วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๑.๑๓๘ ฝึกเจริญสติ ต้องมีครูหรือไม่?

ถาม :  ในเราสามารถเจริญสติหรือทำสมาธิด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์สอนแบบพบปะกันโดยตรง แต่อาศัยเพียงการฟังหรืออ่านเอาเองจากสื่อต่างๆได้หรือไม่? เคยได้ยินมาว่า จะต้องมีอาจารย์คอยสอนและสอบอารมณ์ด้วย หากทำเองได้ ช่วยแนะนำเทคนิควิธีหรือข้อควรทำและไม่ควรทำด้วยครับ? แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามาถูกทางหรือเปล่า ก้าวหน้าหรือยัง?



รับฟังทางยูทูป : http://youtu.be/BG1KeFr-h2o

ดังตฤณ:  การทำเองนี่มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ที่เราจะไม่ได้มีการรับคำสอนมาจากใครไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจริญสติที่จะให้บรรลุมรรค บรรลุผลนะครับ ก็จำเป็นที่จะต้องมีกัลยาณมิตร เช่นมีพระพุทธเจ้าเป็นครู ถ้าเราคิดอยู่ในใจ ทำไว้ในใจว่า เรามีพระพุทธเจ้าเป็นครู อันนั้นใช้ได้ แต่ถ้าบอกว่าทำเอง แล้วอ่านจากทางโน้นทีทางนั้นทีแล้ว อันนี้ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นครูกันแน่

เราทุกคนต้องมีครู ทีนี้ครูไม่จำเป็นต้องมาพูดสอนอยู่ต่อหน้าต่อตาเสมอไป เช่นพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่อยู่แล้ว พระอรหันต์ครั้งพุทธกาลก็ไม่อยู่แล้ว ดับขันธปรินิพพานไปกันทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว เหลือแต่ครูบาอาจารย์ร่วมสมัย ซึ่งค่อนข้างยาก ที่เราจะไปหาครูบาอาจารย์มาคอยชี้แนะ คอยกระหนาบเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่นเดียวกันกับครั้งที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ อย่างพระพุทธเจ้านี่ ท่านตรัสเทศน์ให้คนร้อยคนฟังนี่นะ ท่านสามารถใช้ความสามารถเฉพาะพระองค์ ทำให้คนร้อยคนฟังแล้วเข้าใจไป หรือเห็น หรือว่าได้ยินท่านตรัสได้แตกต่างกัน เหมือนกับที่ท่านสามารถปรากฏพระวรกายไปได้หลายๆแห่งพร้อมๆกันในเวลาเดียวกันแบบนั้นนะ

ในยุคเรา ถ้าคิดนะว่าเราฟังซีดี เราอ่านธรรมะของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านใด และนับถือท่านเป็นอาจารย์ด้วยใจเคารพท่านจริงๆนะ ก็เหมือนกับมีท่านมาสอนนั่นแหละ ไม่ได้แตกต่างกันมากนะ ถึงท่านมาสอน ท่านก็คงไม่ได้มาสอนตลอดเวลา

คนที่จะไปร่ำเรียนกับครูบาอาจารย์ที่จะคอยดูให้เราตลอดเวลา ดูว่าเราถูกหรือผิดน่ะ ก็จะเป็นพวกที่ต้องไปบวช แล้วก็อยู่กับท่านจริงๆ ไม่ก็ต้องเข้าคอร์สเข้าอบรม

ซึ่งถ้าหากว่า ในกรณีของครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนถูกแน่ๆ ผ่านทุกขั้นทุกตอนมาแล้วแน่ๆ ท่านหมดกิเลสแล้วแน่ๆ ก็ดีเหมือนกัน ก็คือท่านสามารถเห็น จะเห็นเป็นมุมมองจากเบื้องบนนะว่า การเดินทางของเรามาถึงไหนแล้ว แต่ละจุดของแผนที่นี่ ท่านจะรู้ ท่านจะทะลุมาหมดแล้ว สามารถมองออก หรืออ่านได้ว่า จุดที่เรายืนอยู่ หรือเดินทางมาถึงนี่ อยู่ตรงไหน จะต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา จะไปยังไงต่อ จะต้องเดินหน้าหรือถอยหลังบ้าง เพื่อจะไม่ให้ตกเหว ท่านก็จะบอกเราได้เป็นเรื่องๆ

แต่ว่าครูบาอาจารย์ประเภทนั้นนี่ นอกจากหายากแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะไปอยู่ใกล้ท่าน ไม่ใช่ว่าท่านจะยอมสอนอยู่ตลอดเวลาง่ายๆนะ ท่านก็กลัวเราจะเป็นเด็กไม่ยอมโต อาจจะให้คำแนะนำไม่แตกต่างจากที่เราเคยได้ยิน หรือได้อ่านคำสอนของพวกท่านจากคำสอนในซีดี หรือหนังสือ ไม่ได้แตกต่างกันเลย ให้คำแนะนำแล้วไปปฏิบัติเอา

การที่เราจะได้รับการสอบอารมณ์ที่ถูกต้องจากผู้รู้แท้จริงนี่ ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ จะบอกว่า อย่าไปหาดีกว่านะ พูดอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน ถ้าไปตั้งความหวังหรือหาอะไรแบบนั้น ลองคิดดู มีคนอยู่สักไม่มาก ทั้งประเทศ เอาแค่มีคนหมื่นคนอย่างนี้ แล้วมีครูบาอาจารย์ที่ทำได้อย่างนั้นจริงๆอยู่แค่สักสิบคน อย่างนั้นแปลว่า ต้องแบกรับภาระกันเป็นพันต่อคน

ส่วนการสอบอารมณ์ในลักษณะที่ถามมาแล้วตอบไปปากเปล่านี่ ถ้าเป็นไปในลักษณะอาการที่ถูกอัธยาศัย ก็โอเค แต่ระมัดระวังนิดหนึ่งแล้วกันนะครับ เพราะการที่เราจะไปให้ใครบอกนี่ จะถูกหรือผิดแค่ไหนยังไง ถ้าหากว่าสื่อสารกันไม่ตรงจริงๆ หมายความว่า เราเล่าอย่างหนึ่ง แล้วท่านตอบมาด้วยความเข้าใจอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมุมมองอีกอย่างหนึ่งนี่นะ มันก็กลายเป็นคำแนะนำที่ผิดพลาดเหมือนกัน นอกจากทำให้เราไม่ก้าวหน้าแล้ว อาจทำให้เรามีอาการที่ผิดปกติบางอย่างได้ด้วย

ฉะนั้น โดยสรุปแล้ว ก็คือว่าถ้าอยากจะทำสมาธิ หรือว่าเดินจงกรมอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้จะสละความสุขในฆราวาสวิสัยเพื่อออกไปบวช พบครูบาอาจารย์ในป่าในเขาจริงๆ ก็ใช้วิธีอ่าน ใช้วิธีฟังเอานั่นแหละนะ

แล้วก็หลักการวิธีที่จะเป็นเครื่องประกันที่เราจะอยู่ในทางที่ถูกต้อง ไม่หลงพลาดไปหาอะไรก็ไม่ทราบ ก็ควรจะศึกษาพุทธพจน์ให้ดีว่า ท่านตรัสไว้อย่างไร เพราะพระพุทธเจ้า เป็นครูบาอาจารย์ของครูบาอาจารย์ทุกคนที่เรามีอยู่พระองค์เดียวเลย ในโลกเลย นี่ก็เป็นต้นแหล่ง ต้นกำเนิดของครูบาอาจารย์ไม่รู้กี่ล้าน กี่สิบล้านคน หรือกี่สิบล้านท่านน่ะนะครับ ฉะนั้นถ้าเราได้ศึกษาจากราก เราได้ทราบว่าบรมครู หรือว่าครูใหญ่ที่แท้จริงนี่ ท่านสอนอะไรไว้บ้าง ก็จะได้เป็นความอุ่นใจว่า เรามีภูมิต้านทานกับคำสอนผิดๆ หรือว่าพอเราไปพบกับข้อขัดแย้งใดๆขึ้นมา อย่างน้อยเราก็บอกตัวเองถูกว่า จะใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตรวจสอบ ในการพิจารณาว่า นั่น เป็นคำสอนที่สืบทอด ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นจากครั้งพุทธกาลสู่ยุคไอทีของเรานี้นะ

ถ้าไม่มีหลัก ไม่มีเกณฑ์ ไม่มีต้นเค้า ไม่มีต้นแหล่งที่เราจะเชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนพูด เราก็จะเหมือนกับฟังคนโน้นที ฟังคนนั้นที ไม่ทราบว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของเขาหรือท่าน หรือว่าเป็นการคิดเอาเอง หรือว่าเป็นการตีความเอาเองของใคร

ในเรื่องความเชื่อ ในเรื่องศรัทธา ในเรื่องของข้อสรุป หรือการตีความในพระพุทธศาสนานี่ เป็นสิ่งซับซ้อนที่ตกทอด แต่ละรุ่นก็มีความซื่อสัตย์ต่อพุทธพจน์ มีความจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้าไม่เท่ากันนะครับ

อันนี้ก็สรุปนะครับ ลองหาสิ่งที่เราเชื่อได้ว่าเป็นพระไตรปิฎกมาศึกษาดู ขอแนะนำว่า ให้ไปดูมาจากพระไตรปิฎกของ อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ หาเอาในอินเตอร์เน็ตนี่แหละ มีให้อ่านฟรีๆเลย

หลักการโดยรวมนี่ ถ้าเราเข้าใจดีแล้ว เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว เวลาไปอ่านหรือฟังหลักวิธีปฏิบัติของอาจารย์ท่านใด เราจะมีทุนอยู่ในใจ เราจะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ คือไม่มีใครสามารถบอกได้ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ผมก็ได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไรมาเยอะ แต่ละคนก็จะคิดว่าตัวเองถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความเป็นจริงก็คือ แต่ละคนรับเอาความเชื่อหรือรับเอาความรู้ที่แตกต่างกัน ที่คลาดเคลื่อนกันมาคนละนิดคนละหน่อย แม้แต่ผมเองก็ต้องปรับความรู้ ก็ต้องสำรวจสอดส่องอยู่เรื่อยๆ บางครั้งช่วงแรกที่อ่านมาฟังมาในช่วงที่สนใจพุทธศาสนาใหม่ๆ ก็ปักใจเชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้แน่ๆ ตอนหลังมาก็ อันนี้ไม่ใช่แน่ อันนี้ก็ไม่เชิง ก็เป็นแค่การตีความสรุปของใครบางคน หรืออันโน้นยิ่งแล้วใหญ่ เป็นการที่เอาคำพูดของตัวเองไปใส่พระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า โดยไม่มีมูล ไม่มีความจริงใดๆทั้งสิ้นเลย

อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับกันตามจริง ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจพอสมควร ที่เราอยู่ในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้าคอยชี้ว่า อะไรถูกอะไรผิด แต่นั่นแหละก็เป็นสิ่งที่แลกกัน นั่นคือในยุคไอทีของเรา ที่เราจะสามารถศึกษาค้นคว้าคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า หรือคำสอนที่ตกทอดมาสู่ครูบาอาจารย์ที่รู้แจ้งเห็นจริงได้ง่ายดายเหลือเกินครับ อยู่กับบ้าน ใช้ปลายนิ้วกระดิกไม่กี่ทีนี่ เราได้หลักธรรมคำสอน ได้หลักวิธีปฏิบัติมามากมายก่ายกอง ซึ่งอันนั้น บางทีพูดตรงๆอาจจะต้องอาศัยแบล็กกราวนด์ของเรา

ซึ่งแบล็กกราวนด์ของเราหมายถึง ของเดิมที่ผูกมาในอดีตตามแนวทางของท่านไหน และแนวทางปัจจุบันว่า เราอ๋อ พร้อมพอที่จะศึกษา มีกำลังใจที่จะกระตือรือร้นแค่ไหนด้วยนะครับ แต่ไม่แนะนำเลยที่ว่า จะให้เราแส่ส่ายไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่หยุดว่าเป็นของครูบาอาจารย์ท่านใด เรารับหมด อันนี้ก็ไม่เหมาะเหมือนกัน เพราะจะพบว่ากี่ปีๆผ่านไป เราไม่ถึงไหนซักที มันย้อนกลับไปนับหนึ่งใหม่อยู่นั่นแหละ นับหนึ่งกับคนโน้นที คนนี้ที


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น