ถาม – นั่งหลับตา ทำสมาธิ บนรถ แล้วเห็นแสงสีเขียว
กำหนดให้เป็นแดง แล้วแดง กำหนดให้เป็นขาว แล้วขาว อันนี้เป็นนิมิตหรือเปล่า?)
ดังตฤณ :
เป็นนิมิตครับ
ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่นะครับที่เราเห็นขึ้นมาในขณะหลับตาเนี่ย
ล้วนแล้วแต่เป็นนิมิตทางจิต ที่จิตเกิดการปรุงแต่งที่ทางจิตขึ้นมาทั้งสิ้น
ไม่ว่าเราจะเห็นอะไรขึ้นมานะครับ เราเห็นจริงๆทั้งหมด
อย่าไปเข้าใจว่าในอันนั้นเป็นแค่ของหลอกนะครับ มันเป็นการปรุงแต่งทางจิตจริงๆ
ซึ่งมีประโยชน์นะครับ ถ้าหากว่าเรารู้หลักการที่จะมองมันตามพระพุทธเจ้าเนี่ยนะครับ ท่านตรัสไว้เลยว่า อะไรก็แล้วแต่ที่ปรากฏขึ้นทางสมาธิ ล้วนแล้วแต่เป็นนิมิตที่เราควรกำหนด ‘รู้’ ว่ามันเป็น ‘ของไม่เที่ยง’ มันเป็น ‘ของปรุงแต่ง’ ขึ้น
‘ปรุงแต่ง’ หมายความว่ายังไง? หมายความว่า ‘มีเจตนานำขึ้นมา แล้วเกิดอาการทางใจ’ นะครับ เห็นเป็นนั้นเป็นนี่ หรือว่ารู้สึกไปอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็เป็นของชั่วคราว เหมือนกับหมอกควัน ที่ปรากฏขึ้นมาจริงๆเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว แต่อันนี้มันสลายตัวไปเร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการหน่วงนึกอยู่ในใจนะครับ
ถ้าหากว่าเรียกเป็น ‘กสิณ’ จริงๆ ก็ต้องมีการเจตนาที่จะทำให้มันเป็นแดงเป็นขาวนะครับ อย่างที่คุณทำนี่แหละ แล้วก็สามารถหน่วงนึกให้มันมีความตั้งมั่น มีความคงเส้นคงวาได้นานขึ้นมาระยะหนึ่งนะครับ อาจจะ ๑๐ วินาที อาจจะ ๓๐ วินาที แล้วมันค่อยๆเคลื่อนตัวไป หายไป เวลาที่เราสามารถที่จะหน่วงนึกไว้ได้สักระยะหนึ่งสักครู่นึง อย่าดีใจ ให้มองเห็นว่านี่คือการปรุงแต่งทางใจ มีเจตนาหน่วงนึก แล้วใจเนี่ยทำตัวเป็นจอภาพนะครับ ก่อให้เกิดภาพวงกลมขึ้นมามีเป็นสีนั้นสีนี้ เสร็จแล้วมันค่อยๆสลายหายตัวไป นี่แสดง ‘ความไม่เที่ยง’
ถ้าหากว่าเราเห็นอยู่ รู้อยู่ว่ามีการปรุงแต่งขึ้นมา แล้วมีการสลายตัวไป นี่เรียกว่า เป็นการฝึกกสิณแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำไว้เลย
เวลาพระพุทธเจ้าไปเจอพวกพราหมณ์ หรือว่าพวกเล่นสมาธิ พวกที่สามารถจะเดินฌานสมาบัติได้ถึงระดับที่เรียกว่าเป็น ‘อรูปฌาน’ เนี่ยนะครับ พระพุทธเจ้าให้พิจารณาง่ายๆเลย ซึ่งทำให้พวกเค้าสามารถบรรลุธรรมกันได้ง่ายๆนะครับ ก็คือ ให้เห็นว่า ณ ขณะที่มีฌานเกิดขึ้นเป็น ‘อรูปฌาน’ หรือว่า ‘ฌาน’ ก็แล้วแต่ ท่านให้มองว่าเป็น ‘การปรุงแต่งของจิต’ ประกอบด้วยองค์ต่างๆนะ อย่างเช่น วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา นะครับ หรือถ้าเป็นอรูปฌาน ท่านก็ให้เห็นว่า นี่เห็นมั้ยว่า เนี่ย มันเป็นโพรงว่างเท่าจักรวาล หรือว่ามีอาการรู้แผ่กว้างไปเท่าจักรวาลแบบนี้เนี่ย มันเป็นการปรุงแต่งขึ้นชั่วคราว มันเป็นของปรุงแต่ง มันไม่ได้มีตัวตนอยู่ ท่านตรัสเทศน์ให้กับคนที่สามารถทำได้นะครับ พราหมณ์ฟังเนี่ย บรรลุธรรมเลย เกิดความเข้าใจ เกิดความเห็นแจ้งเลยว่า เออ! มันไม่ใช่ตัวเราจริงๆ มันไม่ใช่จิตของเราจริงๆ มันเป็นแค่สภาวะทางจิตชั่วคราว ถูกปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราว ไม่ได้มีความน่ายึดมั่นถือมั่นว่ามีอัตตา มีตัวตนซ่อนอยู่ตรงไหนแฝงอยู่ตรงไหน ไม่ได้มีเงาอัตตา พอเห็นนะครับ พอเห็นแจ้งว่าไม่มีเงาอัตตาแฝงอยู่ในจิตแบบไหนๆ หรือว่าสมาธิแบบใดๆนี่แหละ ตรงนี้แหละ ก็เกิดความหนักแน่น รวมลงสู่ความเป็นฌานอีกแบบคือ ‘สัมมาสมาธิ’ เป็น ‘พุทธิปัญญา’ เป็น ‘พุทธิสมาธิ’ นะครับ ทำให้เกิดการเห็นว่านอกเหนือจาก ‘การปรุงแต่งของจิต’ ยังมี ‘การไม่มีปรุงแต่งอะไรเลย’ นั้นคือ ‘นิพพาน’ นี่! ตรงนี้ก็คือการได้บรรลุมรรคผลขั้นแรกนะครับได้เป็น ‘พระโสดาบัน’
ซึ่งมีประโยชน์นะครับ ถ้าหากว่าเรารู้หลักการที่จะมองมันตามพระพุทธเจ้าเนี่ยนะครับ ท่านตรัสไว้เลยว่า อะไรก็แล้วแต่ที่ปรากฏขึ้นทางสมาธิ ล้วนแล้วแต่เป็นนิมิตที่เราควรกำหนด ‘รู้’ ว่ามันเป็น ‘ของไม่เที่ยง’ มันเป็น ‘ของปรุงแต่ง’ ขึ้น
‘ปรุงแต่ง’ หมายความว่ายังไง? หมายความว่า ‘มีเจตนานำขึ้นมา แล้วเกิดอาการทางใจ’ นะครับ เห็นเป็นนั้นเป็นนี่ หรือว่ารู้สึกไปอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็เป็นของชั่วคราว เหมือนกับหมอกควัน ที่ปรากฏขึ้นมาจริงๆเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว แต่อันนี้มันสลายตัวไปเร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการหน่วงนึกอยู่ในใจนะครับ
ถ้าหากว่าเรียกเป็น ‘กสิณ’ จริงๆ ก็ต้องมีการเจตนาที่จะทำให้มันเป็นแดงเป็นขาวนะครับ อย่างที่คุณทำนี่แหละ แล้วก็สามารถหน่วงนึกให้มันมีความตั้งมั่น มีความคงเส้นคงวาได้นานขึ้นมาระยะหนึ่งนะครับ อาจจะ ๑๐ วินาที อาจจะ ๓๐ วินาที แล้วมันค่อยๆเคลื่อนตัวไป หายไป เวลาที่เราสามารถที่จะหน่วงนึกไว้ได้สักระยะหนึ่งสักครู่นึง อย่าดีใจ ให้มองเห็นว่านี่คือการปรุงแต่งทางใจ มีเจตนาหน่วงนึก แล้วใจเนี่ยทำตัวเป็นจอภาพนะครับ ก่อให้เกิดภาพวงกลมขึ้นมามีเป็นสีนั้นสีนี้ เสร็จแล้วมันค่อยๆสลายหายตัวไป นี่แสดง ‘ความไม่เที่ยง’
ถ้าหากว่าเราเห็นอยู่ รู้อยู่ว่ามีการปรุงแต่งขึ้นมา แล้วมีการสลายตัวไป นี่เรียกว่า เป็นการฝึกกสิณแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำไว้เลย
เวลาพระพุทธเจ้าไปเจอพวกพราหมณ์ หรือว่าพวกเล่นสมาธิ พวกที่สามารถจะเดินฌานสมาบัติได้ถึงระดับที่เรียกว่าเป็น ‘อรูปฌาน’ เนี่ยนะครับ พระพุทธเจ้าให้พิจารณาง่ายๆเลย ซึ่งทำให้พวกเค้าสามารถบรรลุธรรมกันได้ง่ายๆนะครับ ก็คือ ให้เห็นว่า ณ ขณะที่มีฌานเกิดขึ้นเป็น ‘อรูปฌาน’ หรือว่า ‘ฌาน’ ก็แล้วแต่ ท่านให้มองว่าเป็น ‘การปรุงแต่งของจิต’ ประกอบด้วยองค์ต่างๆนะ อย่างเช่น วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา นะครับ หรือถ้าเป็นอรูปฌาน ท่านก็ให้เห็นว่า นี่เห็นมั้ยว่า เนี่ย มันเป็นโพรงว่างเท่าจักรวาล หรือว่ามีอาการรู้แผ่กว้างไปเท่าจักรวาลแบบนี้เนี่ย มันเป็นการปรุงแต่งขึ้นชั่วคราว มันเป็นของปรุงแต่ง มันไม่ได้มีตัวตนอยู่ ท่านตรัสเทศน์ให้กับคนที่สามารถทำได้นะครับ พราหมณ์ฟังเนี่ย บรรลุธรรมเลย เกิดความเข้าใจ เกิดความเห็นแจ้งเลยว่า เออ! มันไม่ใช่ตัวเราจริงๆ มันไม่ใช่จิตของเราจริงๆ มันเป็นแค่สภาวะทางจิตชั่วคราว ถูกปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราว ไม่ได้มีความน่ายึดมั่นถือมั่นว่ามีอัตตา มีตัวตนซ่อนอยู่ตรงไหนแฝงอยู่ตรงไหน ไม่ได้มีเงาอัตตา พอเห็นนะครับ พอเห็นแจ้งว่าไม่มีเงาอัตตาแฝงอยู่ในจิตแบบไหนๆ หรือว่าสมาธิแบบใดๆนี่แหละ ตรงนี้แหละ ก็เกิดความหนักแน่น รวมลงสู่ความเป็นฌานอีกแบบคือ ‘สัมมาสมาธิ’ เป็น ‘พุทธิปัญญา’ เป็น ‘พุทธิสมาธิ’ นะครับ ทำให้เกิดการเห็นว่านอกเหนือจาก ‘การปรุงแต่งของจิต’ ยังมี ‘การไม่มีปรุงแต่งอะไรเลย’ นั้นคือ ‘นิพพาน’ นี่! ตรงนี้ก็คือการได้บรรลุมรรคผลขั้นแรกนะครับได้เป็น ‘พระโสดาบัน’
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น