ถาม - ช่วงนี้ผมหัดเจริญสติเน้นหมวดของลมหายใจกับอิริยาบถ
และวัดความก้าวหน้าจากหลักโพชฌงค์ครับ
แต่ผมสังเกตว่าองค์แห่งโพชฌงค์ที่ปรากฏมีแค่สติ แล้วก็ธัมมวิจยะกับวิริยะ
แต่ไม่พบว่ามีปีติเกิดขึ้นเลยไม่แน่ใจว่ามาถูกทางหรือเปล่า? หรือว่าทึกทักเอาเองรบกวนแนะนำด้วย
รับฟังทางยูทูป
http://youtu.be/Ec3ehSpz4ik
ดังตฤณ :
ตัวสติสัมโพชฌงค์นี่จะต้องเป็น
สติอัตโนมัติ นะ
เป็นสติที่มีความคงเส้นคงวา
คือเวลาที่ท่านอธิบายเกี่ยวกับความหมายของสติสัมโพชฌงค์นี่
ท่านพูดถึง
สติที่มีความคงเส้นคงวา นะครับ
ใจความสรุปในพระอภิธรรมนี่จริงๆ
มีเยอะเลยนะ โดยความหมายโดยคำจำกัดความของสติสัมโพชฌงค์นี่ แต่โดยใจความหลักก็คือว่า
ตัวสติที่แท้ในสัมโพชฌงค์นี่นะ มันจะต้องมีความคงเส้นคงวา
และความคงเส้นคงวานี่ถ้าจะใช้ภาษาร่วมสมัยก็คือ มีสติเป็นอัตโนมัติ
เกิดอะไรขึ้นสามารถรู้ได้
โดยไม่ต้องไปบังคับไม่ต้องไปตั้งใจ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ถ้าหากว่าตัวสติมีความเป็นอัตโนมัติแล้ว
ประกอบกับใจของเรานี่ไม่ได้ไปโฟกัสเรื่องแบบโลกๆ เรื่องแบบกิเลสๆ นี่
ในที่สุดมันก็จะเกิดความรู้สึกว่า
เห็นอะไรมันมองเป็นความไม่เที่ยง
หรือไม่ก็มองเป็นอนัตตาไปหมด
หรือไม่ก็มองเป็นการทิ้งกิเลส
เห็นของสวยของงามมันก็เห็นเป็นอสุภะไป
พิจารณาโดยความเป็นอสุภะไป
นี่เขาเรียกว่าเป็น
‘ธัมมวิจยะ’
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ถ้าหากว่าธัมมวิจยะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ
ในที่สุดแล้วตัว ‘วิริยะ’ มันจะเกิดขึ้นมา
วิริยะหน้าเป็นอย่างไร
?
คือมีความกระตือรือร้น
เกิดความรู้สึกว่ามันมีใจจดจ่ออยู่อยากทำไปเรื่อยๆ
ไม่อยากเอาใจไปวอกแวกไปทางอื่นทางไหน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
จะเกิดความรู้สึกอย่างนี้
แล้วตัวความวิริยะที่ถูกต้องนะ
ที่มันมาเอง ที่มันหลั่งไหลมาเอง มีกำลังเองนี่ ตรงนั้นจะทำเกิดความสงบระงับ
เกิดความรู้สึกว่ากายใจนี่นะไม่กวัดแกว่ง ไม่กระสับกระส่ายไปในทางกิเลส
ถ้ามันจะเคลื่อนไหวก็เคลื่อนไหวน้อยที่สุด
เพื่อที่จะทำงานให้ลุล่วงเพื่อที่จะทำกิจให้สำเร็จ แต่ไม่ใช่กระสับกระส่าย
กระวนกระวายด้วยอำนาจกิเลสสั่งนะ ไม่ได้มีความรู้สึกฟุ้งซ่าน
ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากดิ้นรนทุรนทุรายไปทำโน่นทำนี่ในแบบที่ไม่จำเป็น
รู้สึกว่าไม่จำเป็นก็ไม่อยากทำประมาณอย่างนั้น
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ตัว
‘ปีติ’ ไม่ใช่ว่าจะต้องเย็นซาบซ่านอะไรขึ้นมามากมายเสมอไป
แต่ขอให้สังเกตตรงนั้นนะว่า กายสงบระงับ ใจสงบระงับ
มันมีความรู้สึกนิ่งๆ
มันมีความรู้สึกว่าเย็น
มันมีความรู้สึกว่าอิ่มใจ
แค่นี้พอแล้ว
นี่ตัวนี้ต่างหาก ถ้าหากว่าเราไปสังเกตมันมากเกินไป หรือไปตั้งคำถามมากเกินไปว่า
ทำอย่างไรจึงจะรู้สึกปีติ นี่ตัวนี้นี่มันไปรบกวนปีติไปเรียบร้อยแล้ว
คือมีความกระสับกระส่ายทางใจเรียบร้อยแล้ว มีความดิ้นรนขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
อย่างนี้ อันนี้นี่แหละ ตัวจดจ้องรอปีติเกิดนี่แหละ ที่ทำให้ปีติถูกบล็อก
สังเกตก็แล้วกันว่าถ้าหากว่าเราไม่ไปจดจ่อ ไม่ไปตั้งแง่สังเกตมากเกินไปนะ
ตัวปีติมันจะมาเอง คือมากับความสงบระงับทางใจนั้นแหละ
พระพุทธเจ้าให้สังเกตนะว่าปีติที่มันไม่เกิดเพราะอะไร
ถ้าหากว่าเราพบว่า ไอ้ตัวไปจดจ้องไปอยากได้ปีติ อยากให้ปีติเกิดนี่นั่นแหละ
เป็นต้นเหตุของการไม่เกิดปีติ ตรงนี้พอเรารู้แล้วเราก็ระงับต้นเหตุนั้นเสีย
ระงับอาการจดจ้อง ระงับอาการพะวงว่าปีติเมื่อใดจะเกิดไป ปีติมันก็เกิดขึ้นเองนะ
ถ้าหากว่าเรามีตัวสติอยู่แล้ว มีตัวธัมมวิจยะดีอยู่แล้ว
ก็มีความพยายามที่ต่อเนื่องอยู่แล้วไม่ต้องห่วงเลย
ปีติมันจะมาเองแต่ที่มันไม่มาก็เพราะว่าเราอยากให้มันมานั่นแหละ
ตัวอยากนั่นแหละตัวระงับ ไม่ใช่ตัวผลักดันนะครับ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ที่จะวัดว่าเราถูกหรือไม่ถูก
ทึกทักเอาเองหรือเปล่า
ขอให้สังเกตอย่างนี้นะครับ
ว่าใจของเราผูกกับอะไรโดยมาก ถ้าหากว่าจะเป็นช่วงไหนของวันก็แล้วแต่นี่นะ เราพบว่า
ตัวเองมีใจที่เอาใจใส่เข้ามาในใจ
ภาวะทางกาย ภาวะทางใจ
อยู่แค่ขอบเขตนี้
นี่แหละ
ตัวนี้แหละ ไม่ต้องสงสัยเลย ไม่ต้องสงสัยเลยไม่ต้องคิดเลยว่า
อุปาทานไปเองหรือเปล่า มันของแน่เลยนะพอจิตขึ้นอยู่กับทิศทางที่เลือกว่า
เราจะให้ความสนใจ ให้ความใส่ใจกับอะไรโดยมากนะ
ลักษณะของโฟกัสของจิตนี่มันก็จะเกิดขึ้นมาเองเป็นเงาตามตัว
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
อย่างถ้าหากว่าเรากำลังสนใจเรื่องงานเรื่องการ
ก็จะรู้สึกว่าพอเอนตัวนอนลงก็คิดถึงงาน พอจะผุดลุกผุดนั่งก็คิดถึงงาน
จะอาบน้ำจะแปรงฟันอะไรก็คิดถึงงานนี่
อย่างนี้เรียกว่ามีความตั้งมั่นอยู่กับการงานนะ มีใจรักงาน
วิริยะที่เกิดนี่มันจะพุ่งไปที่เรื่องของการงาน
มันก็จะมีความกระสับกระส่ายแบบโลกๆอยากให้เกิดขึ้น อยากให้เป็นไปตามเป้าหมาย
อยากให้ได้อย่างนั้นอยากให้ได้อย่างนี้ ไม่อยากเจอคู่แข่งอะไรต่างๆ ถ้าหากว่ามีความกระสับกระส่ายแบบโลกๆอย่างนั้น
บางทีมีความรู้สึกดีเหมือนกัน เป็นความสนุกเป็นความรู้สึกเพลิดเพลิน
เป็นความรู้สึกยินดีนะ มันจะมีอาการโลดโผน แล้วก็ลักษณะของปีติที่เกิดขึ้นแบบโลกๆ
นี่มันจะไม่เนียนมันจะวูบไปวาบมา
แต่ถ้าหากว่าใจของเราจดจ่ออยู่กับสภาวะทางกาย
สภาวะทางใจตามที่มันเกิดขึ้นตามจริงนี่นะ
ไม่ไปพยายามปรุงแต่งอะไรเกินไปกว่าที่มันปรากฏให้เห็น ปรากฏให้ดูอยู่จริงๆ แล้ว
ในที่สุดความรู้สึกสงบระงับมันเกิดขึ้นจากการเห็นว่า ‘เออ
มันไม่เที่ยงจริงๆ ไม่รู้จะไปเอาอะไรจากมัน ไม่รู้จะไปยึดมั่นถือมั่นกับมันทำไม’
ลักษณะของปีติที่เกิดขึ้นมันจะมีความต่อเนื่อง
มันจะมีความยืนยาวเพราะว่าใจของเรานี่ พอตั้งต้นขึ้นมานะ
มันไม่อยากเอาอะไรเสียแล้ว ไม่อยากเอาสิ่งของภายนอกที่มันกระตุ้นกิเลส
ไม่อยากเอาแม้แต่มรรคผลนิพพาน อยากดูแค่นี้แหละว่า ‘เออ
มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของเรา’ ตัวความสงบระงับอีกแบบหนึ่งจะปรากฏและลักษณะของปีติลักษณะของสุขที่มันปรากฏ
มันจะเป็น ความนิ่ง
ความเนียน ความนาน
ไม่ได้กระโดด
ไม่ได้โลดโผน
ไม่ได้สลับไปสลับมาเหมือนกับตอนที่สนุกแบบโลกๆ
นะครับ
อันนี้ก็ขอให้สังเกตจากตรงนี้ก็แล้วกัน
ลักษณะของปีตินี่นะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น