วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๑.๑๕๗ ห่างการภาวนานาน แต่อยากเริ่มใหม่

ถาม -- ช่วงนี้รู้สึกจิตมันมักจะหลบๆ ทำเฉยเมยนิ่งๆ เหมือนไม่ค่อยอยากจะรับรู้อะไร อีกทั้งปล่อยเพลิน หลงลืมสติไปมาก คงเป็นเพราะตัวขี้เกียจ ทิ้งการปฏิบัติไปนาน ทั้งในรูปแบบและในชีวิตประจำวัน ชีวิตเมื่อก่อนนี่เจ็บป่วยทรมานมากช่วงหนึ่งเลย แล้วก็ให้ความสำคัญมุ่งไปกับการออกกำลังและการรักษาตัว แต่ตอนนี้แข็งแรงขึ้นมากแล้ว ผมไม่ได้ภาวนาก็เลยไม่กล้าไปพบครูบาอาจารย์เลยครับ ห่างไปเรื่อยๆ ขอคำแนะนำว่า ถ้าจะกลับมาเริ่มเอาจริงใหม่?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/653SYzMI9MM

ดังตฤณ : 
เอาตรงนี้ก็แล้วกันนะครับ คือการที่เราเคยปฏิบัติมานานนี่นะ แล้วหยุดไปช่วงหนึ่ง จะด้วยสาเหตุติดขัดอะไรก็แล้วแต่ จะเรื่องของสุขภาพ จะเรื่องของหน้าที่การงานที่ยุ่งเหยิง หรือจะเรื่องของชีวิตส่วนตัว ที่มันมาดึงเราไปนะครับ ก็ขอให้มองว่าเวลาที่เรากลับมานับหนึ่งใหม่นี่ เรานับหนึ่งก็จริง แต่ว่าด้วยกำลังขา ด้วยกำลังแขน แล้วก็ด้วยประสบการณ์ของคนที่เคยนับห้า นับหก มาแล้วนะ 

นับหนึ่งใหม่นี่ มันเป็นนับหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกจะได้ไม่ต้องไปติด จะได้ไม่ต้องไปมัวแต่นะ คิดหลงว่า เราถึงขั้นห้า ขั้นหกมาแล้ว แต่เป็นอิสระพอที่จะรู้สึกว่า เออ กลับไปเป็นเด็กน้อย กลับไปเป็นเด็กประถมนะ หรือกระทั่งเด็กอนุบาลที่ไม่ประสีประสาอะไรกับเส้นทางนี้ แต่ด้วยประสบการณ์ที่เคยเก๋ามาก่อน ด้วยประสบการณ์ของคนโตมาก่อน มันจะมีความรู้สึกเป็นเด็กโข่งที่ได้เปรียบกว่าเด็กอนุบาลหรือว่าเด็กประถมทั่วไปนะครับ คนอื่นนับหนึ่งแบบไม่รู้ประสีประสาแล้วก็หลงวน แต่เรานับหนึ่งแล้วพร้อมที่จะก้าวไปถึงสอง สาม สี่ ได้โดยง่ายด้วยเวลาอันสั้น 

วิธีที่จะก้าวออกจากก้าวแรกได้ง่ายที่สุดนะ ก็ทำตามคำพระพุทธเจ้านั่นแหละนะ สังเกตอยู่ว่า ขณะนี้เราหายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่ หายใจยาวหรือหายใจสั้นอยู่ จนกระทั่งมันเกิดการรับรู้ขึ้นมาว่า เออ ไอ้ที่หายใจอยู่นี่นะ มันเป็นลมหายใจ มันเป็นลักษณะของธรรมชาติที่มีอาการพัดเข้าแล้วก็พัดออก ส่วนจิตนี่ของเราที่มันรู้ มันดูอยู่ นี่เป็นต่างหากนะ ถ้าหากว่าถึงความรับรู้ตรงนั้นได้นี่ ตรงนี้แหละมันต่อติดแล้ว นี่เขาเรียกว่านับหนึ่งใหม่จริงๆนะ นับหนึ่งใหม่ตรงที่หายใจเข้า หายใจออกอย่างธรรมดานี่ แล้วก็มีสติรู้ว่า กำลังนี่เป็นอย่างนี้อยู่นะ อาการพัดเข้าเป็นอย่างนี้ อาการพัดออกเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวก็ยาว เดี๋ยวก็สั้น นี่มันเริ่มเหมือนกับเด็กประถมทั่วไป เริ่มเหมือนกับเด็กอนุบาลทางวิปัสสนาทั่วไป 

แต่ว่าพอจิตมันเข้าถึงการรับรู้ว่า เออ ตัวของมันเองนี่มีหน้าที่รับรู้อยู่ มีหน้าที่ดูอยู่ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ดูอยู่ ไม่ใช่เป็นลมหายใจเสียเอง นี่ตัวนี้นะมันจะต่อติด มันจะเห็นว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ เออ อิริยาบถนั่งลักษณะมันเป็นอย่างไร มันมีความรู้สึกเหมือนหลังตรงนะ คอตั้งนะ แล้วก็ในอาการหลังตรง คอตั้งอยู่นี่ รู้สึกว่ามันมีความโปร่ง มันมีความเบา หรือว่ามันมีความทึบ นี่มันจะรู้ทาง แล้วพอรู้ทางนี่นะ มันก็จะสังเกตออกว่า ลักษณะความรู้สึกโปร่ง ลักษณะความรู้สึกทึบแน่น หรือว่าจะมีความสุขมาก จะมีความสุขน้อย อย่างไรก็ตามนี่ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นี่ตัวนี้นี่นะ ถ้าเริ่มติด สตาร์ทติดแล้ว แค่ห้านาทีนี่บางทีมันก้าวพรวดเลยนะ แซงจากที่เคยได้ขั้นห้า ขั้นหก ไปเป็นขั้นเจ็ด ขั้นแปดเสียอีกนะ บางคนเป็นอย่างนั้นนะ 

เพราะอะไร เพราะว่ารู้แล้วนะว่าเคยผ่านมาอย่างไร แล้วก็ตัดความหลงตัวแบบผิดๆไปนะ ในคราวก่อนนี่ ถึงขั้นห้า ขั้นหกนี่ ชอบไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเขาว่า นี่ฉันขั้นห้า ฉันขั้นหกแล้วนะ ฉันสามารถให้คำแนะนำกับขั้นสอง ขั้นสามได้นะ ฉันมีคำชมจากครูบาอาจารย์มาแค่นั้น แค่นี้นะ นี่มันจะสลัดทิ้งไป เพราะว่ากลับไปเริ่มต้นใหม่ มันมีความรู้สึกเหมือนกับ เออ เราไม่ได้มีอะไรน่าชมเชยเลย เราไม่น่า เราไม่มีอะไรที่น่าประมาทเลย นี่ข้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น