ถาม :
หนูนั่งสมาธิแล้วไม่เห็นอะไร
นั่งนิ่งเฉยๆ แต่นิ่งทุกครั้ง ไม่ได้คิดอะไร
แต่มีคนบอกว่าควรจะเรียนรู้เรื่องลมหายใจและยุบหนอพองหนอเพราะจะไปต่อได้
ถ้านั่งแล้วนิ่งจะปีติอย่างเดียวเราควรทำอะไรก่อนคะ?
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/kW9aX2v1Yes
(ดังตฤณวิสัชนา Live #๑ ทางเฟสบุ๊ก ๑๘ เมษายน ๒๕๕๙)
ดังตฤณ:
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/kW9aX2v1Yes
(ดังตฤณวิสัชนา Live #๑ ทางเฟสบุ๊ก ๑๘ เมษายน ๒๕๕๙)
ดังตฤณ:
ควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องก่อน
อย่างที่ผมพูดมาเมื่อครู่นี้ สำหรับคำตอบที่แล้วเนี่ย ก็สามารถที่จะนำมาแอพพลายได้
ถ้าเราทำความเข้าใจไว้ถูกต้องว่า เราจะรู้ลมหายใจก่อนไปเพื่อเห็นอะไร
เราจะไปถูกทางตั้งแต่นาทีแรก ที่เราเห็นถูกต้องนั้นเลยนะครับ
คือไม่ต้องใช้เวลานานเพื่อที่จะพิสูจน์ เอานาทีแรกที่เราเข้าใจได้ถูกต้อง
มันจะเห็นเลยนะ
ขึ้นต้นมาเนี่ย เราแค่หายใจ อันนี้สมมุติเป็นการหลับตาทำสมาธิแบบคนทั่วไปนะ เราหายใจครั้งนี้เราเห็นอยู่ว่ามันมีความฟุ้งซ่าน มีความรู้สึกว่า เออ ในหัวเนี่ยมีอะไรปั่นๆ ป่วนๆ อยู่ อีกลมหายใจนึงตอนนี้มันสงบลง เกิดความรู้สึกว่ามันแตกต่างไป แค่เห็นความแตกต่างไปเนี่ยนะ มันดูเหมือนกับยังไม่เท่ ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นวิเศษ ยังไม่เกิดเป็นปรากฎการณ์มหัศจรรย์ แต่ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต! คือถ้าคุณเห็นไปเรื่อยๆ ลมหายใจต่อมา เออมันกลับฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก แล้วอีกลมหายใจนึงมันก็สงบลงไปอีก เห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่แค่นี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดมันเกิดความเคยชินขึ้นมาอย่างหนึ่ง คือ เคยชินที่จะรู้สึกถึงลมหายใจ โดยไม่ต้องฝืน โดยไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกดไม่ต้องข่มให้ตัวเองเนี่ยพยายามอยู่กับลมหายใจ แต่ร่างกายกับจิตใจเค้าทำงานกันเองร่วมกันเอง มีความจับมือประสานกันเอง ว่าหายใจขึ้นมาเมื่อไหร่มันเกิดความรู้สึกถึงลมหายใจ และเมื่อเกิดความรู้สึกถึงลมหายใจก็มีการเปรียบเทียบไปเรื่อยๆ ด้วยว่า ขณะนี้มันมีความฟุ้งซ่านหรือมีความสงบไปถึงไหนแล้ว
อย่างกรณีของคุณบอกว่า หนูนั่งสมาธิแล้วไม่เห็นอะไร มันนิ่งๆ เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร ก็ดูไป ว่าไอ้ที่มันนิ่งเฉยๆ นั้นน่ะ มันนิ่งอยู่นานแค่ไหน มันรู้สึกว่าในอาการนิ่งนั้นน่ะ สังเกตต่อไปได้ไหม ว่ามีความรู้สึกเบาๆ สบายๆ หรือว่ามีความอึดอัดอยู่ คือไม่ได้ถามเอาผิดเอาถูก ไม่ใช่ให้คะแนนตัวเองนะ แต่ถามเพื่อให้เปรียบเทียบว่าแต่ละลมหายใจ ไอ้ความนิ่งมันให้รสชาติแตกต่างกันไหม หรือว่ามันมีความเหมือนกันแค่ไหน
บางความนิ่ง นิ่งเหมือนกันเป๊ะเลยนะ แต่ว่ารู้สึกอึดอัด แต่อีกลมหายใจต่อมา หรือสักนาทีสองนาทีต่อมา มันยังนิ่งเหมือนเดิม แต่คราวนี้กลายเป็นความรู้สึกอีกแบบนึง มันโล่งๆ โปร่งๆ เบาๆ สบายๆ เปิดๆ กว้างๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ไอ้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เนี่ย คนมักจะไปให้คะแนน ว่าถ้าไม่มีความสุขแปลว่าไม่ดี ไม่สว่างแปลว่ายังไม่เจ๋ง ยังใช้ไม่ได้ ตอนนี้ได้คะแนนแค่ประมาณ ไม่ถึงห้า ไม่ถึงหก อะไรแบบนั้น พอไปให้คะแนนปุ๊บ มันลืมสังเกตแล้วว่า มันต่างไปเรื่อยๆ ในแต่ละลมหายใจ แม้แต่ความนิ่งก็เหมือนกัน พอไปล็อคอยู่กับความรู้สึกว่า นั่งสมาธิทีไรรู้สึกนิ่งๆ ไม่คิด มันก็ลืมสังเกตแล้วว่าคิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ลืมสังเกตขึ้นมาแล้วว่า ไอ้ที่นิ่งๆ มันต่างไปเมื่อไหร่ พอไม่สังเกตว่ามันต่างไปยังไงในแต่ละลมหายใจนะ อันนี้ไม่ใช่นั่งสมาธิแบบพุทธแล้ว มันนั่งสมาธิแบบอื่น นั่งสมาธิเพื่อที่จะเอานิ่ง หรือเอาคะแนน หรือเอาความเห็นจากคนอื่นว่ามันใช่หรือไม่ใช่
ถ้านั่งสมาธิแบบพุทธจำไว้นะ ที่จะเป็นสัมมาสมาธิได้ จิตมันจะตื่นขึ้นมารับรู้ไปอีกแบบนึงเลย ไม่มีมโนภาพในตัวตน ไม่มีความรู้สึกว่านี่เรากำลังนั่งสมาธิอยู่ นี่ฉันกำลังได้คะแนน ๔ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ มันจะมีแต่ความรู้สึกว่าสภาพธรรม มันต่างไปเรื่อยๆ ให้ดู เรามีหน้าที่แค่ดูแค่รู้แค่ยอมรับมันเฉยๆ ในแต่ล่ะลมหายใจ ไอ้ที่มันจะมีความอึดอัด มีความมืด มีความรู้สึกว่าทึบๆ มีความรู้สึกว่าไปต่อไม่ถูก มันก็แค่จิตแบบหนึ่ง พอลมหายใจนึงผ่านไป มันกลายเป็นความรู้สึกโปร่งๆ มันกลายเป็นความรู้สึกโล่งๆ คนส่วนใหญ่ก็ดีใจว่านี่ประสบความสำเร็จในการนั่งสมาธิแล้วนี่นั่งสมาธิได้ดีแล้ว ลืมสังเกตว่ามันแตกต่างกันยังไงนะ ในแต่ละลมหายใจ พอไม่ได้สังเกตปุ๊ปเนี่ย มันก็กลายเป็นหลงไปแล้วว่านี่ฉันดีขึ้น นี่ฉันแย่ลง มันไม่เป็นสัมมาสมาธิ
คนที่จะได้สัมมาสมาธินะ คือคนที่มีจิตยอมรับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมโนภาพของตัวตน หรือว่าคะแนนที่ได้จากการฝึกสมาธิมันหายไป หายไปจากจิตเลย เหลือแต่จิตที่มันแปรปรวนไปเรื่อยๆ ให้ดูอย่างนั้นเองนะครับ แม้แต่ปีติด้วยนะ
เมื่อกี๊ผมลืมพูดถึง อย่างเวลาที่มีปีตินะ ก็ให้สังเกตด้วยว่าปีติมันคงที่ในแต่ละลมหายใจไหม มันจะต่างไปเรื่อยๆ ถ้าสังเกตจะเห็นนะว่าปีติบางทีก็มีปีติแบบฉีดซ่าน บางทีมีปีติแบบขนลุก บางทีมีปีติในแบบตัวใหญ่ๆ เหมือนกับตัวมันพองขึ้นเป็นอึ่งอ่างอะไรแบบนั้น ปีติมีได้หลายแบบ แล้วแม้แต่ปีติแบบเดียวกันอย่างเช่นปีติแบบเย็นซ่านเนี่ย มันก็เย็นบางทีเย็นกว้างซ่านไปเหมือนกับน้ำพุฉีดไปทั่วไปรอบเลยนะ แต่บางทีก็เหมือนกับขึ้นมากะปริบกะปรอย เหมือนกับไอ้ตาน้ำที่ซึมออกมานิดๆ หน่อยๆ อะไรแบบนี้ ถ้าปีติสังเกตด้วยว่าแต่ล่ะลมหายใจมีปีติแตกต่างกันไปอย่างไรนะครับ
ขึ้นต้นมาเนี่ย เราแค่หายใจ อันนี้สมมุติเป็นการหลับตาทำสมาธิแบบคนทั่วไปนะ เราหายใจครั้งนี้เราเห็นอยู่ว่ามันมีความฟุ้งซ่าน มีความรู้สึกว่า เออ ในหัวเนี่ยมีอะไรปั่นๆ ป่วนๆ อยู่ อีกลมหายใจนึงตอนนี้มันสงบลง เกิดความรู้สึกว่ามันแตกต่างไป แค่เห็นความแตกต่างไปเนี่ยนะ มันดูเหมือนกับยังไม่เท่ ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นวิเศษ ยังไม่เกิดเป็นปรากฎการณ์มหัศจรรย์ แต่ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต! คือถ้าคุณเห็นไปเรื่อยๆ ลมหายใจต่อมา เออมันกลับฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก แล้วอีกลมหายใจนึงมันก็สงบลงไปอีก เห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่แค่นี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดมันเกิดความเคยชินขึ้นมาอย่างหนึ่ง คือ เคยชินที่จะรู้สึกถึงลมหายใจ โดยไม่ต้องฝืน โดยไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกดไม่ต้องข่มให้ตัวเองเนี่ยพยายามอยู่กับลมหายใจ แต่ร่างกายกับจิตใจเค้าทำงานกันเองร่วมกันเอง มีความจับมือประสานกันเอง ว่าหายใจขึ้นมาเมื่อไหร่มันเกิดความรู้สึกถึงลมหายใจ และเมื่อเกิดความรู้สึกถึงลมหายใจก็มีการเปรียบเทียบไปเรื่อยๆ ด้วยว่า ขณะนี้มันมีความฟุ้งซ่านหรือมีความสงบไปถึงไหนแล้ว
อย่างกรณีของคุณบอกว่า หนูนั่งสมาธิแล้วไม่เห็นอะไร มันนิ่งๆ เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร ก็ดูไป ว่าไอ้ที่มันนิ่งเฉยๆ นั้นน่ะ มันนิ่งอยู่นานแค่ไหน มันรู้สึกว่าในอาการนิ่งนั้นน่ะ สังเกตต่อไปได้ไหม ว่ามีความรู้สึกเบาๆ สบายๆ หรือว่ามีความอึดอัดอยู่ คือไม่ได้ถามเอาผิดเอาถูก ไม่ใช่ให้คะแนนตัวเองนะ แต่ถามเพื่อให้เปรียบเทียบว่าแต่ละลมหายใจ ไอ้ความนิ่งมันให้รสชาติแตกต่างกันไหม หรือว่ามันมีความเหมือนกันแค่ไหน
บางความนิ่ง นิ่งเหมือนกันเป๊ะเลยนะ แต่ว่ารู้สึกอึดอัด แต่อีกลมหายใจต่อมา หรือสักนาทีสองนาทีต่อมา มันยังนิ่งเหมือนเดิม แต่คราวนี้กลายเป็นความรู้สึกอีกแบบนึง มันโล่งๆ โปร่งๆ เบาๆ สบายๆ เปิดๆ กว้างๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ไอ้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เนี่ย คนมักจะไปให้คะแนน ว่าถ้าไม่มีความสุขแปลว่าไม่ดี ไม่สว่างแปลว่ายังไม่เจ๋ง ยังใช้ไม่ได้ ตอนนี้ได้คะแนนแค่ประมาณ ไม่ถึงห้า ไม่ถึงหก อะไรแบบนั้น พอไปให้คะแนนปุ๊บ มันลืมสังเกตแล้วว่า มันต่างไปเรื่อยๆ ในแต่ละลมหายใจ แม้แต่ความนิ่งก็เหมือนกัน พอไปล็อคอยู่กับความรู้สึกว่า นั่งสมาธิทีไรรู้สึกนิ่งๆ ไม่คิด มันก็ลืมสังเกตแล้วว่าคิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ลืมสังเกตขึ้นมาแล้วว่า ไอ้ที่นิ่งๆ มันต่างไปเมื่อไหร่ พอไม่สังเกตว่ามันต่างไปยังไงในแต่ละลมหายใจนะ อันนี้ไม่ใช่นั่งสมาธิแบบพุทธแล้ว มันนั่งสมาธิแบบอื่น นั่งสมาธิเพื่อที่จะเอานิ่ง หรือเอาคะแนน หรือเอาความเห็นจากคนอื่นว่ามันใช่หรือไม่ใช่
ถ้านั่งสมาธิแบบพุทธจำไว้นะ ที่จะเป็นสัมมาสมาธิได้ จิตมันจะตื่นขึ้นมารับรู้ไปอีกแบบนึงเลย ไม่มีมโนภาพในตัวตน ไม่มีความรู้สึกว่านี่เรากำลังนั่งสมาธิอยู่ นี่ฉันกำลังได้คะแนน ๔ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ มันจะมีแต่ความรู้สึกว่าสภาพธรรม มันต่างไปเรื่อยๆ ให้ดู เรามีหน้าที่แค่ดูแค่รู้แค่ยอมรับมันเฉยๆ ในแต่ล่ะลมหายใจ ไอ้ที่มันจะมีความอึดอัด มีความมืด มีความรู้สึกว่าทึบๆ มีความรู้สึกว่าไปต่อไม่ถูก มันก็แค่จิตแบบหนึ่ง พอลมหายใจนึงผ่านไป มันกลายเป็นความรู้สึกโปร่งๆ มันกลายเป็นความรู้สึกโล่งๆ คนส่วนใหญ่ก็ดีใจว่านี่ประสบความสำเร็จในการนั่งสมาธิแล้วนี่นั่งสมาธิได้ดีแล้ว ลืมสังเกตว่ามันแตกต่างกันยังไงนะ ในแต่ละลมหายใจ พอไม่ได้สังเกตปุ๊ปเนี่ย มันก็กลายเป็นหลงไปแล้วว่านี่ฉันดีขึ้น นี่ฉันแย่ลง มันไม่เป็นสัมมาสมาธิ
คนที่จะได้สัมมาสมาธินะ คือคนที่มีจิตยอมรับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมโนภาพของตัวตน หรือว่าคะแนนที่ได้จากการฝึกสมาธิมันหายไป หายไปจากจิตเลย เหลือแต่จิตที่มันแปรปรวนไปเรื่อยๆ ให้ดูอย่างนั้นเองนะครับ แม้แต่ปีติด้วยนะ
เมื่อกี๊ผมลืมพูดถึง อย่างเวลาที่มีปีตินะ ก็ให้สังเกตด้วยว่าปีติมันคงที่ในแต่ละลมหายใจไหม มันจะต่างไปเรื่อยๆ ถ้าสังเกตจะเห็นนะว่าปีติบางทีก็มีปีติแบบฉีดซ่าน บางทีมีปีติแบบขนลุก บางทีมีปีติในแบบตัวใหญ่ๆ เหมือนกับตัวมันพองขึ้นเป็นอึ่งอ่างอะไรแบบนั้น ปีติมีได้หลายแบบ แล้วแม้แต่ปีติแบบเดียวกันอย่างเช่นปีติแบบเย็นซ่านเนี่ย มันก็เย็นบางทีเย็นกว้างซ่านไปเหมือนกับน้ำพุฉีดไปทั่วไปรอบเลยนะ แต่บางทีก็เหมือนกับขึ้นมากะปริบกะปรอย เหมือนกับไอ้ตาน้ำที่ซึมออกมานิดๆ หน่อยๆ อะไรแบบนี้ ถ้าปีติสังเกตด้วยว่าแต่ล่ะลมหายใจมีปีติแตกต่างกันไปอย่างไรนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น