วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559

เสียงนินทาและการจัดการกับความรู้สึก

ถาม : ไม่ได้ใส่ใจคนที่นินทาแต่รำคาญมาก ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ไปยุ่งกับเขาแต่เขาก็ยังนินทาเราตลอดเวลา จะมีวิธีไหนให้เขาเลิกพูดเกี่ยวกับเราเสียที เพราะมันนานแล้วแผ่เมตตาแล้วก็ยังไม่ไป


รับฟังทางยูทูบ  https://youtu.be/gtFJVS0bBB4

(ดังตฤณวิสัชนา Live # ๔ ทางเฟสบุ๊ก ๒๔ เมษายน ๒๕๕๙)

ดังตฤณ : 

มีสองประเด็นให้ตอบนะ ประเด็นแรกคือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “คนไม่ถูกนินทาในโลกนั้นไม่มี” นะครับ  เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม จะมีคนพูดถึงเราในทางไม่ดีเสมอ เพราะว่าคนเราเห็นอะไรต่างกัน เราเห็นออกมาจากมุมมองของเรา เขาเห็นออกมาจากมุมมองของเขา  เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าหากว่ามุมมองที่มันต่างกันนั้นประกอบอยู่ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี ความรู้สึกที่จะเอาเข้าตัว หรือว่าความรู้สึกเหมือนกับอยากแข่งได้ชิงดีอะไรก็ตามเนี่ยนะ  มันจะทำให้เกิดความรู้สึกอยากนินทา อยากพูดถึงในทางไม่ดีขึ้นมาเสมอนะครับ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และเป็นสัตว์สังคมประเภทชอบนินทานะครับ  อันนี้เป็นการทำความเข้าใจอันดับแรกซึ่งรู้ๆ กันอยู่ แต่ว่ามันเข้าไม่ถึงใจ อันนี้เป็นประเด็นแรกนะ

ประเด็นที่สองนะครับ คือแทนที่จะมองว่าจะแก้ปัญหาข้างนอกอย่างไรนะครับ  ขอให้มองว่าไอ้สิ่งที่เราอยากหลบจริงๆ เนี่ย คือความรู้สึกไม่ดีที่มันเกิดขึ้นในใจเราเอง  พ้อยท์นะครับ พ้อยท์ที่ชัดเจนนะก็คือว่า  พอเวลาเราได้ยินเสียงนินทาหรือว่ารับรู้ว่าเกิดการพูดติเตียนหรือว่าว่ากล่าวอะไรก็ตาม ไอ้ตรงนั้นเนี่ยมันเป็นเสียงภายนอก ซึ่งเราไม่สามารถจะควบคุมได้ ไม่สามารถจะตามทำความเข้าใจได้หมดได้  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราคือความขัดเคือง ความรู้สึกไม่ดี ความรู้สึกแย่ๆ เนี่ย อันนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถจะตามรู้ได้ จะตามทำความเข้าใจกับมันได้ คือตัวโทสะนี่นะ สิ่งเดียวที่พระพุทธเจ้าเน้นย้ำให้ทำความเข้าใจก็คือว่า “โทสะที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะร้อนขนาดไหน ไม่ว่าจะเกิดยืดยาวขนาดไหน ในที่สุดมันจะแสดงความไม่เที่ยงออกมา” คืออันนี้อาจจะตอบไม่ตรงประเด็นปัญหาแต่จริงๆ แล้วมันตรงนะ ลองฟังให้จบนะ 

เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่า โทสะมันเป็นความไม่เที่ยง คือวิธีง่ายๆ นะครับ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านให้ดูก็คือ สังเกตโดยอาศัยลมหายใจเนี่ยเป็นเครื่องชี้ว่า โทสะมันเกิดขึ้นที่ลมหายใจนี้ แล้วไอ้ลมหายใจต่อมาเนี่ยโทสะมันยังเท่าเดิมได้ไหม หรือว่ามันมากขึ้น หรือว่ามันน้อยลง  เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกถึงความไม่เที่ยงของโทสะ เมื่อนั้นเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับโทสะเนี่ยชัดเจนแล้วนะ  ความเข้าใจก็คือว่า โทสะ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยเหตุอะไรก็ตาม ด้วยเสียงนินทาหรือว่าด้วยความขัดเคืองไม่พอใจในผู้คนในรูปแบบไหนก็ตาม มันจะมีความไม่เที่ยงเสมอ และเมื่อจิตของเรามันวางมันไม่ยึดเอาโทสะเป็นสิ่งสำคัญของมัน  คือจิตเนี่ยถ้ายกเอาอะไรก็ตามมาเป็นสิ่งสำคัญของมัน จิตจะโฟกัสอยู่กับสิ่งนั้น หรือพูดง่ายๆ ว่า จับยึดอยู่กับสิ่งนั้น เกิดอุปาทานว่าสิ่งนั้นเนี่ยเป็นตัวเรา  ถ้าหากว่าเราเห็นโทสะไม่เที่ยงแล้ว อาการยึด อาการจับมันจะคลายลง  และเมื่อจิตมันมีอาการคลายตัวลง มันมีผลกระทบกับโลกภายนอกด้วย

อย่างเช่นที่ทุกคนเคยมีประสบการณ์นะ เวลาที่เราอยากจะทำให้ใครสักคนไม่พอใจด้วยคำพูดหรือว่าด้วยการทิ่มแทง แล้วเห็นเขาไม่พอใจ เราจะรู้สึกประสบความสำเร็จ เราจะรู้สึกเหมือนกับมีความเกี่ยวข้องที่มีนัยสำคัญนะครับ เรามีอิทธิพลสามารถทำให้เขาเป็นทุกข์ได้ มันก็จะเกิดความพอใจขึ้นมา  แต่ทีนี้ถ้าหากว่าเราพยายามที่จะทำให้เขาเป็นทุกข์ แล้วเขาไม่แสดงความทุกข์ออกมา ตรงกันข้ามมันมีความเบาออกมาให้รู้สึก มันมีความสุขมันมีความสบายใจออกมาให้รู้สึกได้เนี่ย ในที่สุดมันจะอ่อนกำลังไปเอง มันจะมีความเหนื่อย มันจะมีความรู้สึกขี้เกียจ มันจะมีความรู้สึกคร้านที่จะพยายามทำให้เขาเป็นทุกข์

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาที่ใจของเราเบา เวลาที่ใจของเราไม่ยึดเอาโทสะเป็นที่ตั้งเป็นที่โฟกัส  แม้ว่าจะถูกนินทา แม้ว่าจะถูกกลั่นแกล้ง  พอนานๆ ไปคนที่เขาจงใจนินทาจงใจกลั่นแกล้งเราเกิดความรู้สึกว่าเอาชนะเราไม่ได้ ในที่สุดเขาจะยอมแพ้ไปเอง  คือมันจะเหนื่อยน่ะ เหนื่อยที่จะพยายาม แล้วเสร็จแล้วไม่ได้ผลที่ต้องการ  ความสุขที่เกิดจากใจของคนที่เกิดจากการไม่ยึด มันเป็นความสุขที่แท้จริง  มันทำให้จิตของเราสงบอย่างแท้จริงนะ ความสุขอย่างอื่นเนี่ยที่มันไปยึดเอา ที่มันไปหวังเอาเนี่ย มันไม่ใช่ของที่จะอยู่กับเรานานหรอก  แต่ความสุขอันเกิดจากการที่เราเห็นความไม่เที่ยงของสิ่งใด แล้วเราไม่ยึดสิ่งนั้น มันจะอยู่ติดตัว ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหนจนกว่าจะสิ้นชีวิตนี้เนี่ยนะ  มันสามารถใช้ได้ตลอด มันเอาไปประยุกต์ใช้ได้ตลอด  แล้วความสุขความเบานั้นมันเป็นมิตรกับคนทั่วไป มันจะสามารถละลายพฤติกรรมบางอย่างของคนได้  ถ้าเขาร้ายมากๆ จริงๆ  โอเคเราอาจจะไม่เห็นผลต่างภายในวันสองวัน  แต่เชื่อเถอะว่าหลายเดือนผ่านไปหรือว่าเป็นปีนะ ในที่สุดเขาจะอ่อนกำลัง  เพราะจิตคนเนี่ยจริงๆ แล้ว โดยธรรมชาติมีความอ่อนแอนะ จำไว้ดีๆ นะ “จิตคนโดยธรรมชาติดั้งเดิมเลย มีความอ่อนแอ มีความปวกเปียก  เมื่อพยายามอะไรมากๆ เข้า แล้วประสบความล้มเหลวตลอด ในที่สุดมันจะแพ้ภัยตัวเอง” นะครับ  พยายามจะไปทำเขาเสร็จแล้วเขายิ่งดูนับวันยิ่งมีความสุขขึ้นทุกที มันถอยไปเอง มันหมดแรง หมดกำลังนะครับ 

สรุปคำแนะนำก็คือ ถ้าเราทำความเข้าใจกับกลไกภายในของเราได้ มันมีอิทธิพลให้พฤติกรรมของเขาแตกต่างไปได้ด้วย  คือเรามีความสุขก่อน แล้วเขาอาจจะได้ทำบาปน้อยลง หรือไม่ต้องได้ทำบาปอีกเลย

แผ่เมตตาเนี่ย ถ้าในตอนแผ่เนี่ยเราเต็มไปด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย บางทีมันก็เหมือนกับแผ่ความร้อนหรือว่าแผ่ความกระวนกระวายไป เหมือนเอาตัวกระตุ้นหรือว่ายั่วยุให้เขาอยากจะกลับมาทิ่มแทงเราอีกได้  แต่ถ้าหากว่า ณ เวลาที่เขาแกล้งเราหรือว่านินทาเรา คือจงใจด้วยความรู้ว่าเราจะเป็นทุกข์น่ะนะ แล้วเราเห็น  คือเกิดความทุกข์ อย่าพยายามฝืนไม่ให้เกิดความทุกข์นะ ให้ยอมรับตามจริงว่ามันเกิดความทุกข์ขึ้นมา เมื่อรู้ว่าเขากระทำต่อเราอีกนะครับ แต่เมื่อเกิดความทุกข์แล้วให้ฝึกจนกว่าจะชิน ให้ฝึกจนกว่ามันจะได้  ลองถามตัวเองเลยลมหายใจเนี้ยมันทุกข์ขนาดไหน มันดิ้นรน มันดิ้นเร่าอยู่ปั้ดๆ ขนาดไหน ยอมรับไปตามจริง ไม่ต้องไปฝืน ไม่ต้องไปแกล้ง ไม่ต้องไปกดไว้ ไม่ต้องไปพยายามที่จะทำให้มันเป็นอย่างอื่น  ยอมรับมันไปเลยว่า ลมหายใจนี้นาทีนี้นะครับ มันมีความทุกข์จากการถูกนินทาจริงๆ แล้วก็ไม่ต้องไปคาดหวังด้วยว่าลมหายใจต่อมาจะเป็นยังไง  คือพอธรรมชาติของร่างกายมันจะดึงลมเข้า เราก็ปล่อยให้ลมเข้า แล้วก็ค่อยสังเกตเอาว่าลมเข้าใหม่เนี่ย ลมหายใจออกใหม่เนี่ยนะ มันยังทุกข์เท่าเดิมอยู่ไหม มันยังมีความกระวนกระวายอยากดิ้นปั้ดๆ อยู่ไหม ส่วนใหญ่แล้วมันจะมีความเบาบางลง มันจะมีความรู้สึกที่ดีขึ้น  หรือถ้าหากว่ามันยังดิ้นอยู่มันยังมีความกระวนกระวายหนักกว่าเก่าก็ยอมรับไป ยอมรับไปทีละลมหายใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจของเรา เอาความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั่นล่ะมาใช้ประโยชน์นะครับ ว่ามันแสดงความไม่เที่ยงให้ดูยังไงในแต่ละลมหายใจ  แล้วความทุกข์นั่นแหละมันจะสอนให้เรามีความสุขอย่างแท้จริงตอนที่เข้าใจความจริงได้ว่า ลักษณะความทุกข์เนี่ยมันต่างไปเรื่อยๆ นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น