ดังตฤณ :
ความฝัน ก่อนอื่นเริ่มจากประเด็นนี้ก่อนนะครับ ความฝันมันเป็นไปได้หลายอย่าง อาจจะเป็นฝันเหลวไหลเหมือนกับความฟุ้งซ่านธรรมดา แต่บางครั้งก็เหมือนกับเป็นการรู้ล่วงหน้าจริงๆ ซึ่งประสบการณ์ของคนในโลกนี้ เกินกว่าครึ่งเคยพบกับความฝันที่มันเป็นลางบอกเหตุ หรือว่าเป็นเครื่องหมายบอกถึงนิมิตในอนาคตตรงๆนะครับ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาบอกว่า โอ๊ยเหลวไหลไปซะทีเดียว เพราะว่ามันมีหลักฐานกันมาหลายคน แต่มันมาแบบไม่แน่ไม่นอน และไม่สามารถที่จะไปกำหนดเจาะจงรู้ได้ว่า เราจะฝันแม่นคืนไหน หรือฝันเหลวไหลคืนใด มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ญาณหยั่งรู้ แต่เป็นสัมผัสที่มีปัจจัยบางอย่าง ที่ไปปรุงแต่งจิตของเราให้มันเกิดความฝันขึ้นมา
ถ้าหากว่าเราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แล้วเหตุการณ์นั้นมันกำลังจะเกิดขึ้นแน่ๆเนี่ย มันมาปรุงแต่งจิตของเราให้เกิดความเปลี่ยนไป เห็นนิมิต เห็นนั่นเห็นนี่ไป ไม่ถือว่าเป็นเรื่องอภินิหาร ไม่ถือว่าเป็นเรื่องลึกลับ แต่เป็นเรื่องที่มีเหตุผล ซึ่งเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงจะต้องไปฝันถึงอนาคตแบบนั้น
แต่เอาล่ะพอเรื่องเกิดขึ้น แล้วเราอาศัยประโยชน์จากการรู้ล่วงหน้ามาชี้แนะคน มาช่วยคน มาทำให้เหตุการณ์มันคลี่คลายจากร้ายกลายเป็นดีไปได้ นั่นก็แปลว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราต้องฝันถึง ฝันนั้นจะต้องมีประโยชน์กับใครบางคน เราจะต้องช่วยใครบางคนนะครับ แล้วเขาก็ได้ประโยชน์ไป ถือว่าเรามีโอกาสทำบุญในแง่ของการให้ทาน ในแง่ของการช่วยคน
ตัวอย่างที่จะเปรียบเทียบอาจจะไม่เหมาะเท่าที่ควร แต่ว่าที่ผมจะพูดถึงไม่ใช่ความฝันแต่เป็นพระญาณ อย่างพระพุทธเจ้าตื่นขึ้นมาตอนตี ๔ ท่านจะแผ่พระญาณ เพื่อที่จะดูเลยว่าวันนี้จะเจอใคร ที่มีโอกาสได้บรรลุมรรคผลบ้าง ท่านก็จะไปโปรด ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ท่านก็จะไปโปรด อันนั้นไม่ใช่ความฝัน อันนี้เป็นญาณหยั่งรู้ เป็นญาณเฉพาะที่มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะทรงขยันตื่นขึ้นมาตอนตี ๔ จะต้องแผ่พระญาณไป เพื่อไปโปรดสัตว์โดยเฉพาะ เป็นนิสัย เป็นวาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ครับ ก็เป็นตัวอย่างว่าการที่ใช้ความหยั่งรู้ล่วงหน้าไปช่วยคนเนี่ยมีประโยชน์จริง
ในส่วนของเรา โอเคอาจจะมาโดยที่เราไม่เข้าใจเหตุผล แต่ก็ให้เข้าใจเถอะว่า มันเป็นส่วนที่ปรุงแต่ง ให้เรามีโอกาสได้ทำบุญ ได้ช่วยคน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ทีนี้การที่จะมาสรุปว่าการที่เราไปช่วยคนแล้วปัญหาของเขามาเข้าตัวเราเนี่ย
ความฝัน ก่อนอื่นเริ่มจากประเด็นนี้ก่อนนะครับ ความฝันมันเป็นไปได้หลายอย่าง อาจจะเป็นฝันเหลวไหลเหมือนกับความฟุ้งซ่านธรรมดา แต่บางครั้งก็เหมือนกับเป็นการรู้ล่วงหน้าจริงๆ ซึ่งประสบการณ์ของคนในโลกนี้ เกินกว่าครึ่งเคยพบกับความฝันที่มันเป็นลางบอกเหตุ หรือว่าเป็นเครื่องหมายบอกถึงนิมิตในอนาคตตรงๆนะครับ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาบอกว่า โอ๊ยเหลวไหลไปซะทีเดียว เพราะว่ามันมีหลักฐานกันมาหลายคน แต่มันมาแบบไม่แน่ไม่นอน และไม่สามารถที่จะไปกำหนดเจาะจงรู้ได้ว่า เราจะฝันแม่นคืนไหน หรือฝันเหลวไหลคืนใด มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ญาณหยั่งรู้ แต่เป็นสัมผัสที่มีปัจจัยบางอย่าง ที่ไปปรุงแต่งจิตของเราให้มันเกิดความฝันขึ้นมา
ถ้าหากว่าเราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แล้วเหตุการณ์นั้นมันกำลังจะเกิดขึ้นแน่ๆเนี่ย มันมาปรุงแต่งจิตของเราให้เกิดความเปลี่ยนไป เห็นนิมิต เห็นนั่นเห็นนี่ไป ไม่ถือว่าเป็นเรื่องอภินิหาร ไม่ถือว่าเป็นเรื่องลึกลับ แต่เป็นเรื่องที่มีเหตุผล ซึ่งเราไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงจะต้องไปฝันถึงอนาคตแบบนั้น
แต่เอาล่ะพอเรื่องเกิดขึ้น แล้วเราอาศัยประโยชน์จากการรู้ล่วงหน้ามาชี้แนะคน มาช่วยคน มาทำให้เหตุการณ์มันคลี่คลายจากร้ายกลายเป็นดีไปได้ นั่นก็แปลว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราต้องฝันถึง ฝันนั้นจะต้องมีประโยชน์กับใครบางคน เราจะต้องช่วยใครบางคนนะครับ แล้วเขาก็ได้ประโยชน์ไป ถือว่าเรามีโอกาสทำบุญในแง่ของการให้ทาน ในแง่ของการช่วยคน
ตัวอย่างที่จะเปรียบเทียบอาจจะไม่เหมาะเท่าที่ควร แต่ว่าที่ผมจะพูดถึงไม่ใช่ความฝันแต่เป็นพระญาณ อย่างพระพุทธเจ้าตื่นขึ้นมาตอนตี ๔ ท่านจะแผ่พระญาณ เพื่อที่จะดูเลยว่าวันนี้จะเจอใคร ที่มีโอกาสได้บรรลุมรรคผลบ้าง ท่านก็จะไปโปรด ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ท่านก็จะไปโปรด อันนั้นไม่ใช่ความฝัน อันนี้เป็นญาณหยั่งรู้ เป็นญาณเฉพาะที่มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะทรงขยันตื่นขึ้นมาตอนตี ๔ จะต้องแผ่พระญาณไป เพื่อไปโปรดสัตว์โดยเฉพาะ เป็นนิสัย เป็นวาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ครับ ก็เป็นตัวอย่างว่าการที่ใช้ความหยั่งรู้ล่วงหน้าไปช่วยคนเนี่ยมีประโยชน์จริง
ในส่วนของเรา โอเคอาจจะมาโดยที่เราไม่เข้าใจเหตุผล แต่ก็ให้เข้าใจเถอะว่า มันเป็นส่วนที่ปรุงแต่ง ให้เรามีโอกาสได้ทำบุญ ได้ช่วยคน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ทีนี้การที่จะมาสรุปว่าการที่เราไปช่วยคนแล้วปัญหาของเขามาเข้าตัวเราเนี่ย
เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน
มันอาจจะมีกรรมอะไรบางอย่างของเรา
ที่จะชวนให้เกิดความเข้าใจผิด
ในเรื่องของกฏแห่งกรรมวิบาก
นี่ถ้าจะคิดต้องคิดในแง่นี้นะ!
บางทีอาจจะไป
: ทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิด หรือว่า
: ไปบั่นทอนกำลังใจ
ในแง่ที่ไม่ถูกไม่ต้องเนี่ยนะ
ยกตัวอย่างที่ผมเคยเห็น
เห็นแล้วสลดใจมากเลย
อย่างบอกว่าบริจาคดวงตาเนี่ย
ระวังนะเกิดมาชาติหน้าตาบอด
หรือว่าที่เคยเห็นเขียนเป็นเรื่องสั้นเป็นตุเป็นตะ
ไปบอกใครต่อใครเขาว่า
เวลาที่อุทิศส่วนกุศลให้ใคร
: ทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิด หรือว่า
: ไปบั่นทอนกำลังใจ
ในแง่ที่ไม่ถูกไม่ต้องเนี่ยนะ
ยกตัวอย่างที่ผมเคยเห็น
เห็นแล้วสลดใจมากเลย
อย่างบอกว่าบริจาคดวงตาเนี่ย
ระวังนะเกิดมาชาติหน้าตาบอด
หรือว่าที่เคยเห็นเขียนเป็นเรื่องสั้นเป็นตุเป็นตะ
ไปบอกใครต่อใครเขาว่า
เวลาที่อุทิศส่วนกุศลให้ใคร
อย่าอุทิศให้หมด
เพราะไม่งั้นบุญของเราจะหมด เขาเอาไปหมด
คือคิดเองเออเองเสร็จ
แล้วมาทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิด
ในเรื่องของหลักกรรมวิบาก
โทษเนี่ยมันหนักหนาสาหัสมาก
นี้คือยกเป็นตัวอย่างว่า
ถ้าหากว่า
เราเคยไปบั่นทอนกำลังใจคนอื่น หรือ
ทำให้คนอื่นเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกรรมวิบากผิดๆ
มันอาจจะเกิดกรณีอะไรแบบนี้
คือพอเราไปช่วยใคร
แล้วจะต้องจับพลัดจับผลูบังเอิญนะ
มีวิบากเก่าที่เราเคยไปทำกับใครเขาไว้
หรือสิ่งที่มันเป็นปมปัญหา
เป็นระเบิดเวลาของเราเนี่ย
ได้เวลาระเบิด
เพราะไม่งั้นบุญของเราจะหมด เขาเอาไปหมด
คือคิดเองเออเองเสร็จ
แล้วมาทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิด
ในเรื่องของหลักกรรมวิบาก
โทษเนี่ยมันหนักหนาสาหัสมาก
นี้คือยกเป็นตัวอย่างว่า
ถ้าหากว่า
เราเคยไปบั่นทอนกำลังใจคนอื่น หรือ
ทำให้คนอื่นเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกรรมวิบากผิดๆ
มันอาจจะเกิดกรณีอะไรแบบนี้
คือพอเราไปช่วยใคร
แล้วจะต้องจับพลัดจับผลูบังเอิญนะ
มีวิบากเก่าที่เราเคยไปทำกับใครเขาไว้
หรือสิ่งที่มันเป็นปมปัญหา
เป็นระเบิดเวลาของเราเนี่ย
ได้เวลาระเบิด
เขามาเฉพาะเจาะจงเหมาะเจาะ
ที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจผิด
หรือเกิดความไขว้เขวขึ้นมา!
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆนะ
สมมติว่า ถ้าการที่เราช่วยใคร
ด้วยความรู้ความสามารถ
แล้วเราจะโดนซะเองเนี่ย
อย่างนี้พวกจิตแพทย์นะ หรือว่าพวกที่
เป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิต
หน่วยงานที่เกี่ยวกับ
เรื่องการแก้ปัญหาสังคมอะไรต่างๆ
วันๆนี่เจอเป็นสิบ ยี่สิบ สามสิบ
หรือว่าบางแห่งเนี่ยเจอเป็นร้อยนะ
ก็คงจะรับเละเลย
สารพัดที่เขาไปช่วยคลี่คลายปัญหาให้ชาวบ้าน
แล้วนักจิตวิทยาหรือนักจิตแพทย์บางคนมีทักษะ
มีความสามารถ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว
หรือสามารถที่จะเห็นอะไรล่วงหน้าได้
แต่เขาจะไม่พูดกัน
มีบางคนมีความสามารถเฉพาะตัว
แล้วก็เอาความสามารถเฉพาะตัวนั้น
ไปช่วยคนนะครับ
โดยที่ผู้ได้รับความช่วยเหลือเอง
ก็ไม่ทราบว่าเขาไปรู้มาจากไหนเห็นมาจากไหน
ที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจผิด
หรือเกิดความไขว้เขวขึ้นมา!
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆนะ
สมมติว่า ถ้าการที่เราช่วยใคร
ด้วยความรู้ความสามารถ
แล้วเราจะโดนซะเองเนี่ย
อย่างนี้พวกจิตแพทย์นะ หรือว่าพวกที่
เป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิต
หน่วยงานที่เกี่ยวกับ
เรื่องการแก้ปัญหาสังคมอะไรต่างๆ
วันๆนี่เจอเป็นสิบ ยี่สิบ สามสิบ
หรือว่าบางแห่งเนี่ยเจอเป็นร้อยนะ
ก็คงจะรับเละเลย
สารพัดที่เขาไปช่วยคลี่คลายปัญหาให้ชาวบ้าน
แล้วนักจิตวิทยาหรือนักจิตแพทย์บางคนมีทักษะ
มีความสามารถ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว
หรือสามารถที่จะเห็นอะไรล่วงหน้าได้
แต่เขาจะไม่พูดกัน
มีบางคนมีความสามารถเฉพาะตัว
แล้วก็เอาความสามารถเฉพาะตัวนั้น
ไปช่วยคนนะครับ
โดยที่ผู้ได้รับความช่วยเหลือเอง
ก็ไม่ทราบว่าเขาไปรู้มาจากไหนเห็นมาจากไหน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
นี้ก็เป็นตัวอย่างที่ยกมาให้ฟังง่ายๆเลยว่า
การช่วยคนเป็นบุญ
ไม่ใช่ว่าช่วยแล้วจะไปเอาบาปของเขา
เอาวิบากของเขามาเข้าตัวเรานะครับ
เปลี่ยนความเข้าใจซะ
เรื่องกรรมวิบากนี่จริงๆแล้ว
เป็นเรื่องที่จะว่าไปแล้ว
ทุกคนพร้อมที่จะเข้าใจอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อน
การช่วยคนเป็นบุญ
ไม่ใช่ว่าช่วยแล้วจะไปเอาบาปของเขา
เอาวิบากของเขามาเข้าตัวเรานะครับ
เปลี่ยนความเข้าใจซะ
เรื่องกรรมวิบากนี่จริงๆแล้ว
เป็นเรื่องที่จะว่าไปแล้ว
ทุกคนพร้อมที่จะเข้าใจอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อน
เพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจกันได้ง่ายนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น