สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันอังคารที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ นะครับ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงครับ และอย่างที่ทราบกันแล้ว สำหรับการทักทายและไถ่ถามเข้ามาในรายการให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks ซึ่งตอนนี้ก็มีคำทักทายและคำถามส่งกันเข้ามาบ้างแล้ว
เสียงที่คุณกำลังได้ยินนี้ จริงๆไม่สดเสียทีเดียวแบบวิทยุนะครับ แต่จะช้ากว่านิดหน่อยไม่เกิน ๑๐ วินาที เท่าที่ผมทดลองมา เรียกว่าเราก็ยังอยู่ในเวลาเดียวกันนะครับ ผมยังไม่ใช่อดีตที่หายไปแล้ว หรือว่าไปทำอย่างอื่นแล้ว
คืนนี้ผมคิดว่าน่าจะนำเพลงมาเปิดนำรายการเสียก่อน เพื่อเป็นการรอให้หลายๆคนโหลดได้เสียงแรกประมาณเดียวกันกับที่ผมเริ่มพูด ก็ถ้าหากว่าได้ยินผมพูดแล้ว ก็ช่วยบอกด้วยนะครับ
เพลงที่เปิดให้ฟังคืนนี้คือเพลง ‘พุทธคุณ’ ซึ่งเคยเปิดให้ฟังแล้วตั้งแต่ออกอากาศครั้งแรก แต่นั่นเป็นเวอร์ชันที่ ‘ปาน-ธนพร แวกประยูร’ ขับร้องนะครับ นี่เป็นอีกเวอร์ชันหนึ่ง เสียงผู้ชาย และก็ขับร้องไว้ก่อนปานประมาณ ๑๐ ปี เสียงนี้คือเสียงของ ‘คุณโยธิน พรหมดี’ ครับ
เท่าที่ผมทดลองฟังออกอากาศสดของคนอื่น แม้ว่าด้วยสัญญาณสามจี ก็ฟังได้ตลอดรายการไม่สะดุด แต่เท่าที่ฟังเสียงตอบรับมาจากจากหลายๆท่านในเมืองไทย หลายคนยังมีปัญหาเรื่องเสียงสะดุด เว้นวรรค หรือขาดหายไปเป็นช่วงๆ นั่นก็ขอให้ถือว่าเป็นข้อเสียของวิทยุออนไลน์นะครับ ส่วนข้อดีนั้นเหลือคณานับเลย คือเราฟังเกือบๆพร้อมกันได้ทั่วโลก ความรู้สึกสดและอารมณ์ร่วมจากหลายจังหวัดหรือหลายประเทศนี่ น่าจะเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ได้เหมือนกัน จริงๆแล้วถ้าพูดถึงข้อดีนั้น หลังจากรายการออกอากาศจบไปแล้ว ถ้าพอใจ ก็สามารถดาวน์โหลดไฟล์เอ็มพีสามมาเก็บไว้ในเครื่องได้อีก ซึ่งใช้เวลารอเซิร์ฟเวอร์ทำไฟล์ไม่ถึงหนึ่งนาที หลังจากออกอากาศเสร็จนะครับ
๑) การที่หนูนำบทความของพี่ดังตฤณมาต่อยอด มาแต่งเป็นกลอน เพื่อมอบเป็นธรรมทานให้เพื่อนๆอ่านในเฟสบุ๊ค ถือเป็นการปฏิบัติธรรมหรือเจริญสติไปในตัวได้ไหม?
ก่อนอื่นขอให้เข้าใจเลยนะครับว่า การทำบุญมีอยู่ ๓ ระดับ
ระดับแรกคือ ‘การทำทาน’ การทำทานนี้หมายถึงการให้ การให้เปล่า การให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ การให้ด้วยความอยากที่จะให้คนอื่นเขาได้ดิบได้ดี หรือว่าได้สิ่งที่เรามีอยู่ไปเป็นประโยชน์กับเขา
ระดับที่ ๒ ของการทำบุญก็คือ ‘การรักษาศีล’ ถ้าหากว่าเราอยู่เฉยๆ ชีวิตเรียบง่ายเหลือเกินไม่มีอะไรมายั่วยุเย้าแหย่ และไม่ได้ผิดศีลเลย อันนั้นยังไม่ถือว่าถือศีลนะ ยังไม่ได้ถือว่ารักษาศีล แต่เป็นแค่ยังไม่มีอะไรมาพิสูจน์ใจ ถ้าจะถือว่ารักษาศีลหรือว่าถือศีล ต้องมีความตั้งใจไว้ก่อนล่วงหน้าว่า ‘เราจะไม่ทำบาปด้วยประการทั้งปวง’ ไม่ว่าจะฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดประเวณี โกหก หรือว่ากินเหล้า ยาบ้ายาอีอะไรต่างๆนะครับ ถ้าหากว่ามีเหตุยั่วยุแล้วเราไม่ประพฤติผิด ถือว่าเรารักษาศีลแล้ว
ส่วนอีกอันคือ ‘การเจริญสติหรือการบำเพ็ญภาวนา’ เพื่อที่จะทำทุกข์ทางใจให้สิ้นไปนะครับ อันนี้จะต้องดูเข้ามาที่กายใจนะ ดูเข้ามาที่กายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นของที่ไม่ใช่ตัวตน คือต้องทำไว้ในใจก่อนนะว่า ‘กายนี้กับใจนี้มันไม่มีอะไรที่เที่ยง และถ้าหากมันไม่เที่ยง เราก็ไม่สมควรที่จะพิจารณาอะไรเลยว่ามันเป็นตัวเป็นตน’
ถ้าหากว่าเราไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อน ไม่ได้ศึกษาไว้ก่อน มันไม่มีทางที่เราจะมองกายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนขึ้นมาได้ ต้องมีความเข้าใจเสียก่อน และความเข้าใจที่นำหน้านั้นเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’
เพราะฉะนั้น การที่เรานำบทความของใครมาแต่งเป็นกลอนหรือมอบเป็นธรรมทานนี่ ถือว่าเป็นการเจริญสติหรือเปล่า ต้องดูว่า ‘ขณะจิตนั้นๆเราเห็นอะไรบ้าง ในเวลาที่เรามอบของดีให้กับคนอื่น’
ถ้าหากว่าเราเห็นความรู้สึกชุ่มชื่นภายในใจของเรา แล้วความรู้สึกชุ่มชื่นนี้บางทีก็มากขึ้น ตื้นตัน ปีติ บางทีก็สว่างไสว และเดี๋ยวบางทีมันก็ค่อยๆแผ่วลงมา อ่อนลงมา หรือว่าโรยลงมา ไปคิดเรื่องอื่น เป็นความฟุ้งซ่าน เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับโลดแล่นไปในกิเลสอื่นๆ เห็นความไม่เที่ยงของจิตตัวเองไหม? เห็นความไม่เที่ยงของความสว่างจากการให้ทานไหม? ถ้าหากว่าเห็นนั่นแหละครับเรียกว่า ‘การเจริญสติ’ แต่ลำพังการให้เฉยๆ ยังไม่เรียกว่าเป็นการเจริญสตินะครับ นั่นถือว่าเป็นการทำบุญระดับทานเท่านั้น
๒) ใครร้องเพลง ‘พุทธคุณ’?
‘คุณโยธิน พรหมดี’ ครับ ก็อยู่ในแวดวงพวกเรานี่แหละ ผมก็รู้จักน้องโยธินมาประมาณ ๑๕ ปีได้ แต่ก่อนก็เคยร่วมวงขีดเขียนกันในเว็บบอร์ดธรรมะนี่แหละครับ
๓) เวลาอยู่กับคนหมู่มาก จิตจะส่งออกนอกไปหมดเลยครับ จะรู้ตัวบ้าง แต่นานมากๆกว่าจะรู้สึกตัวได้ทีหนึ่ง หรือบางทีก็ออกจากคนกลุ่มนั้นมาแล้ว ถึงมีสติรู้สึกตัวขึ้นมาได้ ปกติแล้วเมื่อได้นั่งเฉยๆ สติจะเกิดถี่มากครับ แต่เมื่ออยู่กับคนหมู่มาก ถึงจะนั่งเฉยๆก็เหมือนเหม่อ หรือว่าหลงไปอยู่ในโลกของความคิด เป็นเพราะว่ากำลังของสมถะไม่มากพอ หรือเพราะอะไรครับ ขอคำแนะนำด้วย?
การที่เราอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากนี่นะ ขอให้คิดง่ายๆก็แล้วกันว่า เราลงไปอยู่ในคลื่นทะเลที่โยกไปโยนมา เราไม่สามารถเลี้ยงตัวอยู่ได้นิ่งๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเราเป็นมือใหม่ในการฝึกว่ายน้ำ
แต่ถ้าหากว่าเรามีความนิ่ง หรือว่าตัวเราสูงพอที่จะหยัดยืนอยู่บนพื้นทรายนะครับ เราได้ที่มั่น เราได้ที่ตั้งแล้ว ถึงแม้ว่าคลื่นจะแรงสักหน่อยก็ไม่เป็นไร เราสามารถที่จะทรงตัวอยู่ได้
อันนี้ฉันใดก็ฉันนั้นครับ จิตนะครับ ถ้าหากว่าเราลองมองเป็นน้ำซักกลุ่มหนึ่ง เป็นน้ำที่อยู่ในตัวเรา แล้วไปปนกับคลื่นน้ำภายนอกที่โยกไปโยนมา เป็นกลุ่มน้ำที่แรงกว่าเรา แล้วก็มีความสั่นสะเทือนถึงเราได้ เราไม่มีเกราะ เราไม่มีความแข็งแรงพอ นี่ก็แน่นอนครับ คลื่นน้ำในเราก็ต้องโยกโยนตามไป มันเป็นไปได้ยากที่จะไม่ให้โยกโยนไปนะครับ อันนั้นแหละที่คุณพูดถึงคำว่า ‘สมถะ’
ถ้าหากว่ามีสมถะแข็งแรง หมายความว่า คลื่นจิตของเราจะมีความเสถียร มีความนิ่ง มีความสามารถที่จะดำรงคงอยู่ ทรงตัวอยู่ในภาวะที่ไม่คลอนแคลน ก็จะสามารถอยู่ท่ามกลางคลื่นรบกวนภายนอก ไม่ว่าจะอยู่ในท่ามกลางคนหมู่มากซักเท่าไร เราจะสามารถเห็นได้ว่า ‘จิตของเราไม่แปรปรวนตามคลื่นรบกวนภายนอก’
แต่ถ้าหากว่าเราจำเป็นต้องไปอยู่ท่ามกลางหมู่คนที่เค้ามีความฟุ้งซ่านมากๆ หรือมีคลื่นโทสะแรงมากๆ หรืออาจจะคุยเรื่องเพ้อเจ้อ คุยเรื่องละเม็งละคร คุยเรื่องวิจารณ์คนโน้นคนนี้ หูเรานี่ต้องได้ยินเขามา ถ้าใจเรายังไม่แข็งพอก็ยอมรับไปก่อน ยอมรับตามจริงว่าได้ยิน แล้วเกิดความรู้สึกปั่นป่วน เกิดความรู้สึกว่าฟุ้งซ่านตาม ถึงแม้ว่าใจเราจะไม่ยินดีในคำนินทาว่าร้าย ไม่ได้ยินดีในการพูดไร้สาระเพ้อเจ้อของคนอื่นๆนะครับ แต่ใจเราก็ต้องปั่นป่วนไป ถูกกระทบให้มีความฟุ้งซ่านตามไปด้วย อันนี้ต้องยอมรับตามจริงเสียก่อน เพื่ออะไร? เพื่อที่จะเห็นตามจริงว่า ‘คลื่นความปั่นป่วนของเรา ณ ขณะที่มันถูกรบกวนได้ มีความรุนแรงแค่ไหน’
ถ้าหากว่าเราสามารถตั้งต้นเห็นได้ว่า ‘ความฟุ้งซ่านของเรามีอยู่เท่าไร’ ตรงนั้นเราจะนับว่าเราไม่หลงเข้าไป ไม่จมเข้าไปในอาการฟุ้งซ่านแล้ว เปรียบเหมือนกับว่า ถ้าเราอยู่ในทะเล ทะเลตื้นๆ แต่ว่าเท้าเรายังยืนไม่ถึงพื้น เราสามารถที่จะรับรู้ได้หรือเปล่าว่าตัวเราโยกโยนไปแค่ไหน ถ้าหากว่าเราไม่รู้ เราเอาแต่ตะกายหรือพยายามที่จะหลบหนีคลื่น ก็ยิ่งไปกันใหญ่ มันก็ยิ่งมีความกระสับกระส่ายทั้งทางกายและทางใจนะครับ พูดง่ายๆว่า กระสับกระส่ายอยู่แล้ว บวกความกระสับกระส่ายอันเกิดจากความอยากจะหายกระสับกระส่ายเข้าไปอีก
ถ้าหากว่าครั้งต่อไป ทดลองดู เมื่อเราอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วรู้สึกมึนๆป่วนๆนะครับ เพราะว่ามันแตกต่างจากตอนที่เราอยู่คนเดียวนิ่งๆ ให้ยอมรับตามจริงว่า ตอนนี้เราปั่นป่วนอยู่
เมื่อยอมรับตามจริงว่าปั่นป่วนอยู่ ลองหายใจทีหนึ่งนะครับ หายใจทีหนึ่งครั้งนั้นด้วยความยอมรับว่ามีความปั่นป่วนอยู่ในหัว มีความรวนเร มีความกระอักกระอ่วนอึดอัดอยู่ในอก
แล้วต่อมาลมหายใจนั้นหายไปแล้ว หายใจเฮือกต่อมา หายใจตามสบายตามที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่ไปเร่งลมหายใจ เรียกลมหายใจเข้ามา เอาตามจังหวะของร่างกาย ตามธรรมชาติธรรมดาของร่างกายว่า ‘ต้องการลมหายใจครั้งต่อไปเมื่อไร เราก็ค่อยหายใจเข้ามาเมื่อนั้น’ หายใจครั้งที่สองนี่สังเกตดูว่า ‘คลื่นความปั่นป่วนคลื่นความฟุ้งซ่านนี่ยังเท่าเดิมกับลมหายใจเมื่อครู่นี้หรือเปล่า’
ถ้าหากว่าเราใช้ลมหายใจเป็นตัวแบ่ง เป็นจุดสังเกตนะครับว่า ขณะเมื่อครู่ที่ผ่านมากับขณะนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไรในความฟุ้งซ่าน คุณจะเห็นว่า ครั้งแรกมีความมึนมาก มีความรู้สึกเบลอๆ มีความรู้สึกเหมือนกับปั่นป่วน ค่อนข้างจะรุนแรง แต่หายใจครั้งที่สองนี่ ตอนนี้มันมีสติขึ้นมาแล้ว สตินี่แหละครับ จะทำให้คลื่นความปั่นป่วนลดลงตามธรรมชาติ
และสตินี่แหละ มันก็จะเห็นว่า จิตของเราเองมีความปั่นป่วนน้อยลง มีความมัวหมองน้อยลง มีความตามคลื่นของคนอื่นที่เค้ากำลังซัดแรงน้อยลง ตัวเห็นน้อยลงนี่แหละ ที่เขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง’ เห็นความไม่เที่ยงแบบอ่อนๆ
ถ้าหากว่าเรายังไม่หยุดนะครับ ลมหายใจเข้าครั้งต่อไป เอาตามธรรมชาตินะ อย่าไปเร่งนะ อันนี้สำคัญมากเลยนะครับ เอาลมหายใจที่เกิดขึ้นนะ เข้าแล้วก็ออกตามธรรมดา ตามธรรมชาติปกตินี่แหละ เป็นตัวแบ่ง เป็นจุดสังเกตว่าคลื่นความฟุ้งซ่าน คลื่นความปั่นป่วนเรรวนในตัวเรานี่มีเท่าเดิมหรือเปล่า มันเข้มขึ้นหรือว่าอ่อนแรงลงนะครับ ถ้าหากว่าเราเห็นความไม่เที่ยงไปเรื่อยๆถึงจุดหนึ่งนะ คุณจะรู้สึกว่าตัวเราหายไป มีแต่คลื่นความปั่นป่วน มีแต่คลื่นความฟุ้งซ่านอันเกิดจากคลื่นกระแทกภายนอกมารบกวน จากนั้นคุณจะรู้สึกถึงสติที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จิตมีความตั้งมั่น มั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ ทรงตัวได้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดนั้น คุณจะมีความรู้สึกว่า คลื่นความปั่นป่วนภายในของเราหายไป เหมือนกับว่ามีเกราะ มีกำบัง มีสุญญากาศระหว่างเรากับโลกภายนอก ถึงแม้ว่าเรายังสามารถรับรู้ได้ว่าโลกภายนอกเต็มไปด้วยความปั่นป่วนไม่ต่างไปจากเดิมแม้แต่น้อย แต่ว่า ‘ใจของเรา’ เริ่มมีสุญญากาศจากมันแล้วนะครับ ลองไปทำดู
๔) ฟุ้งซ่าน เจริญสติไม่ได้เลย สติหายไปเป็นวันๆ ขอเคล็ดลับ?
ฟุ้งซ่านนี่นะครับ ไม่ใช่เราจะมีอุบายวิธีอะไรอย่างหนึ่งไประงับได้ง่ายๆ เพราะว่าถ้าต้นเหตุยังคงมีอยู่ ยังมีแหล่งกำเนิดความฟุ้งซ่านอยู่ โอกาสที่เราจะไปดับความฟุ้งซ่านด้วยวิธีใดๆ เป็นไปได้ยาก เปรียบเหมือนกับมีพัดลมที่คอยเป่ากระดาษเป่านุ่นให้ฟุ้งกระจายเต็มห้อง เราจะมาเก็บนุ่นเก็บกระดาษให้เข้าที่เข้าทางไปเดี๋ยวก็โดนพัดลมเป่าอีกนะครับ
ทางที่ถูกคือ เราต้องกันตัวเองออกมาจากพัดลมเสีย หรือว่าหรี่พัดลมลงเสีย หรือไม่ก็ปิดพัดลม ถ้าปิดได้ ก็ปิดเสีย
สังเกตง่ายๆก็แล้วกัน ตอนตื่นเช้าขึ้นมาเราจะฟุ้งซ่านจากความฝันที่เพิ่งผ่านมานะครับ จากนั้นความฝันจะต่อยอดไปเป็นความจริง ความจริงที่เรากำลังอยากที่จะได้อะไรในวันนั้น แล้วมีอะไรที่ยังคาใจเป็นความโลภ ความโกรธหรือความหลงนะครับ ถ้าหากว่าสามารถเห็นได้ถึงต้นตอของความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นจากกิเลส เราก็จะสามารถที่จะลดกิเลสนั้นลงได้ทันที
จำไว้เป็นหลักเลยนะครับ คุณเห็นกิเลสอะไร กิเลสตัวนั้นจะอ่อนกำลังลง ณ เวลานั้น ถ้าหากว่าคุณเห็นกิเลสบ่อยๆ มันก็จะอ่อนกำลังลงบ่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดนี่อ่อนกำลังลงมากเกินกว่าที่จะผลิตความฟุ้งซ่านขึ้นมาได้ อันนี้ก็เป็นอีกเคล็ดวิธีหนึ่ง นำไปทดลองทำดูนะครับ เป็นการต่อสู้กับความฟุ้งซ่านตรงๆที่ต้นเหตุครับ
๕) ทำอย่างไรจะรู้ตัวว่าเหงา? ความเหงาช่วยฝึกสติได้ไหม หมายถึงนำความเหงามาใช้เป็นอุปกรณ์ในการเจริญสติได้ไหม?
ที่จะรู้ตัวว่าเหงา เป็นคนขี้เหงาหรือเปล่านี่นะครับ ถ้าสังเกตจากทางกายแบบง่ายๆเลยคือ ‘จะตัวงอบ่อยๆ’ ลองสังเกตดู คนขี้เหงาจะไม่ค่อยนั่งตัวตรง จะไม่ค่อยนั่งอย่างมีสติเท่าไหร่ จะนั่งด้วยแรงกดของความเหงา แล้วความเหงานี่มีน้ำหนักนะ ทำให้เราซึมๆ เหมือนกับอยากก้มหน้าก้มตามากกว่าที่จะเงยหน้า อยากที่จะงอตัวมากกว่าที่จะนั่งตัวตรงนะครับ
เมื่อกี้พูดถึงรูปธรรมที่เป็นภายนอก คราวนี้มาพูดถึงนามธรรมที่เป็นภายใน ความรู้สึกของคนขี้เหงานี่นะครับ จะมีอาการห่อเหี่ยวบ่อย พูดง่ายๆว่า จิตใจโน้มเอียงไปทางหดหู่ ทั้งๆที่ไม่มีอะไรบีบให้ต้องหดหู่นะครับ อย่างสมมติว่า ถ้าเรามีบุคคลอันเป็นที่รักเสียชีวิตไป อันนั้นสมควรที่จะหดหู่นะ สำหรับปุถุชนธรรมดาที่ยังมีกิเลสอยู่ มันมีเหตุบีบให้หดหู่ แต่คนขี้เหงานี่ไม่ต้องมีเหตุภายนอกมาบีบ ก็สามารถที่จะบีบตัวเองให้เข้าสู่อาการหดหู่ได้ ก็ลองสังเกตแล้วกัน ใจที่หดหู่นี่จะเซื่องซึม ไม่อยากทำอะไร จะรู้สึกเปลี่ยว จะรู้สึกเดียวดาย รู้สึกเหมือนกับว่าทั้งจักรวาลนี้มีเราอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมายแค่ไหน หรือกระทั่งว่าเราแกล้งหัวเราะ แกล้งยิ้ม แกล้งทำหน้าตาดีๆยังไงก็แล้วแต่ แต่ข้างในใจ ยังไม่หายห่อเหี่ยว ยังไม่หายหดหู่นะครับ
วิธีที่จะฝึกเจริญสติเห็นความเหงา หรือว่าต่อสู้กับความเหงา มันไม่ได้มีตัวที่เป็นเคล็ดวิธีกำจัดความเหงาโดยเฉพาะ แต่เป็นเคล็ดวิธีแบบครอบจักรวาลที่จะป้องกันไม่ให้เกิดกิเลส ไม่ให้เกิดช่องว่างของช่องเว้นวรรคของสติ ไม่ให้เกิดเป็นช่องโหว่ที่จะทำให้ข้าศึกโจมตีเราได้ นั่นก็คือ ‘เราจะต้องมีสติอยู่กับอารมณ์ที่ไม่เป็นโทษ’
อารมณ์ที่เป็นคุณ ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำอย่างที่สุดเลยก็คือ ให้ใช้ลมหายใจ แต่ไม่ใช่ไปเพ่งเอาลมหายใจนะ แค่ระลึกเอา ระลึกว่า ‘ในขณะนี้เรากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่’
สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่คุ้นกับการอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องตั้งของสติ ก็ขอให้คิดถามตัวเองง่ายๆว่า ‘ขณะนี้เราหายใจเข้าหรือหายใจออก?’ ถามนี่ไม่ใช่จะเอาสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะบีบให้ตัวเองหยุดฟุ้งซ่าน แล้วก็ไม่ใช่จะตั้งใจว่าจะเอาสมาธิฌานญาณอะไร แต่ถามเพื่อเอาความรับรู้เข้ามาในปัจจุบันนะครับ ดึงตัวเองกลับเข้ามาสู่ความเป็นปัจจุบันว่า ‘ในขณะนี้มีลมหายใจเข้าหรือลมหายใจออกให้ดู’ ถามตัวเองครั้งเดียวพอ รู้ครั้งเดียวพอ แต่ถามให้บ่อยๆ รู้ให้บ่อยๆ ไม่ต้องต่อเนื่องนะครับ แต่ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะนึกได้
เมื่อบ่อยที่สุดเท่าที่จะนึกได้แล้วเกิดอะไรขึ้น? คุณจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองนี่นะ ใจตัวเองมีลมหายใจเป็นเพื่อน แต่เดิมใจไม่มีอะไรเป็นหลักยึดเหนี่ยวเลย เหมือนกับไม่มีเพื่อน เหมือนกับไม่มีใคร แล้วก็คิดไปต่างๆนานา คิดไปถึงภาวะความเปล่าเปลี่ยว แล้วก็ภาวะอยู่คนเดียว ภาวะที่ไม่น่าอภิรมย์นักสำหรับชาวโลกทั่วไป
แต่ถ้าหากคุณถามตัวเองได้บ่อยๆว่า ‘กำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก?’ แล้วสังเกตด้วยว่า ‘หายใจเข้าและหายใจออกนั้น บางทีมันก็สั้น บางทีมันก็ยาว’ เท่านี้ เพียงเท่านี้นั้นง่ายๆแต่ได้ผล ใจคุณจะรู้สึกเหมือนมีเพื่อน ใจคุณจะรู้สึกเหมือนมีหลักให้ยึดเกาะ ตอนแรกๆที่ทำจะไม่เห็นผลหรอก แต่พอทำไปเรื่อยๆ ทำไปบ่อยๆ จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เออ แทนที่เราจะเสียเวลาไปเหงา เราเอาเวลามาสังเกตว่า ขณะนี้หายใจเข้าหรือหายใจออก หายใจสั้นหรือหายใจยาว มันได้ประโยชน์ ได้ความสดชื่นจากลมหายใจ ได้ความรู้สึกว่าเรามีอะไรทำ ได้ความรู้สึกว่า ‘อ้อ!’ เนี่ย
จุดสังเกตที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ‘อะไรๆมันไม่เที่ยง’ ดูได้จากลมหายใจของเราที่เข้าออกตลอด ๒๔ ชั่วโมงนี่เอง มันปรากฏอยู่ตลอดเวลานะครับ เดี๋ยวก็เข้า เดี๋ยวก็ออก เดี๋ยวก็ยาว เดี๋ยวก็สั้น
ถ้าหากว่าเรารู้ไปเรื่อยๆ ภาวะทางใจของเราจะปฏิวัติตัวเอง ปฏิรูปตัวเอง เปลี่ยนจากภาวะที่หดหู่เองได้ บีบคั้นตัวเองให้เข้าสู่ความเหงาเองได้ มาเป็นมีความรู้สึกเหมือนเบิกบาน มีความรู้สึกเหมือนสดชื่น มีความรู้สึกเหมือนตื่น มีความรู้สึกเหมือนสามารถรับรู้อะไรๆก็ได้ โดยไม่ปล่อยให้สูญเปล่านะครับ คิดว่าน่าจะนำไปลองทำดู แล้วได้ผลยังไงก็ลองถามกลับมาอีกทีก็ได้นะครับ
บางคนรายงานมา ‘ทำไมคอมที่บ้านวันนี้ สัญญาณขาดๆหายๆบ่อยจัง?’ เมื่อช่วงค่ำนี้ พี่ก็ลองดูว่าสัญญาณสามจีนี่รับได้นานแค่ไหน ก็ตลอดครึ่งชั่วโมง ทดลองฟังของคนอื่นที่เขาออกอากาศสด ก็ใช้ได้นะ มันคงเป็นที่ค่ายด้วยมั้ง ช่วงนี้ก็มีคนบ่นนะ บางค่ายนี่คืออินเตอร์เน็ตอาจไม่ค่อยดีเท่าไร ก็ลองถามๆกันดูเองก็แล้วกันนะครับว่า ค่ายไหนที่มีความเสถียร ค่ายไหนที่อาจจะพร่องๆไปบ้าง
เอาล่ะ เหลือเวลาอีกครึ่งนาที ก็คงต้องล่ำลากันที่ตรงนี้นะครับ แล้วเดี๋ยวเราพบกันใหม่ ขอดูอีกทีพรุ่งนี้อาจจะไม่ได้ แต่คืนต่อๆไป เดี๋ยวก็กลับมาพบกันใหม่ คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ ขอบคุณมากที่ติดตามฟังกันนะครับ
« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น