วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๑.๘๘ การหลับอย่างมีสติและไม่เหนื่อยตอนตื่น


การมีสติเวลาหลับควรจะเริ่มฝึกอย่างไรดีคะ และสงสัยว่าทำไมตอนตื่นถึงไม่เหนื่อยคะ?

รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/ZdWCPs_8J4c
ที่ตอนตื่นไม่เหนื่อยเพราะว่ามันมีความพอ ที่มีอาการพอที่ใจเป็นหลักนะ ถ้าหากว่าใจ ถ้าหากว่าจิตนี่ มีความอิ่มเต็ม มีความสดชื่น มีความพร้อมที่จะเปิดกว้าง ที่จะมีความแจ่มใสนะ ร่างกายก็จะถูกกระตุ้น สารต่างๆนานาที่มันเป็นสารดีๆมันจะหลั่งออกมา สารที่เสียๆมันก็จะถูกขจัดออกไป นี่คือลักษณะที่เราตื่นขึ้นมาแล้วไม่เหนื่อยนะ การที่จะตื่นขึ้นมาไม่เหนื่อยได้ ใจมันต้องหลับอย่างดี ใจมันต้องหลับอย่างมีความสุข ถามว่าใจจะหลับอย่างดี ใจจะหลับอย่างมีความสุขได้อย่างไร พระพุทธเจ้าให้หลักการไว้สองข้อ หนึ่งคือ มีสติขณะหลับ สองคือมีเมตตา ใจมีเมตตาเป็นปกติ

คำว่าใจมีเมตตานี่ คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกันมากเลย นึกว่าไปแผ่เมตตา สองนาที ห้านาที แล้วก็แล้วกัน จบแล้ว หมดหน้าที่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรต่อ ถือว่ามีเมตตาแล้ว อันนั้นไม่ใช่เลย ความมีเมตตาที่แท้จริงนี่คือ ความสามารถที่จะให้ทาน ในทานที่ควรให้ แก่คนที่ควรให้ ในเวลาที่เหมาะสม คือพูดง่ายๆว่า พร้อมจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนอื่น มีความเอื้ออารี เอื้อเฟื้อ คือมีความไม่ตระหนี่ถี่เหนียวนะ เห็นใครเดือดร้อนก็ช่วยได้ก็ช่วย ถ้ามีเศษเงินเหลือนะ ก็มีความอยากจะให้เป็นทาน ให้แก่คนที่เขาไม่มี ให้แก่คนที่เขาอดอยาก หรือมีเรื่องอะไรกับใคร หรือเขามาทำให้เราเกิดความเดือดร้อนรำคาญใจ เราก็มีความสามารถที่จะให้อภัยเขาได้ ไม่อยากไปผูกใจเจ็บ ไม่อยากจะไปเอาเรื่องเอาราว ให้มันมากมายนะ ยกเว้นแต่ว่า มันเหลือวิสัยจริงๆถ้าขืนปล่อยไปจะเกิดความเดือดร้อนในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของเราเองหรือว่าชีวิตของคนรอบตัวรอบข้าง ถ้าหากว่าเราให้อภัยได้ ก็จะให้อภัย แต่ถ้าอภัยไม่ได้จริงๆก็จะเอาเรื่องโดยที่ไม่ได้ประกอบด้วยโทสะ แบบนี้เรียกว่าเป็นคนที่มีเมตตาจริงนะครับ

ถ้าหากว่าให้แต่ทาน แต่ว่าอภัยไม่เป็น ไม่รู้ว่าเรื่องไหนควรอภัย ไม่รู้ว่าเรื่องไหนไม่ควรอภัย แบบนี้ก็เรียกว่ายังให้ทานไม่เป็นอยู่ นอกจากนั้น ก็จะต้องมีความสามารถที่จะห้ามใจตัวเอง ไม่ให้เบียดเบียนเพื่อนร่วมโลกด้วยการที่เราสามารถงดเว้นจากบาปทั้งปวง การถือศีลห้านี่ก็คือการให้ทานแบบชนิดที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นมหาทาน คือไม่ต้องเบียดเบียนใครเขาด้วยชีวิต ไม่ต้องเบียดเบียนใครเขาด้วยความโลภ การไปเห็นใครเขามีของดี แล้วอยากจะเอามาเป็นของของเราบ้างอะไรแบบนี้ ถ้าหากว่าถือศีลห้าได้ เรียกว่าทำให้จิตเริ่มมีเมตตา รินออกมาโดยไม่ต้องไปฝืน ไม่ต้องไปแผ่ พยายามแผ่เมตตาทั้งๆที่จะไม่มีความสุขจะแผ่ การที่เราสามารถให้ทานได้ มันมีความชุ่มชื่น การที่เราสามารถรักษาศีลได้ มันมีความสะอาด ความชุ่มชื่นที่สะอาดนั่นแหละนะ มีความพร้อมที่จะเป็นสุขแล้ว และคนที่พร้อมจะเป็นสุขนั้นก็มีความพร้อมที่จะแผ่เมตตา นี่เรียกว่า การมีเมตตาอย่างแท้จริงในชีวิตประจำวันนะครับ

และถ้าหากว่าเรามีความสามารถที่จะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ มาแผ่เมตตาหลังสวดมนต์ อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมา…ได้ นี่ยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่นะ ลักษณะของคนที่มีความสุขนั้นเกิดจากการมีเมตตาจิตจริงๆจะทำให้เป็นผู้สามารถหลับสบาย หลับแล้วไม่มีความรู้สึกว่า ตัวเองจะถูกเบียดเบียนด้วยเหตุใดๆ คือคนที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น ก็จะไม่ถูกโลกเบียดเบียน เห็นได้จากอาการทางใจเลย เหมือนกับรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ต้องถูกเบียดเบียนด้วยการปรุงแต่งของจิตของตน ไม่ต้องถูกเบียดเบียนด้วยวิญญาณร้ายจากภายนอก ไม่ต้องถูกเบียดเบียนจากการที่เราเคยทำบาปไว้ แล้วบาปนี่ย้อนมาเล่นงานเราด้วยประการใดๆ มันมีความรู้สึกสบายใจ ความสบายใจที่ประกอบกับการมีสติในขณะหลับ ตัวนี้แหละที่จะทำให้ใจเป็นสุขในขณะหลับ แล้วตื่นขึ้นมาอย่างมีเรี่ยวมีแรง

การมีสติขณะหลับนี่เอาง่ายๆเลยนะ คือถ้าฟุ้งซ่านอยู่ รู้ตัวว่าฟุ้งซ่าน ถ้าเกิดมีความกังวลไปในอนาคตข้างหน้า รู้ตัวว่ามีความกังวลไปในอนาคต อาการใดๆ เกิดขึ้นในขณะจิตก่อนหลับ จะเป็นส่วนเสีย จะเป็นส่วนที่มันแย่อย่างไรก็แล้วแต่นะ เราสามารถรับรู้ได้ตามจริง ยอมรับตามจริงว่ามันมีอาการนั้นๆ ยู่ แล้วเราก็หาที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว ที่ดีให้กับจิตใจ อย่างเช่น ลมหายใจ หายใจเข้า ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก ถ้ายังฟุ้งซ่านอยู่ก็รู้ว่า หายใจเข้าทั้งฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านอยู่อีกก็รู้ว่า เออ หายใจออกก็ยังฟุ้งซ่านอยู่ จากนั้นนี่เราจะเกิดความรับรู้ที่แตกต่างไป คือเห็นว่าในแต่ละครั้งที่หายใจเข้า แต่ละครั้งที่หายใจออกนี่ความฟุ้งซ่านไม่เท่ากัน คือไม่ใช่ไปเพ่งๆเพ่งๆเอานะว่านี่หายใจเข้าอยู่ นี่หายใจออกอยู่ เพื่อให้เกิดสมาธิ แบบนั้นมันมักจะเกิดความฝืน มันมักจะเกิดความรู้สึกว่าอึดอัด มันมักจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า เออ เราทำไม่ได้ แต่ถ้าหากเราฝึกยอมรับตามจริง ตามแนวทางของพระพุทธเจ้านะ รู้ตัวว่าฟุ้งซ่านอยู่ หายใจเข้าฟุ้งซ่าน หายใจออกฟุ้งซ่าน มันจะค่อยๆเห็นขึ้นมาตามจริงว่า แต่ละครั้งที่ฟุ้งซ่านนี่นะ แต่ละระลอกลมหายใจที่ฟุ้งซ่านนี่ มันไม่เท่ากัน ระลอกลมหายใจแรกฟุ้งซ่านมาก แต่พอรู้ๆไปเล่นๆ นะ ระลอกลมหายใจที่สอง หายใจเข้าฟุ้งซ่านไม่เท่าเดิมแล้ว เบาบางลง แล้วพอเดี๋ยวๆนี่สติมันเริ่มเบลอไป มีความรู้สึกเหมือนกับไม่รู้เหนือรู้ใต้ขึ้นมา ประสาคนใกล้จะหลับ ก็จะเห็นขึ้นมาอีกว่า เออ!มันกลับมาฟุ้งซ่านเยอะอีกแล้ว เห็นไปอย่างนี้นะ ว่าฟุ้งซ่านแต่ละครั้งนี่ไม่เท่ากัน ไม่ใช่ไปยินดีกับไอ้ตอนที่ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ไปยินร้ายกับตอนที่มันฟุ้งซ่านจัดขึ้นมา แต่ยินดีที่จะรู้ว่าบางระลอกลมหายใจ เราฟุ้งซ่านจัด บางระลอกลมหายใจเราฟุ้งซ่านแค่เบาบาง ยินดีที่ได้รู้นะ ว่าความฟุ้งซ่านไม่เที่ยงในแต่ระลอกลมหายใจ นี่ตรงนี้เรียกว่ามีสติก่อนหลับแล้ว 

ตรงนี้เรียกว่า ก้าวลงสู่ความหลับด้วยอาการของคนที่ไม่หลงแล้ว ถ้าหากมีโอกาสที่จะฝึกอย่างนี้สักสิบวัน ภายในอาทิตย์เดียวผมรับประกันว่า เราจะเริ่มเห็นผล เห็นชัดๆตอนตื่นนอนขึ้นมานี่มันมีสตินำขึ้นมาก่อน ลมหายใจจะปรากฏชัดสืบเนื่องจากตอนก่อนนอน มันจะเกิดความรู้สึกว่าจิตใจของเรามีความวิเวก จิตใจของเรามีความไม่แล่นไปข้างหน้า แล้วก็ไม่ย้อนกลับไปข้างหลัง แต่มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ที่มีการหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้าง ความสุขที่เกิดจากสติอันเป็นปัจจุบันนั้น ประกอบกับฐานของเมตตาที่มีอยู่กับจิตตลอดเวลา จะทำให้เราไม่เป็นผู้ที่เหนื่อยอ่อนในการตื่นนอน ไม่เป็นผู้ที่ท้อแท้ ไม่เป็นผู้ที่ไม่อยากตื่น ไม่รู้จะตื่นขึ้นมาทำไม เพื่อเจอความเหน็ดเหนื่อย เพื่อเจอความน่าหน่ายแหนงของชีวิต แต่จะกลายเป็นผู้ตื่นมา ด้วยความรู้สึกสดชื่น กระตือรือร้น ที่จะอยู่กับชีวิตที่มีความสุข เป็นสุขจริงๆไม่ใช่สักแต่พูดว่าพยายามให้เป็นสุข มีความเมตตาจริงๆไม่ใช่สักแต่ว่า มาท่อง สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น