วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๒.๑๐๑ แก้ภาพหลอนติดตาจากบาปฆ่าสัตว์

ถาม :  แต่ก่อนเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องบาปกรรม และเมื่อสองสามปีที่แล้วเคยต้องฆ่าหนู โดยใช้กาวดักหนู เนื่องจากหน้าที่ คือมีหน้าที่ต้องกำจัดบรรดาตัวก่อเชื้อโรคในโรงพยาบาลสัตว์ให้เร็วที่สุดนี่นะ กาวซึ่งดักได้ทีละสองสามตัวจึงไวกว่า และยาที่กินแล้วนี่ หนูจะไปแห้งตาย โดยไม่ส่งกลิ่น ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ผมน่าจะฆ่าหนูซัก ๒๐ ตัวได้

ที่นี้พอได้บวช ก็เกิดความกลัวบาป หลังสึกมาก็ใช้กรงดัก แล้วก็ไปปล่อยทีละตัว แต่กลายเป็นว่าทุกวันนี้ผมจะมีกระแสความคิดมาเรื่อยๆ เป็นภาพหนูที่ติดอยู่บนกาว มีแววตาตาน่าสงสาร และก็จำได้ว่าเอาไปทิ้งขยะทั้งเป็นๆด้วยความรังเกียจปนสงสาร ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยมีกระแสความคิดนี้ ทุกวันนี้ จะพยายามปล่อยนก ปล่อยปลา แล้วก็ไถ่ชีวิตโค แผ่ส่วนบุญ แต่ก็ยังมีกระแสความคิดเดิมมาอยู่เรื่อยๆ ก็จะใช้วิธีคิดถึงบุญที่ทำ เหมือนแผ่ส่วนบุญไปให้

คำถามคือ แนวทางที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ถือว่าเป็นการสร้างบุญในฝ่ายตรงข้ามกับบาปนี่นะ สามารถที่จะคานกับบาปอันนั้นได้หรือเปล่า? มีคนแนะนำว่า นั่งสมาธิเสร็จให้แผ่เมตตาให้ ก็จะได้ผลหักล้างได้เร็วกว่า แต่ส่วนตัว รู้สึกว่ามันเป็นบุญคนละประเภทกัน และถ้ากรรมฆ่าหนูแสดงผลนี่ จะแสดงให้ผมรับกรรมในลักษณะใด?


รับฟังทางยูทูป
: https://youtu.be/iJfgXNH-tLM


ดังตฤณ: 
อันนี้ก็ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างก็ได้ เพราะว่าโดยหน้าที่ก็เหมือนกับเราจะต้องทำ มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ๆเราจะไปอยากฆ่าหนูด้วยความเกลียดชัง แต่มันมีภาพติดตามา

ประเด็นในคำถามนี้ก็คือว่า คือมันเกิดภาพติดตาของหนูที่น่าสงสาร คือมันรู้ตัวว่าเราจะเอามันไปฆ่าให้ตาย หรือว่าเอามันไปทิ้งขยะที่มันติดกาว นี่มันไม่มีทางรอดแล้ว มันก็เลยมองด้วยสายตาที่อาจจะขอความเมตตา หรือว่าความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะตาย ที่กำลังจะถูกฆ่านี่ มันมีสัญชาตญาณแบบหนึ่ง อยากเอาตัวรอดแบบได้รับความเมตตาปราณี

ซึ่ง ณ เวลาที่เรายังไม่คิดอะไรมาก ก็อาจจะทำลงไปโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่เมื่อเราบวช หรือมาศึกษาธรรมมานะครับ แล้วเกิดความเป็นกุศลขึ้นมา คือการจะเชื่อเรื่องบุญ เรื่องกุศลได้ ก่อนอื่นส่วนใหญ่จะต้องมีลักษณะของบุญ ลักษณะของความสว่างอย่างใหญ่อยู่พอสมควร ที่จะทำให้จิตส่วนลึกนี่ เกิดความรู้สึกของความมีจริงของกรรม ทั้งในฝ่ายบุญ ทั้งในฝ่ายบาป ทั้งที่เป็นกรรมดำ และกรรมขาว

อย่างเช่นการบวชนี่ ถือว่าเป็นกรรมขาวอย่างใหญ่ ถือว่าเป็นการที่เราได้ครองกาสาวพัสตร์ ซึ่งเป็นเครื่องแบบที่มีเกียรติสูงสุดเลย เป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นผ้าที่ห่อพัน ในสมัยพุทธกาล ท่านเรียกว่าเป็นผ้าที่ห่อพันกันอุจาด เรียกว่าให้จิตนี่เกิดความรู้สึกว่าเราไม่มีอะไรติดตัวเลย มีแค่ผ้าที่ห่อพันกันอุจาดเท่านั้น

การที่เราได้ไปบวชมา แล้ว เหมือนกับเกิดความเชื่อเรื่องบาปเรื่องกรรมแล้ว แสดงให้เห็นว่าการบวชครั้งนั้นเป็นบุญ เป็นกุศลอย่างใหญ่ แล้วฐานของจิตที่เป็นบุญ เป็นกุศลอย่างใหญ่ มันจะมีความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวงกับบาปกรรมที่เคยทำมา แล้วมันก็เลยขับเน้นให้เกิดความรู้สึกว่านี่ฝ่ายบุญเป็นอย่างนี้ นั่นฝ่ายบาปเป็นอีกอย่างหนึ่ง พอมีความเหมือนกับระลึกได้ขึ้นมา เคยมีบาป เคยมีกรรมอันมืดนะ ก็จะกลับมาหลอกหลอนได้พอสมควรด้วยอาการอย่างนี้แหละ

ทุกคนนั้นเวลาทำบาปไปเรื่อย นี่มักจะไม่รู้สึกรู้สา อย่างคนทำบาปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่พอกลับใจเปลี่ยนมา พลิกกลับลำนะ กลายเป็นคนอีกแบบหนึ่ง จากมืดเป็นสว่าง ไอ้ความมืดที่เคยทำมานั้นมันก่อความรู้สึกเสียใจ ก่อความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง แล้วก็เหมือนกับไม่สามารถจะลืมได้ทั้งๆที่ก็คิดว่าได้ทำบางสิ่งบางอย่างเป็นการชดใช้ไปแล้ว

การที่คุณมีความเห็นว่ามันเป็นบุญคนละประเภทกันนี่ เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วบุญไม่สามารถที่จะไปลบล้างบาปได้ แต่ว่าสามารถที่จะเจือจางผลของบาปได้

กล่าวคือ พระพุทธเจ้า ท่านเคยตรัสเปรียบเทียบ ถ้าเปรียบบาปเป็นก้อนเกลือก้อนเล็ก แล้ววันหนึ่งนะเราเอาเกลือไปใส่กะละมังน้ำ เทน้ำลงไป จนกระทั่งรสของเกลือนั้นเจือจางลง ถามว่าเกลือหายไปไหม มันไม่ได้หายไป แต่ถูกเจือจางลง จนกระทั่งรสเค็มแทบไม่เหลือ หรือว่าเหลือก็น้อยมาก ถ้ากะละมังมันน้อยไปก็ใส่เข้าไปตุ่มหนึ่ง หรือว่าแทงค์หนึ่ง ก้อนเกลือนั้นนี่ ยังไงๆก็ต้องจมหายไปนะ คือเหมือนกับว่ารสชาติของความเค็มมันไม่เหลือเลย

อันนี้ท่านก็เปรียบเทียบว่า ถึงบาปจะทำมาขนาดไหน ถ้าหากว่า ปริมาณบุญที่เราเพิ่มเติมเข้าไปในชีวิตมันมากจนกระทั่งผลของบุญนั้นน่ะมันเกิน มันให้ความรู้สึกเกิน มันเป็นสุขมากเกินความทุกข์ ความทุกข์นั้นมันก็ลดน้อยลง จนกระทั่งแทบไม่เหลือ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรายังจำภาพติดตาของสัตว์ที่อ้อนวอนขอชีวิตได้อยู่ไม่รู้ลืมก็ลองไถ่ชีวิตสัตว์ เราฆ่าหนูไป ๒๐ ตัวนี่ ลองช่วยสัตว์ทั้งสัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่ ปล่อยนก ปล่อยปลา จนกระทั่งเหมือนกับเป็นงานอดิเรก ทำเป็นร้อยเป็นพันตัว เห็นภาพของสัตว์ที่ดีใจได้ชีวิตต่อ ในที่สุดมันจะแทนที่ได้

คืออันนี้พูดเฉพาะในเรื่องของความจำนะ ความจำมันก่อให้เกิดความรู้สึกผิด หรือว่าปรุงแต่งให้จิตเกิดความเศร้าหมอง ไอ้ความจำดีใหม่ๆ ดูดีใหม่ๆ ที่สัตว์มัน อย่างเวลาปล่อยปลานี่ คุณจะรู้สึกได้เลยนะ ปลามันลงน้ำนี่ด้วยความดีใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเวลาไปซื้อปลาจากตลาดที่กำลังจะถูกฆ่า ไม่ใช่ปลาที่ถูกจับมาไว้เพื่อขายคนอยากปล่อยปลานะ แต่เป็นปลาที่กำลังจะถูกฆ่าจริงๆ มันเหมือนมีสัญชาติญาณทราบได้ ว่ามีชีวิตมันรอดแล้ว ได้ชีวิตต่อแล้ว การที่เราได้เห็นความดีใจของสัตว์บ่อยๆมันจะกลายเป็นความทรงจำชนิดใหม่ ที่มาทำจิตให้เกิดกำลังในด้านดีมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างที่ของคุณเคยทำเกี่ยวกับหนูมานี่นะ แล้วไปปล่อยนก ปล่อยปลา หรือว่าไปปล่อยโค กระบือให้มากๆ ช่วงที่ทำแรกๆอาจจะยังไม่รู้สึก นี่ที่คุณก็เล่าให้ฟังมานี่ปล่อยนกปล่อยปลา หรือว่าไถ่โค มันก็จะเรียกว่ามาถูกทาง แต่ว่ายังเดินมาไม่ลึกพอ

บางคนนี่นะที่เขาปล่อยนก ปล่อยปลากันนี่เพื่อที่จะแก้เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ เพื่อที่จะแก้เกี่ยวกับรู้สึกเลยว่าเป็นวิบากที่เคยไปทำปาณาติบาตมานี่นะ เขาทำกัน ๕ ปี ๑๐ ปี ทำกันแทบทุกวัน หรือแทบทุกอาทิตย์ ปล่อยสัตว์มานี่ เขานับเลยนะปล่อยมาได้เท่าไหร่ เขานับกันได้เป็นหมื่นตัว คือทั้งสัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่าการปล่อยสัตว์ การได้ไถ่ชีวิตสัตว์เป็นเรื่องปกติของชีวิตเขา พอถึงความรู้สึกตรงนั้นนี่ สุขภาพมันค่อยดีขึ้นนะ ตามที่เสียดแทงอย่างรุนแรง อาการที่หมอรักษาไม่หายอะไรต่างๆมันทุเลาลงได้จริง

นี่ก็เหมือนกันแก้ความรู้สึกผิด หรือแก้ความเสียใจมันต้องแก้ด้วยความดีใจ เพียงแต่ต้องทำให้มากๆ ทำให้เป็นประจำนะ จะได้เปรียบเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ คล้ายๆกับน้ำที่เกินกว่ารสเกลือ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น