วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๑.๑๕๑ ภพชาติแรก เกิดขึ้นได้อย่างไร?

ถาม :  หากจิตวิญญาณทั้งหมดเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ วัฏสงสารนะครับ เกิดเพราะกรรมแล้ว ภพชาติแรกของทุกวิญญาณเกิดขึ้นได้อย่างไร? 

รับฟังทางยูทูป
: http://youtu.be/1u15uK2DzkE


ดังตฤณ: 

อันนี้เป็นคำถามที่ตอบบ่อยมากนะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้ดูว่า ไม่ให้คิดนะครับ ว่าชาติแรกในแบบที่เป็นเนื้อเป็นตัวเป็นๆอย่างนี้เนี่ย มันเริ่มต้นขึ้นที่ไหน เพราะว่าเอาแค่พูดคำว่าอนันตชาติเนี่ย เราก็นึกไม่ออกแล้วว่า มันนานสักขนาดไหน จะต้องอาศัยเวลาสักกี่กัปกี่กัลป์ หรือว่าจะต้องมีซากศพของเราเนี่ย ทับถมกันกี่โกฏิล้านศพนะครับ

การเวียนว่ายตายเกิดเนี่ย มันเอาแค่กัปเดียวกัลป์เดียวเนี่ย ก็นับไม่ถ้วนแล้วว่า มันกี่ล้านชาติกัน แต่ถ้าหากว่าจะไปขุดคุ้ยเอาชาติแรกเนี่ย มันยิ่งไปกันใหญ่

คือพระพุทธเจ้าท่านจะให้ดูความจริงนะครับ
ว่าอะไรๆมันเกิดขึ้น "แบบเป็นเหตุเป็นผล"

ไม่มีลักษณะของอะไรสักอย่างเดียวนะ
ที่มันเกิดขึ้นมาเองลอยๆ

ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ที่อยู่ๆเกิดการเนรมิตขึ้นมา
แล้วก็คงรูปอยู่ได้สืบต่อ
การคงรูปคงนามแบบนั้นนะครับ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
แบบนั้นไม่มี
!

มีแต่ว่าทั้งหลายทั้งปวงนี่
จะมีได้ อะไรสักอย่างนึงเนี่ย มีขึ้นมาได้
จี้ลงไปซักอย่างนึงนะ
เราจะสามารถสืบหาเหตุของการมีสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้เสมอนะครับ

อย่างเช่น ถ้าหากว่าจะเอาโดยย่นย่อ รวบรัดมากที่สุดก็คือ ก่อนที่จะมีปฏิสนธิจิต คือจิตดวงแรกในแต่ละชาติได้เนี่ย จะต้องมีจุติจิตนะ เคลื่อนจากชาติภพก่อนมานะ ลักษณะการเคลื่อนมา ไม่ใช่ยกเอาตัวเดิมมานะครับ แต่เป็นลักษณะของจิตที่ดวงนึงดับไป และอีกดวงนึงเกิดขึ้น บันดาลขึ้นด้วยกรรมที่ทำมาทั้งชาตินั้น

อย่างในอดีตถ้าหากว่า เอ่อ ก่อนที่น้องจะมาเป็นผู้หญิง น้องเคยเป็นผู้หญิงคนเดิมมาก่อนนะ แต่หน้าตาคนละคนกัน ลักษณะของความเป็นอยู่ ลักษณะของฐานะอะไรต่างๆเป็นคนละคนกัน แต่กรรมที่ทำมานะ ในขณะที่เป็นหญิงในชาตินั้นนะ รวมแล้วมีลักษณะของความสว่าง ที่เป็นบุญมากพอ ที่จะทำให้มาเข้าท้องมนุษย์ได้ เนี่ยพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปฏิจจสมุปบาท ท่านบอกว่า ถ้าหากไม่มีบุญแล้ว ก็ไม่สามารถที่วิญญาณจะหยั่งลงในครรภ์มารดาได้ นี่ท่านตรัสไว้อย่างนี้นะ เป็นสำนวนพระพุทธเจ้านะครับ

เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไปคิดปุ๊บ ว่ามีชาติใดชาติหนึ่งเป็นชาติแรกเนี่ย อย่างนี้ก็เท่ากับกฎของปฏิจจสมุปบาท อันเป็นกฎที่ยิ่งใหญ่มากในธรรมชาติกฎนึงเนี่ยนะ มันถือว่าเป็นโมฆะเลย ถือว่าเป็นล้มเหลวเลย !

มันจะต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่ง กรรมที่จะชี้ชัด จะชี้ขาดว่า มีบุญใหญ่มากพอที่จะเข้าท้องมนุษย์หรือเปล่า หรือไปเป็นเทวดา หรือไปเป็นพรหม หรือว่าไม่มีบุญนะ มีแต่บาป จะต้องไปอยู่ในนรก จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าจะต้องไปเป็นเปรตแบบนี้

แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสย้อนทวนขึ้นไปว่า ก่อนที่จะเกิดการสั่งสมบุญ สั่งสมบาปในแต่ละชาติ จนกระทั่งไปประมวลผลเอาครั้งสุดท้าย ก่อนที่จิตจะดับลงในชาตินั้นเนี่ยนะ ก่อนหน้านั้นเนี่ยมันมีความไม่รู้ มันมีความไม่ทราบว่า ทำอะไรแล้วจะได้ผลอย่างไร บาปชนิดนี้ทำไปเนี่ย ตัดสินใจไปแล้วเนี่ย มันจะเกิดผลเป็นรูปร่างหน้าตาอย่างไร มันจะมีชะตาชีวิตแบบไหน ถ้าหากว่าคนรู้ว่า ทำบาปไปแล้วจะเกิดผลอย่างไร ก็คงไม่ทำบาปกัน มีแต่ทำบุญกันอย่างเดียว นี่แหละลักษณะของความไม่รู้เนี่ย พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นอวิชชา และความเป็นอวิชชาเนี่ย ขั้นสุดยอดเลยก็คือ ไม่รู้ว่ากายใจนี้เนี่ย มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ตะครุบ ให้จิตเนี่ยไปยึดเอาถือเอาว่า มันคือตัวเรา มันคือตัวตน มันคือก้อนอะไรก้อนหนึ่ง ที่เรียกว่าเป็นอัตตา มีอยู่แน่ๆ คงรูปอยู่แน่ๆ เป็นอมตะนะ ถ้าไม่ใช่ตัวนี้ มันก็ต้องฝากอยู่ที่ตัวอื่น บนสวรรค์บ้าง ในจักรวาลจุดใดจุดหนึ่งบ้าง มันจะมีความหลงคิดอยู่อย่างนี้
นี่แหละเรียกว่าเป็นอวิชชา พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นต้นกำเนิดของความมี ความเป็นทั้งปวงนะครับ !

ถ้าหากว่าทำลายอวิชชานี้ได้ จิตสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละชาติเนี่ย ที่เรียกว่าจุติจิตเนี่ย พอปรากฏแล้วก็จะดับไปเลยนะ เป็นเหมือนกับเปลวเทียนดับ แต่ว่าไม่ใช่สูญนะครับ ลักษณะของการไหลรวมเข้าไปสู่มหาสมุทรแห่งความว่าง ที่เรียกว่านิพพานเนี่ย เป็นอะไรที่เกินจินตนาการ และพระพุทธเจ้าไม่ให้คิดนะ เคยมีคนเข้าใจว่า พระนิพพาน พระอรหันต์เนี่ย พอดับขันธ์แล้วก็สูญไปเลยนะครับ พระสารีบุตรก็เคยแก้ความเข้าใจผิด แล้วก็ชี้มา เน้นมาให้เห็นว่า
ที่นึกว่าเป็นสังขารของเรา เป็นการปรุงแต่งลักษณะของกาย ลักษณะของใจเนี่ย ที่นึกว่าเป็นตัวเราเนี่ยนะ ถามไปเป็นจุดๆเถอะ มันมีซะที่ไหน ที่เที่ยง มันมีซะที่ไหน ที่คงรูปคงร่างอยู่ได้ มันมีซะที่ไหน ที่เราจะจำได้ตลอดไป มันมีซะที่ไหน ที่เราจะรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ได้ตลอดไป ถ้าหากว่าไม่มีอะไรที่มันเที่ยงแล้ว จะไปยึดถือได้อย่างไร ว่ามีตัวตนอยู่

ลักษณะของการเห็นแจ้งว่า ขันธ์ ๕ หรือว่ากายใจนี้ มันไม่ใช่ตัวเรา มันไม่เที่ยง นี่แหละที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง เกิดความเข้าใจว่า
การมีอยู่ของชาติแรกเนี่ย มันเป็นเพียงสิ่งจินตนาการ แต่ไอ้สิ่งที่มันปรากฏอยู่จริงเนี่ย ก็คือการสืบเหตุสืบผล ถ้าหากว่าไม่มีบุญเก่าอยู่บ้าง ก็คงไม่มีรูปกายแบบมนุษย์ หรือว่าจิตสำนึกแบบมนุษย์ปรากฏขึ้นมาได้ หรือถ้าหากว่าไม่มีบาปอยู่บ้าง ก็คงไม่มีหมา ไม่มีแมว ไม่มีสัตว์ที่ตกยาก หรือว่าลำบากนะ ต้องถูกเขาฆ่าแกงเอามากินกัน เนี่ยตรงนี้นะครับ ที่พระพุทธเจ้าท่านจะเน้นให้เรารับรู้กัน เอ่อ คำถามที่เหลือขอตัดไปนะ เพราะว่า มันจะยาวนิดนึง เพราะอันนี้ตอบคำถามไปหนึ่งคำถามแล้ว 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น