลา ตามปรารถนา ตั้งแต่ช่วงมัธยม ๕ ที่เซนต์จอห์น จนกระทั่งขึ้นปีหนึ่งที่เอแบค ห้องสมุดคือที่ที่ผมเข้าไปกอบโกยธรรมะเข้าสู่หัวใจด้วยความชุ่มชื่นทุกวัน ไม่ช่วงเที่ยงก็ช่วงเย็น (ใช่ครับ! ทั้งสองสถาบันศึกษาเป็นคริสต์ที่ใจกว้างพอจะมีหนังสือของพุทธอยู่ในเขตรั้ว และผมก็ซาบซึ้งจนถึงทุกวันนี้ ในบุญคุณที่ทั้งสองสถาบันเอื้อเฟื้อสถานที่ให้จิตวิญญาณของผมเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นพุทธเต็มตัว) แต่ละครั้งที่อ่านพระไตรปิฎก จิตของผมจะอ่อนโยนลง คล้ายถูกราดกระหม่อมด้วยน้ำอมฤต ฉ่ำชื่นในแบบที่รู้สึกแปลกแยกจากภาวะรอบด้านอย่างประหลาดเหมือนเห็นตนเองกลายเป็นใครอีกคนหนึ่ง กำลังได้เอกสิทธิ์พิเศษ รับไอเย็นจากใต้ร่มไม้ใหญ่ภายในอาณาเขตเดียวกับที่พระพุทธเจ้าประทับนั่ง จินตภาพเต็มไปด้วยความสดกระจ่าง ตลอดทั่วกายใจตื่นตัวพร้อมรับรู้ทุกถ้อยกระทงความ ตามพระผู้อยู่เหนือเศียรเกล้าตรัสสอนทุกคำไม่ตกหล่น

ผมเลือกอ่านหัวข้อที่สนใจก่อน จึงศึกษาพระไตรปิฎกแบบพลิกไปพลิกมาไม่เรียงลำดับ ถ้าใครถามว่ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นระหว่างการอ่านพระไตรปิฎกได้ไหม ผมตอบทันทีเลยว่า มีได้! เพราะเมื่อเกิดคำถามใดขึ้นในใจ ผมมักพลิกไปเจอคำตอบชนิดทำให้ตะลึงจังงังครั้งแล้วครั้งเล่า จากที่นึกว่าบังเอิญ กลายเป็นความเคยชินและปักใจเชื่อว่า พระไตรปิฎกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพในการให้คำตอบแก่ผู้ตั้งใจศึกษาจริงๆ 

ในแง่ของการเจริญสติ สิ่งที่ผมจำได้ติดใจและเอาไปใช้ปฏิบัติจริงในช่วงแรกมีอยู่เพียง ๓ ข้อ คือ


๑) ลมหายใจเข้าออกกำลังเป็นอย่างไร ให้รู้ตามนั้น
๒) อิริยาบถกำลังเป็นอย่างไร ให้รู้ตามนั้น
๓) ความรู้สึกทางกายกำลังสบายหรืออึดอัด ให้รู้ตามนั้น

รู้ตามนั้น เพื่อให้ได้ข้อสรุปอันเป็นที่สุดว่า กายใจไม่เที่ยง ไม่อาจทนตั้งอยู่ เพราะไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เหมือนพยับแดดที่ดูหลอกตาว่ามี แต่ไม่เคยมีอยู่อย่างแท้จริงเลย 

การเริ่มต้นเจริญสติของผม เป็นไปอย่างไม่แน่ใจนักว่าดูอย่างไรแล้วถูก เห็นอย่างไรเรียกว่าเกิดญาณหยั่งรู้ และด้วยความลังเลสงสัยนั้นเอง จึงทำให้ไม่พากเพียรเต็มกำลัง บางครั้งหายใจเข้าออกแล้วบอกตัวเองว่า นี่เรากำลังเจริญสติอยู่ เราจะรู้ลมหายใจครั้งนี้และครั้งต่อๆไป แต่บางครั้งก็ถามตัวเองว่า นี่เรากำลังทำอะไรกันแน่ ช่างไม่เฉียดกับความรู้สึกว่ามีสิทธิ์ถึงมรรคถึงผลกับเขาเลย ผมปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็พอรู้เกณฑ์การตัดสินอยู่บ้าง นั่นคือถ้าเห็นถูกเห็นตรง ต้องยิ่งเห็นยิ่งหายโง่ แต่อย่าไปด่วนคิดว่าหายโง่แล้วหายโง่เลย เพราะถ้าลืมดูเมื่อไรก็กลับมาโง่ใหม่เมื่อนั้น!

และความจริงบนเส้นทางเจริญสติช่วงแรกก็คือ คุณจะรู้สึกโง่อยู่เกือบตลอด ๒๔ ชั่วโมงต่อวัน จะฉลาดขึ้นบ้างก็เพียงไม่กี่นาที นี่แหละช่วงของการหัดคลานออกจากท่าแบเบาะ ผมรู้สึกอบอุ่นมั่นคงยามทอดตาอ่านพระไตรปิฎก เพราะเหมือนมีพ่อบังเกิดเกล้าเป็นหลักประกันอยู่ทั้งคน แต่กลับปวกเปียกป้อแป้ยามห่างพระไตรปิฎก เพราะเหมือนขาดพี่เลี้ยงคอยช่วยพยุงแบบตัวต่อตัว การไม่มีครูผู้ยืนยันว่า เรากำลังเจริญสติอยู่อย่างถูกต้องหรือผิดพลาด คงเปรียบได้กับการฝึกเหวี่ยงหมัดแบบมวยวัดนั่นเอง คุณเหวี่ยงอย่างไรก็ได้ นึกว่าถูกอย่างไรก็ได้ แต่ลึกๆจะคอยคิดว่าถ้าให้ผู้เป็นปรมาจารย์ตัดสิน คุณจะสอบผ่านหรือสอบตกกันแน่

อะไรบางอย่างในส่วนลึก ปลุกปลอบให้เชื่อมั่นว่า วันหนึ่งผมจะทำได้ วันหนึ่งผมจะต้องประสบความสำเร็จ ก็พระพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งท่านบอกอยู่ว่า ถ้าใครเจริญสติตามที่ท่านชี้ทาง อย่างช้า ๗ ปีก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นแน่ แล้วทำไมจะต้องกลัวความไม่สำเร็จเพียงเพราะคิดเองเออเองแบบคนไม่รู้จริงด้วยเล่า 

มองย้อนกลับไปแล้ว ผมก็เห็นความสำคัญของศรัทธา คุณไม่มีทางใจแข็งหยอดกระปุกวันละเหรียญ ถ้าไม่เชื่อว่าวันหนึ่งมันจะเต็ม นั่นก็เป็นทำนองเดียวกับที่ผมคงไม่มีแก่ใจเจริญสติวันละนิดวันละหน่อยมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่เชื่อว่าวันหนึ่งจะมีสิทธิ์บรรลุมรรคผล คุณค่าของการมีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ตรงนี้แหละครับ จะเข้าเฝ้าองค์จริงหรือตัวแทนพระองค์เช่นพระไตรปิฎกก็ตาม ให้ถามตัวเองเถอะว่าคุณได้ศรัทธาติดมือกลับมาแค่ไหน คุณได้ความเชื่อมั่นหรือยังว่าตัวเองมีสิทธิ์บรรลุธรรมด้วยกายนี้ใจนี้ 

ถ้าได้ความเชื่อมั่นมาแล้ว ก็บอกตัวเองเถอะครับว่า คุณไม่ได้ต่ำต้อยด้อยวาสนากว่าผู้คนในยุคพุทธกาล ที่มีโอกาสพบพระพักตร์จริงแห่งองค์ศาสดาเลย เพราะแม้พระองค์จริงของท่านก็ทำหน้าที่เพียงชี้ทางนิพพาน หรืออย่างมากก็ก่อแรงบันดาลใจให้คุณอยากเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆบนทางสู่นิพพานเท่านั้น บนทุกเส้นทาง การเดินเรื่อยๆนั่นแหละคือความก้าวหน้า ความก้าวหน้านั่นแหละที่พาความสำเร็จให้ขยับเข้ามาใกล้คุณมากขึ้นทุกที


บทประพันธ์โดย : ดังตฤณ (นิตยสารธรรมะใกล้ตัว ปี ๒๕๕๒)

รวมลิงก์บทความก่อนเกิดเป็นดังตฤณ
แชแนล "ก่อนเกิดเป็นดังตฤณ"
บน Podcast ► http://apple.co/1WsUqUt
บน YouTube ► http://bit.ly/1YSrFzz

• ตอนที่ ๑ เรื่องส่วนตัวของดังตฤณ
ฟัง https://youtu.be/RpQxFOlF4hU
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_45.html

• ตอนที่ ๒ ใส่บาตรครั้งแรก
ฟัง https://youtu.be/WOolpKCyecs
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_26.html

• ตอนที่ ๓ ไม่มีใครคิดอย่างนี้บ้างหรือ
ฟัง https://youtu.be/PMlxjkuC4Oc
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_8.html

• ตอนที่ ๔ รู้สึกผิดที่เกิดมา
ฟัง https://youtu.be/2fZfnhT1Vx8
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_79.html

• ตอนที่ ๕ ระหว่างเรื่องจริงกับนิยาย
ฟัง https://youtu.be/J2pqdmEEvKI
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_77.html

• ตอนที่ ๖ ระลึกชาติ
ฟัง https://youtu.be/QFQSu4kcrfA
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_27.html

• ตอนที่ ๗ ระลึกชาติ (ต่อ)
ฟัง https://youtu.be/csm0Fh5gPyw
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_68.html

• ตอนที่ ๘ อนาคตอันมืดมน
ฟัง https://youtu.be/DoGJZqRxk9A
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_93.html

• ตอนที่ ๙ วิถีแห่งเต๋า
ฟัง https://youtu.be/PJ39XAUM3xw
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_46.html

• ตอนที่ ๑๐ วิถีแห่งคนโง่
ฟัง https://youtu.be/YkKOtBKvgvI
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_14.html

• ตอนที่ ๑๑ พบทาง
ฟัง https://youtu.be/9LCu0Tq6Trk
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_63.html

• ตอนที่ ๑๒ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ฟัง https://youtu.be/GzXSQLO0KtE
อ่าน http://dungtrinanswer.blogspot.com/2016/04/blog-post_73.html

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบพระคุณค่ะ
    เคยคิดเหมือนกันค่ะว่าทำไมตนเองไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลแล้วได้บรรลุธรรมบ้าง
    แต่พอได้ฟังพระท่านเทศน์ว่าถ้าเรายังไม่มีบารมีพอแทนที่เราพบพุทธองค์แล้วปฏิบัติตาม เราเราอาจไม่ศรัทธาแล้วทำอะไรที่เป็นบาปมหันต์แทนก็ได้หลังๆก็เลยทำใจได้ในเรื่องนี้ค่ะ

    ตอบลบ