ถาม : หากเราสะสมเสบียงบุญ ปรารถนาเพื่อจะได้เกิดเป็นมนุษย์
เพื่อพบพระศรีอริยเมตไตรย เพื่อถวายสังฆทานกับท่าน และฟังธรรมจากท่านโดยตรง
เพื่อเป็นพลวปัจจัยให้ได้เข้ากระแสพระนิพพานในภพชาตินั้น
เราควรทำบุญมากน้อยแค่ไหนเพียงไร? และตั้งจิตอธิษฐานไว้อย่างไร? จะได้ไม่พลาด
การที่เราจะมีจิตผูกพันกับพระพุทธศาสนานี่นะครับ
ก็ทำบุญเกี่ยวข้องกับการทะนุบำรุงพุทธศาสนาทุกประการ แล้วก็มีความเป็นผู้หัวอ่อน
เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
ต้องให้แน่ใจจริงๆว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยนะครับ เพราะบางทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่พระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่ชี้ถูกชี้ผิดแล้วนี่
เราก็จำเป็นต้องฟังจากครูบาอาจารย์ร่วมสมัยก่อน
แล้วบางทีครูบาอาจารย์ร่วมสมัยท่านไม่ได้พูดตามพระพุทธเจ้า
บางท่านก็คือเหมือนกับอาจจะห่างตำรานิดหนึ่ง
แล้วก็จะเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตัวท่านเองมากนะครับ
ก็ท่านคิดอะไรน่าจะอย่างนั้นน่าจะอย่างนี้
ก็เอามาโมเมบอกว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่มากอะไรอย่างนี้นะครับ
เพราะฉะนั้นทางที่เซฟที่สุดปลอดภัยที่สุด
อยากจะให้กลับไปศึกษาว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไรกันแน่
ตอนนี้เรามีอินเตอร์เน็ตกันสะดวกง่ายดายมากเลย หาคำว่าพระไตรปิฎกฉบับประชาชน
ฉบับสำหรับประชาชน อย่างเช่น ของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ อย่างนี้
ท่านจะทำคัมภีร์พระไตรปิฎกให้เหลือเป็นเพียงช็อตโน้ตสั้นๆย่อๆนะครับ
เอาสรุปใจความได้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไรกันแน่ ถ้าหากว่าเราค่อยๆศึกษาไป
ค่อยๆอ่านว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร ก็เท่ากับมีภูมิคุ้มกัน
ที่จะปกป้องตัวเองจากความเป็นมิจฉาทิฏฐิได้
แล้วถ้าหากว่าเราผูกพันกับคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆนะครับ ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน
พูดง่ายๆว่าใช้ชีวิตในแบบของพุทธจริงๆนี่ เส้นทางต่อไปนะครับ
มันก็จะสอดคล้องกับความเป็นพุทธนั่นแหละ
คือกรรมถ้าหากว่าเป็นพุทธแล้ว
มันก็จะได้ผลคือวิบาก คือไปเกิดใต้ร่มเงาของพุทธอีก
ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่พระพุทธเจ้าท่านอุบัติ ก็จะมีการดึงดูดเราเข้าไป
จะทันพระพุทธเจ้าหรือไม่ทันพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่นะครับ
ทีนี้ถ้าอยากจะอธิษฐานไปพบกับพระพุทธเจ้าพระองค์หน้าจริงๆนะครับ
ก็อาจจะจำเป็นจะต้องทะนุบำรุงพุทธศาสนาไว้อย่างดีนะครับ
คือคำว่าทะนุบำรุงก็อย่างเช่น ตักบาตร ตื่นเช้าขึ้นมาใส่บาตรนะครับ
แล้วอาจจะไปทำสังฆทานที่วัด อาจจะไปฟังเทศน์ฟังธรรมนะครับเป็นกิจวัตรประจำ
คำว่าฟังเทศน์ฟังธรรมอาจจะหมายถึงอ่านหนังสืออ่านพระไตรปิฎกก็ได้นะครับ
หรือมีการสนทนาธรรม หรือเอาชัวร์ๆเลยที่เป็นพุทธแน่ๆก็คือตั้งใจที่จะสละออกนะครับ
หัดให้ทานหัดให้อภัย
แล้วก็หัดที่จะให้ในสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจเป็นธรรมทานแก่ผู้อื่นนะครับ
แล้วก็ตั้งใจที่จะรักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ แล้วก็มีความรู้มีความเข้าใจในเรื่องของการเจริญสติบ้าง
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความพร้อม ไม่ได้มีกำลังใจที่จะเจริญสติให้ถึงที่สุด
แต่อย่างน้อยเท่าที่จะเป็นไปได้ก็คือว่า เรามีความเข้าใจว่า
คำว่าเจริญสติหมายถึงให้สติเจริญไปในทิศทางแบบไหนนะครับ ให้ดูกายใจอย่างไรนะครับ
ถ้าหากว่าเราทำพร้อมเราทำครบทั้งในเรื่องของทาน
ในเรื่องของศีล ในเรื่องของการเจริญสติ
อันนี้แหละสามารถที่จะใช้เป็นฐานในการอธิษฐาน
ขอพบพระศรีอารย์ได้ไม่ใช่เรื่องเกินวิสัย แล้วเราจะรู้ด้วย
รู้อยู่กับใจตัวเองเลยว่า คำอธิษฐานของเราไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
แต่มันเป็นคำอธิษฐานของชาวพุทธเต็มใบ ที่มีสิทธิ์มีศักดิ์ที่จะไปพบพระพุทธเจ้าได้
แต่ถ้าไม่ทำตามสอนของพระพุทธเจ้า แต่มีความอยากจะเจอพระศรีอารย์อย่างเดียวนี่
บางทีอันตรายก็มีเกิดขึ้นได้เหมือนกันนะ
อย่างในอดีตนี่มีหลายคนเลยอยากพบพระพุทธเจ้า
แต่พอพบพระพุทธเจ้ากลับกลายเป็นคนพาลเสียก่อน จะไปอยากเถียงกับพระพุทธเจ้า
หรือบางทีพระพุทธเจ้าท่านตรัสเลยว่าคนนี้มาเพื่ออยากจะได้ชื่อว่า
ได้มาโต้วาทีกับพระพุทธเจ้าแล้ว อย่างนี้ก็มีนะครับ คือพวกที่ชอบเถียงชอบเถียง
พวกที่ประเภทมีความรู้สึกว่าตัวเองคิดอย่างไรน่าจะถูกต้อง
อันนี้มันค่อนข้างจะเสี่ยงค่อนข้างจะอันตราย
ถ้าหากว่าเกิดในยุคเดียวกับพระพุทธเจ้าเพราะมีโอกาสที่จะเถียงกับพระพุทธเจ้า
มีโอกาสที่จะปรามาสพระพุทธเจ้าโดยตรง
ผลของการปรามาสพระพุทธเจ้ามีแค่ไหนก็ลองคิดดูก็แล้วกันนะครับ
แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าของเราเองที่เคยเวียนว่าย
แล้วก็อยากจะบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนี่นะครับ
ในระหว่างที่ท่านเกิดเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ มีครั้งหนึ่งท่านเกิดเป็นพราหมณ์นะครับ
มีความเชื่อความเลื่อมใสในทางพราหมณ์ พอมีเพื่อนมาชักชวนไปพบพระพุทธเจ้า
ท่านก็เดินทางไปพบเสร็จแล้วก็ไปเกิดอกุศลจิต ไปพูดบอกว่ามานั่งอยู่ใต้ต้นไม้แค่นี้
จะบรรลุธรรมชั้นสูงอย่างไรได้ แค่ท่านพูดแค่นี้นะครับ
พูดเล็กๆแค่นี้สร้างเมล็ดพันธุ์บาปแห่งกรรมไว้แค่นิดๆหน่อยๆ
พอถึงคราวท่านบ้างมาเกิดในชาตินี้
สุดท้ายท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่
ท่านก็ต้องมาหลงผิดทรมานพระกายอยู่ถึง๖ปี อันนี้ท่านตรัสไว้เองเลยนะ
ในบุพจริยาสูตรท่านเล่าไว้ว่าเพราะท่านไปปรามาสพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งไว้
ผลของกรรมนั้นแค่พูดไม่กี่คำมันทำให้ท่านต้องทรมานพระวรกายถึง๖ปี
ด้วยความหลงผิดด้วยความเข้าใจผิดอันนั้นก็เป็นเหตุ
แต่ในชาตินั้นท่านก็กลับใจนะครับคือพอฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ท่านก็เชื่อว่านี่คือมหาบุรุษจริง
เป็นผู้ที่มีความกระจ่างแจ้ง มีการบรรลุธรรม มีความบริสุทธิ์จากกิเลสแล้วจริงๆ
ถึงแม้ว่าท่านรู้ตัวว่าท่านพลาดไปแล้วก็ยังมีผลอยู่ดี กรรมมันน่ากลัวนะครับ
คือการที่เราบางทีนึกว่าเดี๋ยวจะขอไปพบพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นพระองค์นี้
นึกว่าจะเซฟแล้วนะ คือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี่
มันคือลืมหมดเลยทุกชาติ เกิดชาติไหนมันลืมชาตินั้น
แล้วก็จะไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรไปบ้าง กับแค่คำพูดแค่ผิดนิดเดียวไปปรามาสพระอรหันต์
และเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสียด้วย มันมีผลถึงขนาดที่ตกค้างมาในชาติสุดท้ายต้องมาเสวยกรรม
นี่ก็เป็นเรื่องน่ากลัวของสังสารวัฏ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น