วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๑.๘๓ ทำไมสวดมนต์แล้วขนลุก?

ถาม :  อยากถามว่าเวลาเราสวดมนต์แล้วรู้สึกขนลุกมากๆ เกิดจากอะไรคะ?

รับฟังทางยูทูป
: https://youtu.be/uLu5OORPeUs


ดังตฤณ: 
การที่เราอยู่ในสมาธิก็ดีหรือว่าสวดมนต์นะ โดยสภาพของจิตใจกับร่างกายเนี่ยจะแตกต่างจากเวลาปกติ บางครั้งมันมีความสุข บางครั้งมันมีความปรุงแต่งไปในแบบที่จะทำให้เกิดปีติ ปีติมีหลายแบบนะ ปีติแบบเย็นซ่าน เป็นสุข เงียบๆ และก็นิ่งๆแบบนี้ก็มี เป็นปีติที่ดี แต่มีปีติแบบอื่นอีก ปีติแล้วเกิดความขนลุก ปีติแล้วเกิดอาการน้ำตาไหล ตัวโยก โคลง หรือว่ามีการผิดปกติใดๆขึ้นมาในร่างกายแล้วก็ภาวะของจิตใจ อันนี้ก็เป็นปีติชนิดต่างๆที่ท่านจำแนกไว้นะครับ การจะมีปีติแบบขนลุกมากๆ ก็มีได้หลายสาเหตุ และส่วนใหญ่ก็จะมองกันว่าเป็นเหมือนกับมีใครมาขอส่วนบุญ เรารู้สึกสัมผัส คือมันมีสัมผัสทางจิต มีเซนส์ที่ออกมาจากภายใน ว่า เออ มีภาวะไม่ปกติอยู่รอบๆตัว อะไรแบบนั้นนะครับ ถ้าหากจะให้ดีที่สุดนะ เราตระหนักว่าเราไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่า มีอะไรมากระทบให้เราเกิดความรู้สึกขนลุกขนชัน หรือว่าเกิดความรู้สึกสยองอะไรแบบนี้นะ ทางที่ดีที่สุดก็คือให้แผ่เมตตาซะ แผ่เมตตาขณะนั้นเลย ตอนที่ขนลุกแล้วก็ไม่กล้าสวดต่อ ก็ขอให้แผ่เมตตา

แต่ต้องแผ่ให้เป็นด้วยนะ คนส่วนใหญ่จะแค่ท่อง สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุหรือไม่ก็ขอให้ไปที่ชอบที่ชอบเถอะนะ เป็นการแผ่เมตตาด้วยความกลัว อยากให้เขาไปให้ห่างๆ อยากให้เขาไปพ้นๆ อยากให้เขาไม่มารบกวนเรา อาการแบบนี้เขาเรียกว่าแผ่เมตตาด้วยความทุกข์ มันไม่มีทางหายกลัวไปได้หรอก แต่ถ้าหากว่าเราเกิดความกลัว เกิดความขนลุกขนชันขึ้นมานะ ก็กลับไปตั้งต้นใหม่ กลับไปกราบองค์พระปฏิมานะครับ กราบด้วยความรู้สึกนอบน้อมเคารพ อาการนอบน้อมเคารพมากๆเนี่ย จะทำให้จิตของเรามีความนิ่มนวล จะทำให้ใจของเรามีความนิ่ง มีความเป็นกุศล มีความสว่างขึ้นมาชั่วขณะนึง นั่นเรียกว่าสร้างเหตุแห่งความสุขขึ้นมาแล้ว แล้วเราก็เดินหน้าต่อนะ ด้วยการสวดมนต์โดยที่มีใจเคารพในพระรัตนตรัย ไม่ใช่สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทอง แต่สวดด้วยใจที่มีความสว่าง ใจที่มีความอิ่ม ใจที่มีความเต็มเป็นกุศล มีความตั้งใจที่ดี มีความตั้งใจที่จะเปล่งเสียง เจริญคำสรรเสริญ เจริญสติ เจริญความรักในพระรัตนตรัย จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่าเป็นสุขจริงๆ

เมื่อเกิดความสุขจริงๆ ขึ้นมาแล้วเนี่ย เราค่อยคิดว่า เออ ขอให้ความสุขเนี่ยได้แก่สิ่งที่เราจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม สิ่งที่อยู่รอบตัวที่ทำให้เราเกิดอาการขนลุกนั่นแหละ ถ้าหากว่าความสุขของคุณมีกำลังมากพอ มันจะเกิดความเย็นซ่านขึ้นมาเป็นปีติอีกแบบหนึ่ง เป็นอาการที่เรารู้สึกว่าสบาย สบายเนื้อสบายตัว สบายใจ แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนกับอากาศรอบๆตัวเนี่ย เปลี่ยนจากความวิเวกแบบสยองน่ากลัว ให้กลายเป็นความวิเวกในอีกแบบหนึ่ง วิเวกในแบบที่มันเย็นซ่าน มันมีความสุข มันมีความลึกซึ้ง มันมีความกว้างเปิดออกไปนะครับ

แต่ถ้าหากว่ามีอาการขนลุกมากๆ ในลักษณะอื่นที่มันไม่ได้สยองอะไรเนี่ย เราไม่ได้เกิดความกลัว เราไม่ได้เกิดความหวาดเกรง หวาดวิตกอะไรต่างๆ ก็ขอให้สวดต่อไปและมองว่าอาการขนลุกนั้นเป็นภาวะปรุงแต่งทางกายที่เกิดขึ้นชั่วคราว ถ้าหากว่าเราสวดต่อแล้วเห็นว่าอาการขนลุกนั้นมันเพิ่มได้ มันลดได้ มันคงที่ได้ ชั่วขณะ คำว่าชั่วขณะอาจจะครึ่งนาทีก็ได้ อาจจะห้าวินาทีก็ได้ อาจจะหลายนาทีก็ได้ ถ้าอยากจะเอามาใช้ในการเจริญสติ ให้สวดต่อไปเรื่อยๆเลย จนกว่าเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของอาการขนลุกนั้นอย่างชัดเจน เดี๋ยวมันมีมากได้ เดี๋ยวมันมีน้อยได้ เดี๋ยวมันคงที่ได้ เดี๋ยวมันหายไปเลยได้ อย่างนั้นเนี่ยเท่ากับเราเอาการสวดมนต์มาใช้ในการเจริญสติ ทำบ่อยเข้ามันจะเห็นขึ้นมาว่าอาการขนลุกเป็นอนัตตาจริงๆ มันไม่ได้อยู่ในตัวตนเรา มันไม่ได้เป็นตัวเรา มันเป็นแค่ภาวะปรุงแต่งขึ้นมาชั่วครู่ นี่จะเป็นหนึ่งในข้อสรุปทางใจ ความฉลาดทางใจว่า อะไรๆเกิดขึ้นโดยเหตุปัจจัย ย่อมดับลงเป็นธรรมดาเมื่อเหตุปัจจัยหมดลงขอให้มองอย่างนี้นะว่า ทุกโอกาส ทุกสภาวะธรรมเนี่ย มันคือโอกาสในการเจริญสตินั่นเอง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น