ถาม : เรื่องกรรมจากการฆ่าสัตว์
มีทางไหนที่จะทำให้วิบากเบาบางลงได้บ้าง?
ดังตฤณ:
อันนี้ก็ชัดเจนนะครับ ในการทำบุญแบบไทยๆนี่ก็จะมีเรื่องของการปล่อยนก ปล่อยปลา แล้วก็การช่วยชีวิตสัตว์ใหญ่ไม่ให้ต้องถูกฆ่า อย่างเช่น ไถ่ชีวิตวัว ไถ่ชีวิตควาย ที่มันมีความรู้สึกเจ็บมาก มันมีความรู้สึกว่าจะเสียชีวิตครั้งใหญ่นะ สัตว์ยิ่งใหญ่นี่ ยิ่งตัวใหญ่เท่าใดก็จะยิ่งมีความเจ็บปวดเวลาที่ถูกทรมาน ถูกฆ่านะ อย่างหมูบางตัวนี่ บางโรงฆ่าสัตว์ เขาก็ไม่ใช้วิธีอะไรทั้งสิ้นนะ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบนะ เขาเชื่อกันว่า ถ้าพวกหมูไม่มีความเกร็งก่อนตายนี่ เนื้อจะอร่อย หลั่งสารแห่งความกลัวออกมา หลั่งสารแห่งความเจ็บออกมา เขาก็ใช้ค้อนไปทุบหัวมันตรงๆ ถ้าเห็นมันยังไม่ตาย เห็นมันยังยืนขาสั่น ก็ทุบซ้ำเข้าไปอีก อะไรแบบนั้นนะ
อันนี้ก็ชัดเจนนะครับ ในการทำบุญแบบไทยๆนี่ก็จะมีเรื่องของการปล่อยนก ปล่อยปลา แล้วก็การช่วยชีวิตสัตว์ใหญ่ไม่ให้ต้องถูกฆ่า อย่างเช่น ไถ่ชีวิตวัว ไถ่ชีวิตควาย ที่มันมีความรู้สึกเจ็บมาก มันมีความรู้สึกว่าจะเสียชีวิตครั้งใหญ่นะ สัตว์ยิ่งใหญ่นี่ ยิ่งตัวใหญ่เท่าใดก็จะยิ่งมีความเจ็บปวดเวลาที่ถูกทรมาน ถูกฆ่านะ อย่างหมูบางตัวนี่ บางโรงฆ่าสัตว์ เขาก็ไม่ใช้วิธีอะไรทั้งสิ้นนะ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบนะ เขาเชื่อกันว่า ถ้าพวกหมูไม่มีความเกร็งก่อนตายนี่ เนื้อจะอร่อย หลั่งสารแห่งความกลัวออกมา หลั่งสารแห่งความเจ็บออกมา เขาก็ใช้ค้อนไปทุบหัวมันตรงๆ ถ้าเห็นมันยังไม่ตาย เห็นมันยังยืนขาสั่น ก็ทุบซ้ำเข้าไปอีก อะไรแบบนั้นนะ
ถ้าหากว่าเราไปเห็น
แล้วก็เกิดการรับรู้ว่าวิธีตายของสัตว์ต่างๆเหล่านั้น มันมีความทรมานมาก
มันมีความน่าสงสารมาก แล้วเรามีแก่ใจที่จะไปไถ่ชีวิตมันนะ ทำให้มันรอดตายนี่
อันนี้ก็จะเป็นบุญใหญ่
แต่ถ้าหากว่าแค่คนเขาชวนกันไปไถ่ชีวิตสัตว์ แล้วเราก็ให้เงินไป โดยที่จิตใจไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากเกี่ยวกับการช่วยชีวิตสัตว์นี่
อันนี้ก็จะลดระดับดีกรีของบุญ ของทาน ของกุศลลงมานะ
ส่วนใหญ่ที่ช่วยชีวิตสัตว์ ไถ่ชีวิตสัตว์
แล้วมันได้ผลเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ หรือความรู้สึกทึบๆในหัวมันหายไป
ที่มันสืบเนื่องมาจากวิบากเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์โดยตรงนี่นะ
ส่วนใหญ่ที่มันจะเจือจางลงได้แบบเห็นผลในชาติปัจจุบันนี่ มันต้องช่วยจนกระทั่งรู้สึกว่า
‘ใจเรานี่อยากช่วยสัตว์ทั้งโลกเลย’
บางคนก็เหมือนพอช่วยสัตว์มากๆนี่
เลิกกินเนื้อสัตว์ไปเลย แล้วก็จะมีความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องของการไม่เบียดเบียนกัน
ค่อนข้างจะมากทีเดียวนะครับ ไม่ว่าจะเบียดเบียนด้วยกาย วาจา
หรือกระทั่งแม้แต่คิดเบียดเบียนกันนี่ก็ไม่หลงเหลืออยู่เลยนะ มีแต่จะช่วย
มีแต่ความรู้สึกอยากจะให้ชีวิตอื่นนี่ได้ดีมีสุข
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์นี่จะไม่เลือกหน้าเลย
ถ้าทำได้ถึงขั้นนั้นนี่จะเห็นผลนะ
โรคภัยไข้เจ็บอะไรที่มันเรื้อรังที่หมอรักษาไม่หาย
หรือแม้กระทั่งว่าที่ไม่เคยเจอยา ไม่เคยเจอหมอดี ก็จะไปเจอนะ
หรือการที่เราจะเป็นประเภท ป่วยออดๆแอดๆ สุขภาพก็จะเข้มแข็งขึ้นมา แข็งแรงขึ้นมานะ
มันจะเห็นผลทันตาขึ้นมาเป็น ‘ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม’
คือกรรมที่เห็นผลในชาติปัจจุบัน กำลังจิตกำลังใจนี่
ต้องมีความหนักแน่น ต้องมีความต่อเนื่องนะ ส่วนใหญ่แล้วจะเข้าใจเอาดื้อๆง่ายๆเลยว่า
ทำครั้งเดียวได้ผลทันที บุญมันไม่ใช่อะไรแบบนั้น
ลองคิดดูก็แล้วกัน
สมมติว่าเราเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเป็นว่าเล่นนี่ สิบ ยี่สิบ สามสิบ หรือเป็นร้อยตลอดทั้งชาติก่อน
แล้วเราจะมาไถ่ชีวิตสัตว์แค่ตัวเดียว น้ำหนักมันจะได้กันไหม?
คือเราไม่รู้ว่าที่เคยฆ่ามานี่มันเท่าใดกันแน่
ที่มันกำลังผลิตผลอยู่ ที่มันกำลังจะเอาเรื่องเราอยู่นี่นะ เราไม่รู้หรอก
เพราะถ้าหากว่าเป็นคนธรรมดาก็ไม่สามารถที่จะระลึกชาติได้ ชาติก่อนมีจริงหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบเลย
ด้วยญาณ ด้วยความล่วงรู้ของตัวเองนี่ มีแต่อาศัยศรัทธาในพระพุทธเจ้า เชื่อว่า ‘กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง’
ก็เอาแล้วตรงนั้น
เมื่อทราบแนวทางจากท่านผู้รู้
ผู้รู้แจ้งทั้งสามโลกบอกไว้ว่า เรื่องของผลของกรรมมีจริง แล้วเราสามารถที่จะนำความรู้นั้นมาใช้ได้
ก็คือ ‘เคยทำกรรมอะไรไว้นะ
เราก็เปลี่ยนเส้นทางกรรมนั้นเสีย’ คือเปลี่ยน ไม่ใช่เปลี่ยนแค่ลักษณะของการทำบุญ
แต่เปลี่ยนลักษณะของเส้นทางกรรม คือ สมมติว่าในชาตินี้เดี๋ยวก็ตบยุงบ้าง
เดี๋ยวก็ไม่ตบยุงบ้าง หรือว่าอยากเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ไม่อยากเบียดเบียนคนอื่นบ้าง
เปลี่ยนเป็นว่า ‘งดเว้นขาดนะ งดเว้นขาดเลยที่จะไปเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่น’
ก็นี่เรียกว่าเป็นการถือศีลข้อแรกด้วยความเห็นว่า
‘นี่มันไม่ดี มันไม่ใช่ของที่เป็นมงคล
มันไม่ใช่ของที่จะทำให้เราเกิดความสุขความเจริญในเวลาต่อมา’
ด้วยความเว้นขาดเช่นนั้นนี่
ก็ถือว่าได้ส่วนของการละลายวิบากเก่า วิบากดำมืดลงได้บ้างแล้ว คือมันไม่มีตัวต่ออายุ
ไม่มีตัวเสริม ไม่มีตัวซ้ำ มันก็จะค่อยๆเจือจางลงไปเอง
แต่บางคนไม่อย่างนั้นนะ
โรคภัยไข้เจ็บมากอยู่แล้ว ยังไปทำ ยังไปประกอบอาชีพเกี่ยวกับการเบียดเบียนชีวิตสัตว์เพิ่มเติมเข้าไปอีก
ก็เลยมันเหมือนกับทบทวีเข้าไปนะว่า ของเดิมไม่ดีอยู่แล้ว
แล้วมาสร้างของใหม่ที่มันย่ำแย่ซ้อนเข้าไปอีก มันก็เลยไปกันใหญ่นะ
แทนที่จะช่วยชีวิตสัตว์เป็นการบาลานซ์กรรมบ้าง
แต่อันนี้กลายเป็นว่าเราไปเพิ่มน้ำหนักมาทางเอียงลงต่ำเข้าไปอีก
ก็ยิ่งเห็นผลชัดเลย
อย่างนี้ก็ดีแล้วนะ
อย่างที่คุณได้ไถ่ถามมาก็คือ มีเจตนาที่จะ... คำว่า ‘แก้กรรม’ นี่นะ มันก็คือแก้ที่นิสัยนี่แหละ
มันไม่มีพิธีอะไรที่จะไปแก้ จะไปลบล้างกรรมเก่าได้ อย่าไปเชื่อนะ
อำนาจของกรรมเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล มันมีอำนาจขนาดที่สร้างโลกได้ทั้งใบ
สร้างสวรรค์ได้ทั้งอาณาจักร อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรนรกนี่นะ มันมาจากกรรมทั้งนั้น
ดลบันดาลขึ้นมาจากกรรมทั้งนั้น แล้วอะไรล่ะ? พิธีอะไรล่ะที่มันจะมีอำนาจไปทัดทานกับอำนาจกรรมได้?
เอาล่ะ ก็เป็นแนวทางนะครับ
คือถ้าหากอยากจะทำให้วิบากเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์มันเจือจางลง ก็คือไปไถ่ชีวิตสัตว์
แล้วก็ให้การไถ่ชีวิตสัตว์นั้น
มันเป็นแรงบันดาลใจให้เราคิดไม่อยากจะเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นอีก
ก็เป็นเรื่องของศีลข้อแรกเลยทีเดียว
ถ้าหากว่าตั้งใจงดเว้นขาดตลอดชีวิตที่จะไม่เบียดเบียนกัน นี่ก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่ เป็นมหาทาน
พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นมหาทาน เพราะว่าเป็นการให้ความปลอดภัยกับสิ่งมีชีวิตอื่นนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น