ถาม : เรื่องของฤกษ์ยามต่างๆเช่น
ฤกษ์แต่งงาน ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ฤกษ์ออกรถ รวมถึงปีชง สีที่ถูกโฉลก
ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า และในสมัยพุทธกาลนี่
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้างนะ?
รับฟังทางยูทูบ https://youtu.be/WUJrz5Mfr_g
รับฟังทางยูทูบ https://youtu.be/WUJrz5Mfr_g
ดังตฤณ :
พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้ตรงๆ
แต่เคยมีพระเถระรูปหนึ่งนะบอกไว้ว่า ถ้าความพยายามของมนุษย์นี่นะ เป็นชาดก
บอกว่าความพยายามของมนุษย์นี่ แม้แต่เทวดาก็ไม่สามารถทำนายผลได้
ว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไร คือในความหมายที่ว่า ถ้ามีดวงจากท้องฟ้าบอกไว้แล้วว่า
เดี๋ยวฝ่ายหนึ่งจะรบชนะ เอ้อ อีกฝ่ายรบชนะ
พอรู้เข้าก็เกิดความเหลิงแล้วก็ไม่เตรียมตัวให้ดีนะ
ฝ่ายแพ้นี่ก็นึกว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว ไหนๆจะต้องแพ้ก็พยายามเต็มที่
ปรากฏว่าผลออกมา ฝ่ายที่เตรียมตัวและถูกทำนายว่าจะแพ้นี่ กลับเป็นฝ่ายชนะเสียนะ
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้เกี่ยวกับเรื่องของฤกษ์งามยามดีนะครับว่า เมื่อใดที่คิดดี เมื่อใดที่พูดดี เมื่อใดที่ทำดี เมื่อนั้นแหละ เป็นฤกษ์ของความดีในตัวเองนะ ไม่ต้องไปสนใจว่าดวงดาวให้จังหวะให้ผลหรือยัง ในแง่ของกรรมดีนะ แต่ในแง่ของการออกหัวออกก้อยว่า วิบากจะให้ผลดีผลร้ายอย่างไรนี่ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ตรัสถึง แต่จะพูดไว้กว้างๆนะครับว่า ถ้าวิบากจะให้ผลนี่ ก็จะส่งผลให้ชัดเจนตั้งแต่แรกเกิดเลยทีเดียวแหละ ว่าจะต้องมาอยู่กับพ่อแม่คู่ไหนนะ จะต้องมามีภาวะที่หยาบหรือประณีตนะครับ ว่าจะโชคดีโชคร้าย คือมีชะตาอย่างไรนี่ ถูกวางแผนไว้โดยวิบากเก่าที่ทำมาทั้งชาติในอดีต ไม่ใช่ว่าทำแป๊บๆ แล้วจะเกิดมาเป็นอย่างไรอย่างหนึ่ง
เช่นกันนะครับคือหลายคนเข้าใจว่า ทำบุญอะไรอย่างหนึ่งแล้วจะไปล้างกรรม หรือว่าไปทำให้อะไรๆมันดีขึ้นได้ แบบเห็นผลทันตา อันนี้ก็เป็นความเข้าใจที่ผิด มันไม่มีที่ทำบุญปุ๊บ ทุกอย่างสามารถถูกแก้ถูกล้างได้ เพราะอย่างบางคนนี่ไปทรมานนักโทษ ไปทรมานผู้คนไว้ทั้งชีวิตด้วยความสนุกสนาน เสร็จแล้วเกิดมา คืออาจจะเวียนว่ายตายเกิดในอบายภูมิมา ไม่รู้กี่ขุมน่ะนะ กว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งด้วยบุญที่เคยทำไว้ก่อน ก็คงไม่มีใครคาดหมายน่ะนะครับว่า คนที่ทำกับคนอื่นไว้ทั้งชีวิตนี่ พอมาทำดี ทำสังฆทานแค่ครั้งสองครั้ง หรือว่าปล่อยสัตว์ ปล่อยปลาแค่ตัวสองตัว แล้วจะไปลบล้างการที่เคยทรมานนักโทษ หรือว่าทรมานผู้คนด้วยความสนุกสนานไว้ทั้งชาติได้ ก็ภาพมันไม่เสมอกัน
ลองนึกเป็นภาพที่ชั่วนาตาปี เป็นสิบๆปี ยี่สิบปี นี่นะ เอาอะไรต่อมิอะไรไปทิ่มแทงให้คนเขามีความเจ็บปวด ให้เลือดสาด เสร็จแล้วจะมาปล่อยปลาตัวสองตัวนี่มันย่อมไม่ได้น้ำหนักเดียวกันแน่นอน
ทีนี้คือถ้าพูดถึงในเรื่องฤกษ์ยามนะ ถ้าหากว่าเรามองเรื่องโหราศาสตร์ที่แม้แต่ในสมัยพุทธกาลนี่นะ ที่พระพุทธเจ้าประสูติมา ก็มีการให้โหราจารย์ หรือผู้ที่มีความสามารถในการพยากรณ์ลักษณะ ก็ยังมีนะที่บันทึกว่า นี่เป็นลักษณะของมหาบุรุษ ที่จะต้องได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือไม่ก็เป็นพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งนะ
พระโกณฑัญญะ ท่านเป็นเหมือนกับเป็นผู้ทำนายโหงวเฮ้งน่ะ พูดกันให้เข้าใจง่ายๆเลย ผู้ทำนายโหงวเฮ้งคนเดียวที่ฟันธงเลยว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่มีทางเป็นพระเจ้ามหาจักรพรรดินะครับ อันนี้ก็คืออาจจะมาเทียบเคียงได้ว่าเรื่องฤกษ์ยาม เรื่องของลักษณะนะ รูปลักษณะ รูปโฉมโนมพรรณ อะไรต่างๆนี่ มันมีส่วนบอกว่าวิบากเก่าเคยทำไว้อย่างไร แล้วจะถูกวางแผนไว้ให้เกิดผล เป็นทุกข์หรือเป็นสุขประมาณใด จะได้มีบทบาทสำคัญในโลกนี้แค่ไหนนะ ก็อาจจะเรียกว่าถูกฝังไว้ในดีเอ็นเอนะ
คือปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เริ่มรู้เป็นเค้าเป็นเงาแล้วว่า ทุกอย่างถูกวางแผนไว้ในดีเอ็นเอ แม้กระทั่งว่าใครจะประสบอุบัติเหตุบ่อย หรือว่าใครจะต้องตายอายุประมาณไหนนี่ เขารู้แล้วว่าจะต้องถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ในระดับดีเอ็นเอเลย ก่อนเกิดคือยังไม่ทันออกจากท้องมานี่นะ รู้เลยว่าจะหน้าตาดีหรือหน้าตาขี้เหร่ นี่ก็มีความพยายามที่จะผ่าตัดดีเอ็นเอนะ ว่ากันว่าใครสามารถทำได้นี่ ก็แทบจะเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ทีเดียว เพราะว่าไปแก้กระบวนการที่วางแผนไว้ในระดับของเคมีชั้นเล็กสุดนะครับ
ที่ว่ากันว่ามีใครสักคนหนึ่งนะ ได้ออกแบบไว้ ในพุทธศาสนาเราก็คือว่า กรรมได้ออกแบบไว้ในตั้งแต่ระดับของดีเอ็นเอเลยว่า จะได้เกิดมาเป็นอย่างไร รูปร่างหน้าตาดีแค่ไหน จะมีชะตาชีวิตระหกระเหิน หรือว่ามั่นคงอบอุ่นเพียงใด ทุกอย่างถูกวางแผนไว้เรียบร้อย
ทีนี้ถ้ามาพูดถึงปีชง มาพูดถึงสีที่ถูกโฉลกอะไรต่างๆนะ ก็อาจจะบอกได้ว่า โอเคปีชงหมายถึงปีที่โชคร้าย หรือว่าดวงมันจะกดให้ลงต่ำนี่น่าจะมีจริง เพราะว่าเวลาวิบากเขาวางแผนนี่ เขาวางแผนไว้อย่างละเอียดนะ โดยถ้าหยาบที่สุดนี่ก็บอกว่า ต้นชีวิต กลางชีวิต กับปลายชีวิตนี่นะ จะได้พบกับความสุขหรือความทุกข์มากกว่ากัน แล้วมันก็ยังมีการแบ่งลงไปอีกว่า แต่ละปีนี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นต้นชีวิตเหมือนกัน แต่ละปีมีความสุขมากหรือสุขน้อย มีความทุกข์มากหรือทุกข์เบาเพียงใด อย่างนี้ก็มีการซอยแบ่งไว้ชัดเจน
ทีนี้ถ้ามองในแง่ของกรรมใหม่ ที่พุทธศาสนาส่งเสริมให้เราทำความเข้าใจแล้วก็มองเห็นค่าความสำคัญของกรรมใหม่ ก็คือไม่ว่าของเก่าจะออกแบบไว้ วางแผนไว้อย่าง เออ เรียกว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์เพียงใด แต่ถ้าหากว่าเราสามารถสร้างสติด้วยกรรมใหม่ ทำให้ชีวิตเปรียบเสมือนมีเกราะแก้วกำบัง ไม่ให้ความทุกข์เข้าถึงจิตถึงใจ หรือเข้าถึงจิตถึงใจแล้วกระเด้งออก ไม่อยู่นานนัก ไม่ครอบงำจิตใจอยู่นานนัก อันนี้ก็จะเป็นดวงใหม่ จะเป็นของจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ เห็นได้ ประจักษ์ใจ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องวิบากเก่า ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ใดๆ ก็สามารถที่จะเอาชนะความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตทั้งปวงนะ
ร่างกายจะมีความทุกข์อย่างไร โดนทรมานอย่างไร แต่จิตใจก็ยังมีเมตตาอยู่ ยังมีความรู้สึกไม่อยากเบียดเบียนอยู่ มีความรู้สึกว่า เออ นี่มันเป็นแค่ลักษณะที่มาประชุม ประกอบกันชั่วคราวนะ ตา มาประจวบกับรูปที่ไม่ดี หู ไปประจวบกับเสียงที่ไม่น่าฟัง ร่างกายนะ ไปประจวบกับของแหลมทิ่มแทง หรือว่าของร้อน ของที่มันไม่น่าสบายเนื้อสบายตัวนี่นะ ทั้งหลายทั้งปวงนี่มันก็เป็นแค่การประชุมประกอบกันชั่วคราว
แล้วถ้าหากว่า ใจไม่มีแม้กระทั่งความคิดร้ายๆเข้ามากระทบแล้วครอบงำได้ ใจมีอาการที่ทรงสติ รู้อยู่ว่าอะไรๆผ่านมาแล้วต้องผ่านไป ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว พระพุทธเจ้าตรัสเทียบนะ ไม่มีแม้กระทั่ง เศษดินสักก้อนเดียวที่มันจะคงอยู่ได้ถาวร ถ้าเห็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ทราบอย่างนี้ นั่นแหละคือ ฤกษ์ที่ดีที่สุดในชีวิต เป็นฤกษ์แห่งความเข้าใจ เป็นฤกษ์แห่งปัญญา เป็นฤกษ์แห่งความสว่าง เป็นฤกษ์แห่งความสุข อันจะนำไปสู่บรมสุข คือนิพพานในที่สุดนะครับ
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้เกี่ยวกับเรื่องของฤกษ์งามยามดีนะครับว่า เมื่อใดที่คิดดี เมื่อใดที่พูดดี เมื่อใดที่ทำดี เมื่อนั้นแหละ เป็นฤกษ์ของความดีในตัวเองนะ ไม่ต้องไปสนใจว่าดวงดาวให้จังหวะให้ผลหรือยัง ในแง่ของกรรมดีนะ แต่ในแง่ของการออกหัวออกก้อยว่า วิบากจะให้ผลดีผลร้ายอย่างไรนี่ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ตรัสถึง แต่จะพูดไว้กว้างๆนะครับว่า ถ้าวิบากจะให้ผลนี่ ก็จะส่งผลให้ชัดเจนตั้งแต่แรกเกิดเลยทีเดียวแหละ ว่าจะต้องมาอยู่กับพ่อแม่คู่ไหนนะ จะต้องมามีภาวะที่หยาบหรือประณีตนะครับ ว่าจะโชคดีโชคร้าย คือมีชะตาอย่างไรนี่ ถูกวางแผนไว้โดยวิบากเก่าที่ทำมาทั้งชาติในอดีต ไม่ใช่ว่าทำแป๊บๆ แล้วจะเกิดมาเป็นอย่างไรอย่างหนึ่ง
เช่นกันนะครับคือหลายคนเข้าใจว่า ทำบุญอะไรอย่างหนึ่งแล้วจะไปล้างกรรม หรือว่าไปทำให้อะไรๆมันดีขึ้นได้ แบบเห็นผลทันตา อันนี้ก็เป็นความเข้าใจที่ผิด มันไม่มีที่ทำบุญปุ๊บ ทุกอย่างสามารถถูกแก้ถูกล้างได้ เพราะอย่างบางคนนี่ไปทรมานนักโทษ ไปทรมานผู้คนไว้ทั้งชีวิตด้วยความสนุกสนาน เสร็จแล้วเกิดมา คืออาจจะเวียนว่ายตายเกิดในอบายภูมิมา ไม่รู้กี่ขุมน่ะนะ กว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งด้วยบุญที่เคยทำไว้ก่อน ก็คงไม่มีใครคาดหมายน่ะนะครับว่า คนที่ทำกับคนอื่นไว้ทั้งชีวิตนี่ พอมาทำดี ทำสังฆทานแค่ครั้งสองครั้ง หรือว่าปล่อยสัตว์ ปล่อยปลาแค่ตัวสองตัว แล้วจะไปลบล้างการที่เคยทรมานนักโทษ หรือว่าทรมานผู้คนด้วยความสนุกสนานไว้ทั้งชาติได้ ก็ภาพมันไม่เสมอกัน
ลองนึกเป็นภาพที่ชั่วนาตาปี เป็นสิบๆปี ยี่สิบปี นี่นะ เอาอะไรต่อมิอะไรไปทิ่มแทงให้คนเขามีความเจ็บปวด ให้เลือดสาด เสร็จแล้วจะมาปล่อยปลาตัวสองตัวนี่มันย่อมไม่ได้น้ำหนักเดียวกันแน่นอน
ทีนี้คือถ้าพูดถึงในเรื่องฤกษ์ยามนะ ถ้าหากว่าเรามองเรื่องโหราศาสตร์ที่แม้แต่ในสมัยพุทธกาลนี่นะ ที่พระพุทธเจ้าประสูติมา ก็มีการให้โหราจารย์ หรือผู้ที่มีความสามารถในการพยากรณ์ลักษณะ ก็ยังมีนะที่บันทึกว่า นี่เป็นลักษณะของมหาบุรุษ ที่จะต้องได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือไม่ก็เป็นพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งนะ
พระโกณฑัญญะ ท่านเป็นเหมือนกับเป็นผู้ทำนายโหงวเฮ้งน่ะ พูดกันให้เข้าใจง่ายๆเลย ผู้ทำนายโหงวเฮ้งคนเดียวที่ฟันธงเลยว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่มีทางเป็นพระเจ้ามหาจักรพรรดินะครับ อันนี้ก็คืออาจจะมาเทียบเคียงได้ว่าเรื่องฤกษ์ยาม เรื่องของลักษณะนะ รูปลักษณะ รูปโฉมโนมพรรณ อะไรต่างๆนี่ มันมีส่วนบอกว่าวิบากเก่าเคยทำไว้อย่างไร แล้วจะถูกวางแผนไว้ให้เกิดผล เป็นทุกข์หรือเป็นสุขประมาณใด จะได้มีบทบาทสำคัญในโลกนี้แค่ไหนนะ ก็อาจจะเรียกว่าถูกฝังไว้ในดีเอ็นเอนะ
คือปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เริ่มรู้เป็นเค้าเป็นเงาแล้วว่า ทุกอย่างถูกวางแผนไว้ในดีเอ็นเอ แม้กระทั่งว่าใครจะประสบอุบัติเหตุบ่อย หรือว่าใครจะต้องตายอายุประมาณไหนนี่ เขารู้แล้วว่าจะต้องถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ในระดับดีเอ็นเอเลย ก่อนเกิดคือยังไม่ทันออกจากท้องมานี่นะ รู้เลยว่าจะหน้าตาดีหรือหน้าตาขี้เหร่ นี่ก็มีความพยายามที่จะผ่าตัดดีเอ็นเอนะ ว่ากันว่าใครสามารถทำได้นี่ ก็แทบจะเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ทีเดียว เพราะว่าไปแก้กระบวนการที่วางแผนไว้ในระดับของเคมีชั้นเล็กสุดนะครับ
ที่ว่ากันว่ามีใครสักคนหนึ่งนะ ได้ออกแบบไว้ ในพุทธศาสนาเราก็คือว่า กรรมได้ออกแบบไว้ในตั้งแต่ระดับของดีเอ็นเอเลยว่า จะได้เกิดมาเป็นอย่างไร รูปร่างหน้าตาดีแค่ไหน จะมีชะตาชีวิตระหกระเหิน หรือว่ามั่นคงอบอุ่นเพียงใด ทุกอย่างถูกวางแผนไว้เรียบร้อย
ทีนี้ถ้ามาพูดถึงปีชง มาพูดถึงสีที่ถูกโฉลกอะไรต่างๆนะ ก็อาจจะบอกได้ว่า โอเคปีชงหมายถึงปีที่โชคร้าย หรือว่าดวงมันจะกดให้ลงต่ำนี่น่าจะมีจริง เพราะว่าเวลาวิบากเขาวางแผนนี่ เขาวางแผนไว้อย่างละเอียดนะ โดยถ้าหยาบที่สุดนี่ก็บอกว่า ต้นชีวิต กลางชีวิต กับปลายชีวิตนี่นะ จะได้พบกับความสุขหรือความทุกข์มากกว่ากัน แล้วมันก็ยังมีการแบ่งลงไปอีกว่า แต่ละปีนี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นต้นชีวิตเหมือนกัน แต่ละปีมีความสุขมากหรือสุขน้อย มีความทุกข์มากหรือทุกข์เบาเพียงใด อย่างนี้ก็มีการซอยแบ่งไว้ชัดเจน
ทีนี้ถ้ามองในแง่ของกรรมใหม่ ที่พุทธศาสนาส่งเสริมให้เราทำความเข้าใจแล้วก็มองเห็นค่าความสำคัญของกรรมใหม่ ก็คือไม่ว่าของเก่าจะออกแบบไว้ วางแผนไว้อย่าง เออ เรียกว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์เพียงใด แต่ถ้าหากว่าเราสามารถสร้างสติด้วยกรรมใหม่ ทำให้ชีวิตเปรียบเสมือนมีเกราะแก้วกำบัง ไม่ให้ความทุกข์เข้าถึงจิตถึงใจ หรือเข้าถึงจิตถึงใจแล้วกระเด้งออก ไม่อยู่นานนัก ไม่ครอบงำจิตใจอยู่นานนัก อันนี้ก็จะเป็นดวงใหม่ จะเป็นของจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ เห็นได้ ประจักษ์ใจ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องวิบากเก่า ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ใดๆ ก็สามารถที่จะเอาชนะความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตทั้งปวงนะ
ร่างกายจะมีความทุกข์อย่างไร โดนทรมานอย่างไร แต่จิตใจก็ยังมีเมตตาอยู่ ยังมีความรู้สึกไม่อยากเบียดเบียนอยู่ มีความรู้สึกว่า เออ นี่มันเป็นแค่ลักษณะที่มาประชุม ประกอบกันชั่วคราวนะ ตา มาประจวบกับรูปที่ไม่ดี หู ไปประจวบกับเสียงที่ไม่น่าฟัง ร่างกายนะ ไปประจวบกับของแหลมทิ่มแทง หรือว่าของร้อน ของที่มันไม่น่าสบายเนื้อสบายตัวนี่นะ ทั้งหลายทั้งปวงนี่มันก็เป็นแค่การประชุมประกอบกันชั่วคราว
แล้วถ้าหากว่า ใจไม่มีแม้กระทั่งความคิดร้ายๆเข้ามากระทบแล้วครอบงำได้ ใจมีอาการที่ทรงสติ รู้อยู่ว่าอะไรๆผ่านมาแล้วต้องผ่านไป ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว พระพุทธเจ้าตรัสเทียบนะ ไม่มีแม้กระทั่ง เศษดินสักก้อนเดียวที่มันจะคงอยู่ได้ถาวร ถ้าเห็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ทราบอย่างนี้ นั่นแหละคือ ฤกษ์ที่ดีที่สุดในชีวิต เป็นฤกษ์แห่งความเข้าใจ เป็นฤกษ์แห่งปัญญา เป็นฤกษ์แห่งความสว่าง เป็นฤกษ์แห่งความสุข อันจะนำไปสู่บรมสุข คือนิพพานในที่สุดนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น