วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๑.๙๕ นั่งสมาธิแล้วฟุ้งซ่านมากแต่ไม่เครียด

ถาม : ในการสมาธิผมนั่งนับลมหายใจ ก็นับได้เป็นร้อยครั้ง แต่ปัญหาคือ ผมฟุ้งมาก แต่ก็ไม่ได้เครียด นั่งแบบเพลินๆ จะแก้ปัญหาอย่างไรดี?

รับฟังทางยูทูป : http://youtu.be/CFPJ8jpAPcE

ดังตฤณ:  เข้าใจไว้อย่างนี้นะ
ถ้าหากว่าเรากำลังอยู่ในช่วงของการเริ่มต้นนั่งสมาธิ
แล้วมีความฟุ้งขึ้นมา
นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นเรื่องปกติ !

ถ้าใครเริ่มนั่งสมาธิแล้วไม่มีความฟุ้งเลย
ผมว่าก็เป็นความผิดปกติชนิดหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะเป็นความผิดปกติด้านดีก็ตามแต่
นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นความผิดปกติ

แต่ถ้าหากว่าเริ่มนั่งสมาธิแล้วก็ฟุ้งเนี่ย
อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติของทุกคน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

อย่างนี้ดีกว่านะ คิดอย่างนี้
วิธีที่จะต้อนรับขับสู้กับความฟุ้งซ่าน
ที่มีเข้ามาอยู่เรื่อยๆในช่วงเริ่มนั่งสมาธิ
ก็คือ
เห็นความฟุ้งซ่าน โดยความเป็นของไม่เที่ยง
อย่าตั้งใจว่า นั่งลงแล้วหลับตาแล้วเราจะมีความสงบทันที

ความฟุ้งซ่านไม่หายไปนะ มันจะอยู่อย่างนั้นแหละ
แต่ว่าก็จะ
มีช่วง มีจังหวะเว้นวรรค
ให้เราเห็นความไม่เที่ยงของความฟุ้งซ่าน

นี่คือข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างลืมตากับหลับตานะ !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

พอลืมตาเนี่ย
จริงๆแล้วมันก็มีช่วงของความฟุ้งซ่าน มากบ้าง น้อยบ้าง
แต่ว่าเราจะไม่ค่อยเห็น
เพราะว่าสายตาของเรากับหูของเราเนี่ย
ไปรับเอาภาพ เอาเสียงต่างๆมา
ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ไม่ได้โฟกัสอยู่กับการเห็นความฟุ้งซ่าน

แต่เมื่อหลับตาลง
แล้วอยู่ในห้องที่สงบเงียบ
ตรงนั้นแหละ ความฟุ้งซ่านที่เท่าเดิมนะมันจะปรากฏชัดขึ้นมา
เพราะว่าไม่มีอะไรมาแย่งความสนใจไป
ไม่มีภาพ ไม่มีเสียง มาแย่งความสนใจไป
เราก็เลยเห็นความฟุ้งซ่านบ่อยกว่าปกติ

อันนี้
ประโยชน์ของความฟุ้งซ่านในการนั่งสมาธิ
ก็คือ เราสามารถเห็นอะไรอย่างหนึ่ง
กำลังแสดงความไม่เที่ยงได้อยู่ตลอดเวลา
นี่คือประโยชน์จริง !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ถ้าหากว่าไม่มีอะไรแสดงความเป็นอนิจจังให้เราดูแล้วเนี่ย
สมาธินั้นจะเป็นการนั่งสมาธิแบบทื่อๆนะ
ไม่ได้อะไรไปเท่าไหร่

แต่การมีอนิจจังแสดงให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
มีอนิจจังแสดงให้เห็นอยู่เรื่อยๆเนี่ย
มันทำให้ได้ปัญญา
มันทำให้ได้ความจริง
มันทำให้ได้ความรู้ว่า
ไอ้สิ่งที่นึกว่าเป็นตัวเรา สิ่งที่นึกว่าเป็นความคิดของเรา
ที่แท้มันเป็นภาวะความไม่เที่ยงอย่างหนึ่ง
เป็นหนึ่งในภาวะที่แสดงความไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ฉะนั้นครั้งต่อไป เวลานั่งลงหลับตาเพื่อที่จะทำสมาธิ
อย่าคาดหมาย
อย่าตั้งใจว่าเราจะเอาความสงบ เราจะเอาความไม่ฟุ้งซ่าน
แต่
ขอให้คาดหมายว่า
เราจะมานั่งดูความไม่เที่ยงของความฟุ้งซ่าน
ระลอกลมหายใจนี้ มันฟุ้งซ่านจัดนะ
ลองดูซิ เปรียบเทียบดูว่า ลมหายใจต่อไป
ความฟุ้งซ่านมันจะยังได้นะดับเท่าเดิมหรือเปล่า
หรือว่าลดระดับลง หรือว่าทวีตัวเพิ่มขึ้นนะ

ถ้าหากว่าเราตั้งเข็มทิศไว้อย่างนี้
ใจมันจะมีความพอใจยินดี
เมื่อสามารถเห็นความไม่เที่ยงของความฟุ้งซ่าน
ในแต่ระลอกของลมหายใจได้นะ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

แต่ถ้าเราไม่ได้ตั้งทิศทางไว้อย่างนี้
เราไปตั้งเป้าหมายไว้ว่า
นั่งลงจะเอาความสงบเลย แล้วมันไม่ได้ขึ้นมา
ไม่ได้อย่างใจหวัง มันก็ผิดหวัง
พอผิดหวัง มันก็เกิดความกระสับกระส่าย
แล้วก็ดูถูกตัวเองว่า ไม่เอาไหน ทำสมาธิไม่ได้เรื่อง

แต่ถ้าหากว่าเรากะไว้เลย ตั้งใจไว้เลย
ว่านั่งสมาธิคราวนี้ เราจะไม่มาเอาความสงบ
แต่มาเอาความรู้แจ้งเห็นจริง
ว่าความฟุ้งซ่านเนี่ย มันแสดงความไม่เที่ยงให้ดูอย่างไรนะ
นี่เราจะได้สิ่งที่ต้องการ !

แล้วคนเราพอได้สิ่งที่ต้องการ
มันจะเกิดความพอใจในตนเองขึ้นมา
มันจะเกิดความรู้สึกพึงพอใจที่จะกลับมานั่งสมาธิอีก
 นั่งแล้วรู้สึกว่าได้อะไรไป
นั่งแล้วรู้สึกว่าเกิดปัญญา เกิดความฉลาดทางจิตขึ้น !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

แล้วความฉลาดทางจิต หรือว่าปัญญาที่มันเกิดขึ้นนั่นเอง
จะทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า
เออ ทั้งๆที่ความฟุ้งซ่านยังอยู่
แต่ทำไมจิตใจมันสงบเยือกเย็นลง
คือความฟุ้งซ่านไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ในหัวนะ
มันมาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป
มากบ้าง น้อยบ้าง
หนาแน่นบ้าง เบาบางบ้าง
แต่ใจเรามีความสงบ ไม่กระสับกระส่าย


นั่น ตรงนั้นเพราะอะไร
เพราะว่าเราได้เห็นความจริง
ความจริงที่แทบจะเป็นความจริงขั้นสูงสุดเลยที่เดียว
นั่นคืออยากเมื่อไหร่ กระวนกระวายเป็นทุกข์เมื่อนั้น
แม้กระทั่งอยากได้ความสงบ
ก็เป็นต้นเหตุของความกระวนกระวายเป็นทุกข์ทางใจ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ต่อเมื่อเราสามารถที่จะระงับความอยาก
ทั้งอยากคิดที่จะกระเจิงไปแบบโลกๆ
แล้วก็อยากในแบบที่จะเอาความสงบ ทั้งๆที่มันสงบไม่ได้
เลิกอยากทั้งหมด
ไม่ว่าจะอยากดีหรืออยากร้าย
ไม่ว่าอยากที่จะเอาโน่นเอานี่
หรือว่าอยากจะได้สมาธิ
อยากจะได้ฌาน
อยากจะได้มรรคผล
เราไม่อยากเลย !

เมื่อไม่อยากเลย ก็ไม่มีต้นเหตุแห่งทุกข์เลย
เราจะพบความจริงตรงนี้
พบความจริงที่ปรากฏการณ์ทางจิตเลยนะ
ไม่ใช่คำเล่าลือ ไม่ใช่การมาคุยกันเล่นๆ

ความสงบทางจิตเนี่ย
มันจะเป็นความรู้สึกว่า จิตใจไม่ไหวติง
แม้กระทั่งมีความฟุ้งซ่านผุดขึ้น
ก็เหมือนกับฝุ่นทรายที่ซัดมา
แล้วก็ลอยลมไป หายไป
โดยที่เราไม่มีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย


.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

มันจะเป็นรสชาติแปลกใหม่ในการนั่งสมาธิ
สมาธิที่เกิดขึ้น
จะเป็นสมาธิที่ยืนอยู่บนฐานของปัญญาแบบพุทธ
หรือที่เรียกกันว่า พุทธิปัญญา

ขอให้มองอย่างนี้นะ


สรุปก็คือ ตั้งเป้าหมายไว้
ว่าเราไม่ได้จะมาเอาความสงบ
แต่เราจะมาเอาความรู้แจ้งเห็นจริง
เพื่อให้ความรู้แจ้งเห็นจริงนั่นล่ะ
มาระงับซึ่งความอยาก ซึ่งความทะยานแล่นไปทั้งปวง

พอความอยาก ความทะยานแล่นไปทั้งปวง
มันสงบระงับลงได้
นั่นแหละ ความสงบทางจิตไม่ต้องถามหาเลย
มันมาเองนะครับ มันอยู่ตรงนั้นแหละ !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น