ถาม : ทางพุทธกล่าวถึงเรื่องความฝันไว้อย่างไรบ้าง?
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/ylJj1_9NPJs
ดังตฤณ :
อันนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงความฝันโดยความเป็นเจตสิกปรุงแต่งชนิดหนึ่ง
เป็นภาวะการปรุงแต่งนะ แต่มีอาจารย์ชั้นหลังๆมาแบ่งแยก เป็นว่าฝันอันเกิดจากเทพนิมิตบ้าง
ฝันอันเกิดจากความกระสับกระส่ายไม่สมดุลของธาตุบ้างนะ พูดง่ายๆว่ากินมากเกินไปบ้าง
อะไรต่างๆ
ก็เอาเป็นว่าอย่างนี้นะ ความฝันนี่ ถ้าหากเอาพุทธพจน์แล้วนี่ไม่มีนะ
ไม่ได้มีแบบระบุไว้ชัดเจน คือจะมีแค่อธิบายไว้ว่าเข้าสู่ภาวะฝันนี่นะได้อย่างไร แต่ว่าไม่ได้มีมาจำแนกว่า
จะฝันเพราะอะไรบ้าง
เพราะว่าปัจจุบันนี่ เอาเฉพาะที่นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบด้วยการดูวิธีทำงานของสมองผ่านคลื่นอีอีจี
(EEG) บ้าง ผ่านเทคนิคอะไรต่อมิอะไรต่างๆที่คิดค้นขึ้นมาได้นี่นะ สารพัดเลยที่จะเป็นต้นเหตุของความฝัน
แม้กระทั่งว่าเราจะสั่งตัวเองให้ฝันอย่างไร ก็เป็นไปได้ คือกำหนดไว้ก่อน ตั้งใจไว้ก่อน
อันนี้เขาพิสูจน์กันมาแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา อย่างถ้าหากว่าจะหาอ่านเรื่องพวกนี้นะ
ก็เข้าไปเสิร์ชในกูเกิลคำว่า ลูซิด ดรีมมิ่ง (Lucid Dreaming)
ลูซิด (Lucid) ที่แปลว่าชัดเจนนะ แล้วก็ดรีมมิ่ง (Dreaming)
ความฝันนี่ มันจะมีการค้นคว้า การวิจัยเรื่องต้นเหตุของความฝันกันเยอะแยะ
แต่ที่สุดแล้วนี่นะ พอเราพูดถึงเรื่องที่มันเป็นสาเหตุ ต้นเหตุ ต้นเค้าจริงๆว่าจะฝันไปทำไมนี่
เขาบอกว่าไม่ใช่การพักผ่อนทางร่างกายนะ นี่คือวิธีพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ว่าเป็นการที่สมองต้องการที่จะพักทำงานอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งอันนี้ลองไปหาอ่านเอาเอง ไปศึกษาเอาเองนะครับ
ถ้าหากว่าเราจะพูดถึงสาเหตุหรือต้นเหตุที่แท้จริงของความฝันนี่
อยากให้มองว่าเป็นการปรุงแต่งของสภาพจิตที่ไหลมาจากการสั่งสมกรรม อย่างเช่นถ้าหากว่าช่วงหนึ่ง
คุณประพฤติตัวดีมากๆทำบุญบ่อยๆ จะสังเกตเลยว่าในฝันนี่ มีความแช่มชื่น นิมิตที่เกิดขึ้นนี่จะเป็นไปในทางสว่าง
แต่ถ้าหากว่าช่วงไหนมีความยุ่งยากใจ มีความรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ในขณะตื่น ฝันมันก็จะเหมือนกับเข้าไปในป่ารกบ้าง
หลงทางบ้าง หรือว่าไปทะเลาะกับผู้คนบ้าง อันนั้นก็เป็นหลักฐาน เป็นเครื่องส่องแสดงพิสูจน์นะครับว่า
การปรุงแต่งของจิตนี่มันเชื่อมโยงกันระหว่างหลับกับตื่น
เดี๋ยวดูคำถามที่เหลือนะ ที่บอกว่า...
“ขณะกำลังเคลิ้มหลับ มักเกิดสภาวะแปลกๆ เหมือนล่องลอยได้ บางวันเหมือนกับตนเองเดินออกจากกายได้
เหมือนเดินออกไปจริงๆ ทั้งๆที่กำลังนอนอยู่บนเตียง เกิดจากอะไรได้บ้าง? เป็นแบบนี้หลายครั้งมาก
ปกติจะเจริญสติในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ”
ก็คนที่เจริญสติ รู้กาย รู้ใจตัวเองนี่ ก็มักจะมีประสบการณ์แปลกๆเริ่มต้นจากในขณะฝันนั่นแหละนะ
ขอให้มองว่าเมื่อการปรุงแต่งของจิตเป็นไปในทางที่จะดูกาย ดูใจมากๆนี่นะ ในขณะฝันก็จะเกิดการปรุงแต่งเกี่ยวกับกาย
เกี่ยวกับใจมากกว่าคนปกตินะ มีแนวโน้มที่จะเห็นสภาพทางกาย หรือสภาพทางจิตอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา
ถ้าหากว่าเราฝันบ่อยๆว่ากายเนื้อกับกายในนี่ มันแยกออกจากกันได้
ก็ลองคิดไว้ล่วงหน้าเลยก็แล้วกัน ว่าถ้ามันเกิดขึ้นแบบนั้นอีก เราจะไม่ปล่อยให้เสียเปล่า
เราจะพิจารณา เราจะหันกลับมาพิจารณา ว่ากายเนื้อมันนอนอยู่ แล้วก็มีสภาพความเป็นเช่นนั้น
คือแค่คิดนะ จิตมันเป็นไปตามอาการปรุงแต่งทางความคิด ทางความตั้งใจนั่นแหล่ะ ถ้าเราแค่คิดไว้ล่วงหน้า
ว่าเราจะหันกลับไปมองร่างกายที่ทอดนอนอยู่ แล้วดูว่าร่างกายมีอะไรบ้างที่เป็นตัวเรา
ที่เป็นของเรา เดี๋ยวมันก็จะแสดงให้ดูเอง
คือมองไปด้วยจิต ณ เวลานั้นนี่ มันก็จะเห็นว่า ร่างกายสักแต่เป็นการประชุมอยู่ของธาตุดิน
คือเนื้อหนังมังสา แล้วก็มีลมหายใจสูบเข้า สูบออก สูบเข้า สูบออกนี่ เราก็อาจจะรู้สึกถึงไออุ่น
เราอาจจะรู้สึกถึงน้ำเลือด น้ำเหลืองที่มันขังอยู่ข้างในเหมือนกับถุงใส่น้ำน่ะ ที่มองจากตาในขณะนั้นนี่
มองด้วยตาซึ่งเป็นตาในในขณะนั้นนี่ จะมีความรู้สึกที่ชัดเจนกว่ามองด้วยตาเนื้อ มองด้วยตาเนื้อนี่
จิตของเราจะห่อหุ้มด้วยความคิด บางทีมันพล่าเลือนไปด้วยความคิด แต่ถ้าหากว่าอยู่ในขณะฝันที่ใจไม่ได้คิดอะไร
ไม่ได้ฟุ้งซ่านอะไรนะ เราจะรู้สึกเลยว่า ไอ้ร่างกายนี่มันสักแต่เป็นอะไรแข็งๆที่วางนอนอยู่
แล้วก็มีธาตุลมสูบเข้า สูบออก สูบเข้า สูบออก แล้วในความแข็งของร่างกายนี่ก็มีความรู้สึกอุ่นๆเราจะรู้สึกได้
ถ้าหากว่า ตั้งเล็งไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะมองโดยความเป็นอย่างนั้น
มันจะเห็นเลย มีความรู้สึก ถึงแม้ว่าจะยังไม่เห็นในครั้งแรกนะว่ามีน้ำเลือด น้ำหนองอยู่
แต่เราจะรู้สึกว่าข้างในนี่ มันเหมือนกับถุงใส่น้ำ ที่มันพองออกมาได้ ที่มันเต่งตึงอยู่ได้นี่
เพราะมีน้ำดันอยู่ ก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาแบบนั้น แล้วพอรู้สึกแบบนั้นเข้าไปนานๆเข้านี่
จิตจะเกิดการปรุงแต่งขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง เห็นน้ำเลือด น้ำหนองไหลทะลักออกมา คือจิตมันจะปรุงแต่งไปทางไหนก็ตาม
เราก็ดูไปแล้วกัน สักแต่เห็นว่าร่างกายที่ทอดนอนอยู่นี่ มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
ที่ถอดออกมานี่ มันก็คือลักษณะของธาตุรู้ มีลักษณะรู้ สามารถรู้เห็นได้ว่ากายเนื้อเป็นอย่างไร
อันนี้ก็เป็นเบื้องต้น หรือถ้าหากว่าเราลอยออกไป คือพอหลุดออกจากร่างกายนี่นะ โดยมากแล้วมันจะลิ่วไปเลย
มันจะควบคุมไม่ทัน ก็ลองดู ปล่อยให้ขึ้นฟ้าไปเลยก็ได้นะ ถ้าส่วนใหญ่นี่ จิตวิญญาณถ้าหากว่ามันมีการปรุงแต่งในขณะฝันเป็นถอดออกจากร่างกายนี่นะ
มักจะไม่พ้น หนีไม่พ้นการลอยขึ้นฟ้า เราก็ดูว่าอาการลอยขึ้นฟ้านี่เป็นสภาพการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง
คือตั้งใจไว้ล่วงหน้านะ พิจารณาไว้ล่วงหน้าเลยว่าอาการของจิต อาการของธาตุรู้ที่มันออกมาจากร่างกายนี่
เป็นสภาพการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ที่มันลอยขึ้นมา มีอาการลอยขึ้นมา แล้วเห็นไปต่างๆนานา
เห็นเป็นฟ้ากว้างบ้าง เห็นเป็นมีสายลมผ่านบ้าง เห็นเป็นตึกรามบ้านช่องอยู่ข้างล่างบ้าง
เห็นเป็นแผ่นดินกว้างใหญ่บ้าง อะไรก็แล้วแต่ที่มันจะปรากฏในนิมิตฝัน
เราพิจารณาไว้ล่วงหน้าเลยนะว่า เหล่านั้นที่เรียกว่า การปรุงแต่งจิต
ของจะจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่นะ มันจริงเหมือนกันคือล้วนแล้วแต่เป็นสภาพการปรุงแต่งของจิต
เราจะเกิดความรู้สึกขึ้นมา มีความรู้สึกชัดขึ้นมา ว่าอาการปรุงแต่งของจิตนี่ หน้าตามันเป็นไปได้พิสดารหลากหลายอย่างนี้เอง
ไม่ใช่ว่าเราลืมตาอยู่แล้วคิดๆอ่านๆ นี่ถือเป็นการปรุงแต่งของจิต นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง
เป็นแค่จิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของอนัตตา ยังมีจิ๊กซอว์อีกหลายต่อหลายชิ้นที่เอามาประกอบกันแล้วจะเกิดภาพอนัตตาอย่างใหญ่ขึ้นมา
เราจะเห็นเลยจากการที่เราฉวยโอกาสทุกสภาพ ทุกสภาวะธรรมที่มันปรากฏให้เรารับรู้ได้ เห็นมันให้หมดว่านี่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของอนัตตา
เริ่มต้นจากการเห็น ว่ากาย ว่าใจนี้นี่นะมันควบคุมไม่ได้ แต่พิจารณาได้ว่ามันควบคุมไม่ได้
คือมันจะเป็นไปในสภาพไหนก็แล้วแต่ เราไม่สามารถบังคับมัน แต่เราสามารถรู้ได้ว่านี่มันกำลังปรากฏแสดงสภาวะอะไรบางอย่างที่เรากำหนดไม่ได้
ควบคุมไม่ได้ แต่เรารู้ได้ เริ่มต้นอย่างนี้นะ ในที่สุดความฝันจะเกิดประโยชน์ มันจะมีประโยชน์ขึ้นมา
พอตื่นขึ้นเราจะเกิดความรู้สึกว่า เออ! ไอ้ที่มันกำลังปรากฏอยู่ในขณะที่เราออกจากความฝันแล้ว
เราตื่นนอนขึ้นมาแล้วนี่ มันก็ไม่เห็นแตกต่างจากในฝัน มีลมเข้า มีลมออกนะ มีร่างกายที่คุมรูปอยู่ได้ด้วยกระดูก
ยกตั้งขึ้นด้วยกระดูกสันหลัง ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ แล้วก็มีลมเข้า ลมออกอยู่ มีไออุ่นอยู่
มีน้ำเลือด น้ำเหลืองอยู่ เหมือนกับถุงใส่น้ำ ถุงใส่อึ ถุงใส่ฉี่ มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาวันต่อวัน
ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นบ่อยๆนี่มันจะชัดขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง ต่อให้เราลืมตานี่
ก็เหมือนอยู่ในฝัน มีความชัดเจนว่านี่สักแต่เป็นธาตุ นี่สักแต่เป็นสภาวะรู้ เป็นธาตุรู้
ไม่ได้มีตัว ไม่ได้มีตน ไม่ได้มีบุคคล ไม่ได้มีเราเขาชื่อใดชื่อหนึ่ง ไอ้ความรู้สึกตรงนั้นนี่
ที่ถ้าหากว่าเกิดขึ้นได้ นี่แหล่ะตรงนี้แหละที่มันจะสุดยอดเลยของประโยชน์อันเกิดจากการเอาฝันมาใช้นะครับ
เดี๋ยวขอผมดูเวลานิดหนึ่ง เหลืออยู่กี่นาที ผมเข้าใจว่าน่าจะไม่ทันคำถามต่อไปนะ
ต้องขออภัยนะครับ
ก็วันนี้ เดี๋ยวต้องไปรักษาสุขภาพนิดหนึ่งนะ มีนัดกับโรงรักษาสุขภาพนิดหนึ่ง
ก็จำเป็นต้องมาในช่วงเวลานี้ก่อน ก็ขอฝากไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน คือ ถ้าหากเราจะใช้ประโยชน์จากกาย
จากใจนี้ให้เต็มที่นี่นะ อย่าไปมองว่ามันมีปรากฏการณ์พิสดารอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง แต่ขอให้มองว่า
จะธรรมดาหรือว่าพิสดารแค่ไหน เราจะเอามาเห็นความไม่เที่ยง เราจะเอามาเห็นความปรุงแต่ง
สักแต่เป็นการประชุมกันของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ชั่วคราวได้อย่างไร
คือเวลาที่เราเรียนรู้จากการฟัง
มันฟังเข้าใจ แล้วก็ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ในชีวิตจริงๆนี่ แต่ละวันมันมีปรากฏการณ์อะไรหลากหลายพิสดารนัก
ถ้าหากว่าปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้นบ่อย อย่าปล่อยไป จงใช้ปรากฏการณ์นั้น ถือว่าเป็นอุปกรณ์ฝึกเฉพาะตัว
ไม่ว่าจะในภาวะธรรมดาที่อยู่ในชีวิตประจำวัน หรือว่าในขณะหลับฝันก็ตาม อันไหนเกิดบ่อยๆอย่าปล่อยไป
ขอให้เอามาใช้ประโยชน์ ถ้าไม่รู้จะสังเกตความเป็นอนิจจังอย่างไร เดี๋ยวมาถามกันได้ในรายการนี้นะครับ
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น