ถาม : ถ้าเรารู้สึกว่ากิเลสน่าจะหมดไปเป็นอย่างๆแล้ว
แต่ยังไม่เกิดมรรคไม่เกิดผลสักทีจะทำอย่างไร? ควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้มันเข้มข้นขึ้น
และช่วยให้ถึงความตั้งมั่นและล้างผลาญกิเลสขั้นต้นได้?
คำตอบคือ
การที่ได้เห็นรูปสักแต่เป็นรูป เห็นนามสักแต่เป็นนาม ไม่มีตัวตน
และเพื่อที่จะเข้าถึงพระโสดาบันได้นั้น เวลาคนไปถามพระพุทธเจ้า
ไม่ว่าใครจะไปถามท่าน
ก่อนถึงมรรคผลหรือกระทั่งว่าถึงมรรคผลขั้นต้นเป็นพระโสดาบันแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านก็จะตอบเป็นคำตอบเดียวกันเลย
เวลาที่ใครไปถามว่าทำสมถะหรือทำวิปัสสนาดี ท่านตอบว่า
ทำควบคู่กันไปทั้งสมถะและวิปัสสนา คือมีความสงบใจ สงบจากกิเลสชั่วคราว
เพื่อให้จิตมีความตั้งมั่นมากพอที่จะเห็นตามจริง และหลังจากนั้น
เมื่อจิตมีความพร้อมที่จะเห็นตามจริง ก็เอาไปรู้เอาไปดูว่าภาวะปัจจุบันนี่
ตรงไหนที่มันมีความเที่ยง ตรงไหนที่มันน่าให้ชี้ว่าเป็นตัวเป็นตนนะครับ
ถ้าหากว่าเราตามรู้เราตามดูแต่สิ่งที่มันไม่เที่ยง
ตามรู้ตามดูแต่สิ่งที่มันไม่ใช่ตัวตน
ในที่สุดจิตก็จะมีความสามารถเป็นเครื่องประหารอุปาทานที่ยึดมั่นถือมั่นมานานว่ากายว่าใจนี้มันเป็นตัวเป็นตน
เราก็จะสามารถสลัดอุปาทานนี้ทิ้งไปได้
แต่ถ้าตราบใดยังไม่ถึงตรงนั้น
อย่าไปเร่งเด็ดขาด อย่าไปคิดว่า ทำอะไรเพิ่มขึ้นไปเป็นพิเศษแล้ว
จะเป็นเหตุให้เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาทันใจ มันไม่มีอะไรแบบนั้น
มีแต่ว่าเราใช้ชีวิตทั้งชีวิตนี่แหละ
ชีวิตนับตั้งแต่วินาทีนี้ไปจนกระทั่งสิ้นชีวิต
ไปเพื่อที่จะเห็นว่าชีวิตมันสักแต่เป็นชีวิต ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
สักแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปด้วยเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งมันมาประชุมประกอบกันชั่วคราว
นะครับ
ถ้าหากว่าเราทำใจไว้ได้จริงๆว่า
จะใช้ชีวิตที่เหลือนี่แหละเพื่อที่จะรู้ เพื่อที่จะดูความจริงอันไม่เที่ยง
ความจริงอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนในกายใจ
อันนั้นเรียกว่ากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ถ้าหากว่า
นึกอยากที่จะได้มรรคผล
แล้วนึกสำคัญไปว่าจะมีอุบายใดอุบายหนึ่งมาทำให้เราบรรลุมรรคผลได้อย่างรวดเร็ว
อันนั้นมันผิดทันที
มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้ฐานะของใคร
ว่าด้วยกรรมอันใดที่ทำมาในอดีต และด้วยอุบายอันใดที่พระองค์จะมอบให้ จึงสามารถทำให้คนๆนั้นบรรลุมรรคผลได้อย่างฉับพลัน
และไม่ใช่ว่าพระพุทธองค์จะสามารถช่วยใครให้บรรลุมรรคผลแบบฉับพลันได้ทุกคนนะ ไม่ใช่
บุคคลผู้นั้นจะต้องมีความปรารถนาในทางใดทางหนึ่งไว้ก่อน
หรือทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษมาเพื่อที่จะบรรลุมรรคผลได้ง่าย ด้วยการพบพระพุทธเจ้า
อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ แล้วถึงจะมีสิทธิ์ปิ๊งขึ้นมาได้แบบเร็วๆ
นอกนั้นจะต้องทำกันแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปกันทั้งนั้น
ผมยกตัวอย่างให้ง่ายๆนะครับ
อย่างพระราหุล
พระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่ท่านจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คนคาดหมายว่าพระพุทธเจ้าน่าจะเมตตาสั่งสอนพระราหุลให้ได้บรรลุมรรคผลเร็วกว่าใคร
น่าจะคุมกันตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่จริงๆไม่ใช่เลย
พระพุทธเจ้าท่านให้ธรรมสติปัฏฐานเพื่อเป็นแบบอย่างเลยว่า นี่ลูกของท่านเอง
ท่านสอนแบบนี้ ท่านสอนให้ทำเอง สอนให้ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่มีอุบายลัดใดๆเลย
ในพระไตรปิฎกไม่มีสอนเลย
ว่าให้พิจารณาอย่างนั้นให้พิจารณาอย่างนี้ แล้วจะได้เห็นธรรมรวดเร็ว ไม่มีเลย
มีแต่ว่าพระสารีบุตรท่านสอนพระราหุลว่า ให้ดูลมหายใจ
ทีนี้พระราหุลท่านไม่แน่ใจว่าดูลมหายใจอย่างเดียวหรือ
พระพุทธเจ้าท่านก็มาเสริมให้ในภายหลัง ลับหลังพระสารีบุตรไปแล้ว บอกว่าดูเวทนาด้วย
ดูสัญญาด้วย ดูสังขารด้วย ดูวิญญาณด้วย คือท่านเห็นว่า
ที่พระสารีบุตรให้เป็นการบ้านนี่ มันง่ายสำหรับมือใหม่
แต่ว่าพระองค์เห็นว่าพระราหุลสามารถรู้ได้หมด ก็เลยบอกว่าให้ดูให้ครบทุกขันธ์เลย
ทั้งขันธ์อันได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นะครับ
นี่ก็เป็นหลักฐานชี้ว่า
เวลาพระพุทธเจ้าสอนคนที่ท่านน่าจะมีเมตตาให้มากที่สุด ท่านสอนให้ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
ไม่ได้สอนให้ใช้อุบายลัดใดๆทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น