วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๑.๗๙ ชาติแรกสุด มีจุดเริ่มต้นอย่างไร?

ถาม :  ก่อนที่เราจะมาวนเวียนในวัฏสงสาร ก่อนที่จะเริ่มมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกของโลก อยากทราบว่า ปฐมบทของจิตก่อนที่จะปรุงแต่งให้เรามีรูปร่างขึ้นมา เราอยู่ที่ไหน? สมมติว่าเราพยายามที่จะทำจิตให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏแล้วในชาตินี้ ณ เวลาหนึ่ง เราก็ต้องถูกผลักมาอยู่ในสังสารวัฏอีกหรือไม่?
รับฟังทางยูทูป : http://youtu.be/8BL2q5DZJQo


ดังตฤณ: 
 

คำถามนี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจหลายต่อหลายคนเลย เพราะเราอยู่ในโลกที่มันจะต้องมีจุดเริ่มต้น มันจะต้องมีจุดสิ้นสุดให้เห็นด้วยตา แต่ในความเป็นจริงนี้ ในระดับของสังสารวัฏนี้ ในระดับของอนันตจักรวาลนี้ มันเป็นอะไรที่ลึกลับกว่านั้น เอาง่ายๆคิดง่ายๆนะครับ ไม่มีใครหรอกที่สามารถจะเห็นจักรวาลได้ด้วยตาเปล่า อย่างที่เราเห็นกันด้วยกล้องโทรทรรศน์ จะด้วย กล้องแรงสูงขนาดฮับเบิล (Hubble) อะไรก็แล้วแต่ มันเป็นการเห็นแค่มุมมองหนึ่ง

ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่า มวลจักรวาลหายไป ๙๖ เปอร์เซ็นต์ ๙๖ เปอร์เซ็นต์นั้น เรียกไปพลางๆว่าเป็นดาร์กแมตเทอร์ (Dark matter) เป็นมวลสารที่เป็นสสารมืด ไม่สามารถที่จะทราบได้ด้วยตา ว่ามันมีอยู่ รู้แต่ว่าถ้าคำนวณด้วยหลักของฟิสิกส์ระดับจักรวาลแล้ว สามารถรู้ได้ว่ามันมี ในจักรวาลที่เราเห็นว่ามืดๆมีแต่กาแล็กซี มีแต่ดวงดาว มีอะไรซ้อนอยู่ในนั้นเยอะแยะไปหมด

ถ้ามองว่าจุดเริ่มต้นของจักรวาลอยู่ตรงไหน แค่นี้ก็เถียงกันไม่รู้จบแล้ว ทฤษฎีที่คนยอมรับกันมากที่สุดก็บิกแบง (Big Bang) แต่ก็พยายามหาข้อค้าน จักรวาลก็มีอยู่อย่างนี้มานานแล้ว ก็จะมีอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆนั่นแหละ มีการขยายตัวหรือว่ามีการยุบตัว ก็เถียงกันไป แต่เรื่องของสังสารวัฏมันซับซ้อนยิ่งกว่าจักรวาลที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเสียอีก

อย่างปัจจุบันที่เริ่มเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกกำลังมองกัน ก่อนที่จะมีกาลเวลากับอากาศ เหมือนอย่างกับปัจจุบันนี้ มีแต่แรงดึงดูด มีแต่แรงโน้มถ่วง พูดง่ายๆว่า ที่เราจะเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งไม่ได้ เพราะว่าไม่มีอวกาศ เพราะว่าไม่มีอากาศ มีแต่แรงโน้มถ่วง มีแต่แรงดึงดูด ซึ่งคนทั่วไปแค่นั้นก็จินตนาการไม่ออกแล้ว หน้าตามันเป็นอย่างไร ก่อนเกิดจักรวาลมีแต่แรงโน้มถ่วง นักวิทยาศาสตร์ สตีเฟน ฮอว์คิง’ (Stephen Hawking) นี่ เขาเป็นพวกที่ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ก็บอกว่าจักรวาลเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีอะไรมาก็ได้ นอกจากแรงโน้มถ่วง หรือว่าแรงดึงดูดที่เป็นขั้นปฐม

พูดง่ายๆว่า นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความบังเอิญ บังเอิญมี บังเอิญเป็น นี่เก่งที่สุดในโลกนะ คิดได้มากที่สุดแล้ว แต่ถ้าหากว่าเราไม่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเรื่องของรูปธรรมอะไรเลย แล้วเราคิดเอาว่าสังสารวัฏมันเริ่มต้นขึ้นที่ไหน ภพชาติเริ่มต้นขึ้นที่ไหน จะเถียงกันไม่รู้จบเลย เพราะว่าในที่สุดเราก็ยังต้องบอกว่าถ้าหากเชื่อว่ามีอดีตชาติ ก็แปลว่าจะต้องมีชาติเริ่มต้น มันไม่มีทางหรอกว่าอยู่ๆนี่จะมีอะไรเกิดขึ้นวนเวียนไปวนเวียนมาอยู่แบบนี้โดยไม่มีจุดเริ่มต้น ความฟุ้งซ่านจะพาเราไปติดที่จุดนั้น

เวลาที่มีคนทูลถามคำถามนี้กับพระพุทธเจ้า ท่านเลยตรัสว่า อย่าไปคิด ชาติแรกในแบบนั้นมันไม่มีหรอก คิดให้ตายอย่างไร คิดให้หัวแตกอย่างไร ก็ไม่มีทางได้คำตอบ เพราะแม้แต่ พระสัพพัญญุตญาณ คือ ญาณที่หยั่งรู้ทุกสิ่ง ซึ่งมีได้ เป็นอภิสิทธิ์เฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ท่านยังบอกเลยว่าส่องไปแค่ไหนๆก็ไม่เห็นจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏ มีแต่ว่า ส่องไปเข้าวงจรปฏิจจสมุปบาท เดิมนั่นแหละ คือมีความหลงผิด มีความไม่รู้ แล้วก็มีพฤติกรรมการสั่งสมบุญ การสั่งสมบาป ในแต่ละชาติ พอสิ้นชาติ สิ้นภพ กองบุญ กองบาปที่สั่งสมมานั้นก็วัดรวมกัน วัดน้ำหนักกัน งัดข้อกัน ใครจะชิงตัวไปสุขคติ ใครจะชิงตัวไปทุกข์คติได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้

ถ้าหากว่า มีชาติแรกขึ้นมาแล้ว แปลว่า วงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ไม่ใช่ของจริง จุดเริ่มต้นไม่ต้องมีการสั่งสมบุญ ไม่ต้องมีการสั่งสมบาปก็ได้ อยู่ๆเกิดขึ้นเลย จิตเกิดขึ้นเลย แต่นี่จิตอันเป็นปฐมจิตของแต่ละชาติ เกิดขึ้นมาจากการบันดาลของกรรมในอดีต คือถ้าหากว่าเราสั่งสมกองบุญไว้มาก มีน้ำหนักมากกว่ากองบาปในชาติที่แล้ว กองบุญนั้นก็จะเนรมิตจิตขึ้นมา จิตใหม่ซึ่งเป็นจิตของมนุษย์ มีสำนึกแบบมนุษย์ มีความสามารถคิดอ่านแบบมนุษย์ ประกอบพร้อมทั้งร่างกายแบบมนุษย์ ที่สามารถจะมารับรู้อะไรๆมีประสบการณ์ตรงแบบมนุษย์ได้ ก่อกรรมแบบมนุษย์ได้ อย่างที่พวกเรากำลังเป็นอยู่

แต่ถ้าอยู่ๆมีชาติแรก ไม่ได้มีบุญ ไม่ได้มีบาปเป็นตัวนำมาเลย จะตัดสินอย่างไร จะให้เป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก เป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือเป็นพรหม มันตัดสินกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลยตรัสตอบว่า จุดเริ่มต้นของภพชาติ ก็คือ ความไม่รู้ หรือที่เรียกว่า อวิชชา เพราะว่ามีอวิชชา มันถึงมีการสั่งสมกองบุญ กองบาปกันได้ และเมื่อมีการสั่งสมกองบุญ กองบาปแล้ว สิ้นภพสิ้นชาติแต่ละครั้งก็จะมีการตัดสินกัน พิพากษากันว่า ใครจะได้ไปดี ใครจะได้ไปร้าย

เรื่องมันวนเวียนอยู่แบบนี้ เป็นวงกลม เหมือนกับที่เราไม่สามารถเห็นได้ว่า จุดเริ่มต้นของวงกลมมันเริ่มจากตรงไหน ถ้ามองเป็น จะมองเป็นวิทยาศาสตร์ จะมองเป็นปรัชญา หรือว่าจะมองเป็นด้วยวิธีคิดฟุ้งซ่านก็ตามนะครับ ในที่สุดเราจะมาติดอยู่ตรงความไม่รู้จริงนั่นแหละ

พระพุทธเจ้าที่ท่านรู้จริง จะแจ้งแทงตลอดแล้วนี่ ท่านตรัสว่าเบื้องต้นอันเป็นเค้าเงื่อนของสังสารวัฏไม่มี ไม่มีให้เห็น ไม่ปรากฏให้เห็น ด้วยพระสัพพัญญุตญาณนะ ที่รู้ดีที่สุดแล้วนี่ ไม่มีใครสามารถบำเพ็ญบารมีให้รู้ได้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้วนี่ พระพุทธเจ้าท่านยังตรัสว่าไม่มีให้รู้ คือไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้นะ แต่ไม่มีให้รู้ เหมือนกับเงื่อนปลายของสังสารวัฏนี่ สัตว์ทั้งหลายก็เวียนว่ายตายเกิดกันไปเรื่อยๆนั่นแหละไม่มีที่สิ้นสุดหรอก หรือเหมือนกับที่สิ้นสุดของสังฆทานนี่ มีอยู่สองอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่ปรากฏให้รู้ ก็คือ เงื่อนต้นกับเงื่อนปลายของสังสารวัฏ เบื้องต้นกับเบื้องปลายของสังสารวัฏ แล้วก็ผลของสังฆทานนะครับ มันไม่มีที่สิ้นสุดมันไปเรื่อยๆเลย

คือทำสังฆทานนี่ ถ้าทำด้วยประกอบพร้อมด้วยจิตที่เป็นกุศล ได้ทรัพย์ที่เอาทำสังฆทานได้มาโดยชอบธรรมเป็นของตัวเองโดยบริสุทธิ์ และผู้รับเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าทำแล้วก็ไม่มีที่สิ้นสุด ผลนี่ถ้าพูดง่ายๆว่า เอาที่ชัดที่สุดก็ เหนี่ยวนำให้เราอยู่บนเส้นทางได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ ในพุทธศาสนาอีก คือไม่ใช่พระพุทธเจ้ามีพระองค์เดียว มีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ นับได้เท่าเม็ดทรายในท้องสมุทร ท่านตรัสไว้อย่างนั้น พระพุทธเจ้ามีมากขนาดนั้น แต่ขนาดว่ามีพระพุทธเจ้ามากขนาดนั้นนี่ แต่ละพระองค์ก็เกิดห่างกันเป็นกัปเป็นกัลป์ ไม่ใช่จะมาอุบัติกันบ่อยๆนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น