ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านทุกคืนวันเสาร์สามทุ่ม สำหรับคืนนี้ ก็เกี่ยวกับเรื่องของบาปของกรรมนะ ว่าแบบไหน ขนาดไหน หนักขั้นที่จะห้ามมรรคผลได้
อย่างเช่น
เรื่องของการที่เคยทุบตีพ่อแม่มาก่อน เจ้าตัวคนถาม คือ จริงๆ
แล้วนี่ก็กลับตัวกลับใจแล้วนะ แล้วก็เป็นคนที่เรียกว่า เหมือนเปลี่ยนจากเดิม ที่เคยร้ายกับพ่อแม่มาก่อน
แล้วกลายเป็นแรงดันให้ตัวเองพยายามทำความดี เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ
แล้วก็เหมือนกับปัจจุบันก็ถือว่า เป็นคนที่มีความกตัญญูสูง
มีแก่ใจที่จะทำให้พ่อแม่มีความสุข แล้วก็พยายามเลี้ยงดูตอบแทนอะไรพ่อแม่ทุกอย่าง
แต่ว่าประเด็นของความคาใจนี่
อย่างไรก็เป็นความคาใจอยู่วันยังค่ำนะ
จนกว่าจะปลดล็อคด้วยอะไรที่ทำให้หายข้องใจเสียได้
ก่อนอื่นมาปูพื้นกันในเรื่องของธรรมชาติ
ธรรมดาของมนุษย์ น้อยคนที่เคยทุบตีพ่อแม่ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์นี่ส่วนใหญ่จะจำได้ โดยชีวิต
คือมีชีวิตเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความจำ ตั้งแต่เด็กๆ มา
ใช้เวลาหลายปีนะที่ได้เห็นหน้าพ่อเห็นหน้าแม่ แล้วก็ถูกชุบเลี้ยง
ได้รับการอุปการะมา ยกเว้นแต่ประเภทที่ห่างเหิน ไม่ได้อยู่ด้วยกันอะไรแบบนี้
คืออันนี้พูดถึงแบบที่พ่อแม่เลี้ยงดูมานะครับ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก
เพราะฉะนั้น
โดยสัญชาติญาณความเป็นมนุษย์ ก็จะเกรงใจแล้วก็มีความรู้สึกว่า
พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดเรา เป็นคนที่พิเศษกว่าใครในโลก เพราะฉะนั้นโอกาสที่จิตแบบมนุษย์
สำนึกแบบมนุษย์ จะอยากไปทำร้าย หรือว่าอยากจะทำลาย จะยาก
เว้นแต่จะเจอพ่อแม่ที่ไม่ดีมากๆ ไม่ดีแบบชนิดที่ คือเหมือนศัตรูกัน อะไรแบบนั้น
อันนั้นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่หลายคน
คือเมื่อกี้พูดก่อน อันดับแรกนะ น้อยคนที่เคยทุบตีพ่อแม่ แต่หลายคนเคยด่าทอพ่อแม่
อดไม่ได้ อดโมโหไม่ได้ แล้วห้ามปากไม่อยู่ พูดจาทำร้ายจิตใจพ่อแม่ คือพอหน้ามืดขึ้นมา
แล้วถ้าเคยด่าไปทีหนึ่งนี่ ก็จะมีโอกาสมีแนวโน้มที่จะด่าซ้ำๆ อีก
แล้วก็ติดเป็นนิสัยที่จะด่าพ่อด่าแม่ตัวเองจนโตขึ้นมา อันนี้เป็นกันหลายคน
ไม่ใช่แค่คนสองคนนะ
คือถ้าคิดเป็น % นี่ผมว่าที่เคยด่าพ่อแม่
ด่าออกปาก อย่างน้อยที่สุดครั้งสองครั้งอะไรแบบนี้ ผมว่าน่าจะครึ่งต่อครึ่งกระมัง
คงไม่เคยมีใครเก็บสถิติไว้ แต่ผมว่าครึ่งต่อครึ่ง หรือเกินครึ่ง เกิน 50% อะไรแบบนี้ที่เคยพูดออกปาก พูดไม่ดีกับพ่อแม่ชนิดที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ
ทีนี้
ถ้าพูดถึงในระดับความคิด เมื่อกี้พูดเรื่องการลงมือลงไม้
ด้วยร่างกายน้อยคนเคยทุบตี หลายคน เอาเป็นว่าส่วนใหญ่เลยก็แล้วกันนะ เคยด่าทอ .. ด้วยกรรมทางกายนี่
น้อยคน แต่กรรมทางวาจา เยอะ .. แต่ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่นี่
กรรมทางความคิด หรือมโนกรรมนี่นะ ทุกคน ต้องเคยคิดไม่ดี มันยากมากนะที่คน
ลิ้นกับฟันน่ะ อยู่ด้วยกัน บอกเกิดมาไม่เคยคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่เคยโกรธ ไม่เคยอะไร เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าโดยธรรมชาตินี่นะ ใจร้าย
คนอยู่ด้วยกันนี่ ก็ต้องไม่พอใจกันเป็นธรรมดา ไม่พอใจด้วยคิดเรื่องที่ว่าไม่ตามใจ
ตอนเด็กๆ นี่พ่อแม่ไม่ตามใจ หรือว่าโตขึ้นมา พ่อแม่มีความเห็นขัดกับตัวเอง
ความคิดส่วนตัวเป็นอย่างหนึ่ง พ่อแม่มีมุมมองไปอีกอย่างหนึ่ง
อยากให้เราเป็นอย่างนั้น อยากให้เราเป็นอย่างนี้
แค่ว่าเหมือนกับอยู่บ้านเดียวกัน
แล้วก็ขัดทางความเห็น ทางความรู้สึกกัน มนุษย์นี่ คิดไม่ดีกันได้นะครับ
เพราะฉะนั้นนี่ ถามว่าแต่ละคน มีโอกาสที่จะทำบาปใหญ่มากน้อยแค่ไหนนี่
ก็มีพ่อแม่นี่แหละเป็นที่ตั้งของบาปใหญ่ได้มากที่สุดในชีวิต
ได้ใกล้ตัวที่สุดในชีวิตนะ
แล้วพ่อแม่นี่
เป็นรากของชีวิต เลยเป็นเรื่องร้ายแรงทางความรู้สึกได้หมด ไม่ว่า คุณจะทำกรรมทางกาย
ทางวาจา หรือว่าทางใจก็ตาม แม้ด้วยความคิดนี่
ก็รู้สึกผิดได้ยิ่งกว่าคิดไม่ดีกับคนอื่นมากเป็นหลายเท่า
ทีนี้พอธรรมชาติธรรมดา
ตอนที่จิตยังไม่ได้ถูกยกระดับขึ้นมาให้สูง ให้ขาว ให้สว่างใส ตอนที่ยังมืดๆ อยู่
ทำอะไรลงไปนี่ จะไม่รู้ตัว แล้วไม่รู้สึกเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กรรมทางความคิด กับกรรมทางวาจาที่ร้ายๆ กับพ่อแม่นี่นะ จะเหมือนกับว่า
คนใกล้ชิดกันน่ะ คนกันเอง ไม่เป็นไรหรอก ซึ่งที่จริงเป็นนะ
ไม่ว่าพ่อแม่จะให้ความสนิทด้วยขนาดไหน หรือต่อให้พ่อแม่เลี้ยงลูกมา
ราวกับเป็นเพื่อน เลี้ยงให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อน นี่ก็ไม่มีข้อยกเว้นนะ
คือกรรมเวลาที่ทำไม่ดีไป แล้วพ่อแม่เสียใจ
หรือว่าพ่อแม่เกิดความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจขึ้นมา จะเป็นกรรมหนักทั้งนั้น
คือตอนที่ยังไม่ขัดเกลา
ตอนที่ยังไม่สว่าง รู้สึกเหมือนกับไม่เป็นไร แต่พอหันหน้ามาทางธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่คิดอยากจะถือศีล ทำสมาธิ อยากได้มรรคได้ผลกัน
พวกนี้จิตจะเปลี่ยนไป ราวกับเหรียญกลับด้านก็ว่าได้
หรือยกขึ้นพ้นจากความมีสัญชาติญาณดิบๆ แบบมนุษย์ธรรมดา ที่นึกว่าจะทำอะไรก็ทำ
อยากทำอะไรก็ได้ จะยกขึ้นมาสูงกว่านั้น ไหนๆ อยากได้มรรคผลกันแล้วนี่
แล้วก็มาทำสมาธิกัน อย่างบางคนจะรู้สึกคือว่า มีสำนึกชั้นสูง
ที่ทำให้ต่างไปจากตอนที่ผ่านๆ มา ราวกับฟ้ากับเหว
อย่างเช่น
พอจิตเริ่มเป็นสมาธิ ก็จะนึกถึงพฤติกรรมที่เคยทำไม่ดีกับพ่อแม่มา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เคยทุบตีพ่อแม่ อย่างเจ้าของคำถามนี่
คือเกิดนิมิตขึ้นมาชัดเจน ราวกับเกิดขึ้นอีกครั้ง แล้วก็รู้สึกว่าจิตตก
รู้สึกว่าตัวเองเลวมาก ไม่คู่ควรกับธรรมะชั้นสูง มีความรู้สึกว่าไปต่อไม่ได้
ไปไม่ถูก เพราะเวลาที่จิตเป็นสมาธิ เป็นจิตชั้นสูงน่ะ จิตระดับสูงเป็นกุศลอย่างแรง
เป็นมหากุศล
พอเกิดภาพที่ตัวเองเคยลงมือลงไม้กับพ่อแม่มา
ในสมัยที่จิตยังดิบๆ ด้านๆ จะรู้สึกว่าตัวเองไปต่อไม่ได้ มีความรู้สึกว่าแบบนี้
พยายามทำสมาธิก็ล้มเหลว หรือว่าพยายามดูให้อะไรๆ เป็นอนิจจัง เห็นภาพเก่าๆ
สักแต่เป็นสภาวะธรรมหรืออะไรต่างๆ จะไม่ได้ จะคล้ายมีแรงเบรก มีแรงห้ามไม่ให้ไปต่อ
จึงเป็นที่มา ที่ได้ถามไถ่กัน วันนี้เราก็จะมาคุยกันให้ชัดเจน เรื่องที่ว่า ธรรมะ
ระดับที่จะถึงมรรคถึงผล จิตแน่นอนว่าต้องเป็นจิตชั้นสูงนะ ไม่ใช่จิตคิดลวกๆ
ไม่ใช่จิตฟุ้งซ่าน ไม่ใช่จิตที่ยังทำบาปทำกรรมเป็นนิจศีล
แบบนั้นบรรลุธรรมไม่ได้แน่นอน เห็นหายใจโดยความเป็นรูปนามไม่ได้แน่ๆ
แต่มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับ
ที่ท่านรู้จริงว่า บาปขั้นไหนที่จะห้ามมรรคห้ามผล
ไม่ให้มีสิทธิ์ได้บรรลุมรรคผลแน่ๆ ในชาติปัจจุบัน
มีพระองค์เท่านั้นนะครับที่รู้จริงๆ และพระองค์ตรัสไว้แล้วนะ
คือพระองค์ไม่ใช่เจ้าของธรรมะนะ
ไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนแปลงกฏธรรมชาติ แล้วก็ไม่มีอำนาจบันดาล หรือไปตัดสินใครทั้งนั้น
แต่ท่านรู้ว่ากรรมหนักขนาดไหน ที่เป็นก้อนหินขวางทางจริงๆ ไม่ให้ไปต่อแน่ๆ
ซึ่งได้แก่ อนันตริยกรรม
อนันตริยกรรม
คือ ฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าห้อเลือด
อย่างเช่นที่พระเทวทัตทำได้มาแล้วนะครับ ต้องมีบุญมากนะ ถึงจะทำอนันตริยกรรม แบบที่ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงขั้นห้อพระโลหิตได้
คือไม่มีมนุษย์ และเทวดาที่ไหนจะทำร้ายพระพุทธเจ้าได้ นอกจากกรรมเก่าของพระองค์เอง
แต่กรรมเก่าของพระองค์ที่เคยทุ่มหินใส่น้องชาย ที่ตกลงไปในเหว
คือผลักลงไปในเหวไม่พอ ทุ่มหินใส่ซ้ำเข้าไปอีก ก็เลย ชาติสุดท้าย
โดนพระเทวทัตกลิ้งหินลงจากเขามาโดน
คือหินนี่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ก่อนจะถึงพระองค์ และได้บาดนิ้วเท้าของพระองค์จนห้อพระโลหิต ห้อเลือด
คือไม่ถึงเลือดไหลนะ ไม่มีใครทำร้ายพระองค์ได้นะ ยกเว้นแต่หมอชีวก
คือไม่ใช่แค่ทำให้ห้อพระโลหิตนะ แต่แผลที่ห้อพระโลหิตมานี่ ท่านเอามีดกรีดเลย
เลือดไหลเลย แต่นั่นด้วยเจตนาที่จะรักษา ต่างจากพระเทวทัตที่เจตนาทำร้าย อันนี้
ก็ห้ามมรรคห้ามผลพระเทวทัตเช่นกัน
อีกข้อหนึ่งก็คือ
ทำสังฆเภท คือทำให้สงฆ์แตกแยกกัน มีความเห็นไม่ลงรอยกัน อะไรแบบนี้
ห้าข้อ
ฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต แล้วก็ทำสังฆเภท
ทำให้สงฆ์แตกกัน ห้าข้อนี้ ถ้าใครยังไม่ได้ทำ ก็บอกตัวเองได้ สบายใจได้ ใจชื้นได้ว่าชาตินี้
ยังมีสิทธิ์อยู่เสมอนะครับ
ทีนี้คืออย่าง
ถ้าไม่เกิดกับตัวเองจะไม่เข้าใจ จะยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เวลาที่ทำสมาธิ
แล้วนิมิตเก่าๆ ที่เคยทำร้ายพ่อแม่ ย้อนกลับมาทุกทีเลย
แล้วมีความรู้สึกว่าไปต่อไม่ได้จริงๆ อันนี้ คือผมก็จะอธิบายให้เข้าใจนะว่า ไม่ใช่เพราะกรรมที่เคยทุบตีพ่อแม่
มาห้ามไม่ให้ไปต่อ แต่เป็นใจของคุณเองที่รู้สึกผิด แล้วก็เกิดอาการย้ำคิดย้ำทำ
เกิดอาการที่ไปกังวล เกิดอาการที่ไปมีความรู้สึกว่า แย่ๆ กับตัวเองขึ้นมา แล้วไม่ยอมให้อภัยตัวเอง
ไม่รู้วิธีที่จะละลายความรู้สึกผิดตรงนั้น ก็เลยไปต่อไม่ได้
ไม่ใช่เพราะว่าบาปที่ทุบตีพ่อแม่มีผลเท่ากับอนันตริยกรรม ไม่ใช่นะ
ถามว่า
แล้วอย่างนั้นจะละลายกรรมได้อย่างไร อันนี้อย่าเข้าใจว่าวิธีคือ
การไปให้พ่อแม่ทุบตีคืน ไปขอร้องกราบไหว้ บอกว่าขอให้พ่อแม่ลงโทษตัวเองสถานหนัก
ทุบตีให้ตัวเองเจ็บกว่าที่เคยทำพ่อแม่ไว้สิบเท่า แบบนั้น ไม่ได้ช่วย
ไม่ได้ไปละลายความรู้สึกผิด
คิดง่ายๆ
นะ พอเจ็บไปแล้วนี่ พอเจ็บตัวไปแล้ว แล้วคุณเอาความเจ็บตัว มาสำรวจความรู้สึกดู
ว่าสบายใจหรือยัง ใจยังไม่สบายใจอยู่ดี เพราะทุบตีพ่อแม่นี่
อย่าว่าแต่ให้พ่อแม่ทุบตีคืนเลย ต่อให้เอามีดแทงให้ตาย
ก็ไม่รู้สึก่ว่าได้ชดใช้ไปได้หรอก พูดกันจริงๆ พูดกันตรงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีจิตสำนึกชั้นสูงแล้ว พอย้อนกลับไป
เรื่องที่ทำร้ายพ่อแม่ด้วยมือไม้ จะหนักนะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่แก้ด้วยการให้พ่อแม่ทุบตีคืน
แต่ต้องด้วยการขอขมาจากใจ
แล้วก็คิดทำให้ท่านมีความสุข วิธีง่ายๆ นะ คุณคิดถึงความรู้สึกผิดของตัวเองให้เปรียบเสมือนกับ
รสเค็มของเกลือ ใส่เกลือเข้ามาในแก้วเปล่าๆ ถ้าคุณกินเกลือนั้นเข้าไป ก็เค็มจัด
เค็มเท่ากับที่เกลือจะให้รสเค็มได้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ถูกไหม
ทีนี้ถ้าหากว่าคุณเอาน้ำใส่เข้าไป
หนึ่งแก้ว ถามว่ากินน้ำเกลือแก้วหนึ่ง แก้วนั้นเข้าไป จะยังเค็มอยู่ไหม
ก็ยังเค็มจัดอยู่ เค็มใกล้เคียงกันกับไม่ใส่น้ำเข้าไปเลย
แต่ถ้าหากว่าขยายขนาดภาชนะ
ให้ใหญ่เท่าโอ่ง เกลือก้อนเท่าเดิม ใส่น้ำเข้าไปเต็มโอ่งเลย
ถามว่ารสเกลือนี่จะยังเท่าเดิมอยู่ไหม แน่นอน ก็จะเจือจางลงมาก
ยิ่งถ้าหากว่าคุณขยายขนาดภาชนะเท่าแทงก์เลยนะ ให้ใหญ่เท่าแทงก์เลย
แล้วเกลือเท่าเดิม จะยังมีฤทธิ์เค็มอยู่ไหม ยังให้ความเค็มอยู่ได้ไหม เกลือนี่ยังอยู่ตรงนั้นแหละ
แต่ให้ความเค็มไม่ได้แล้ว นี่น้ำระดับแทงก์นะ ยิ่งถ้าใครใจใหญ่กว่านั้น
จะเอาแบบว่าใส่น้ำจืดเข้าไปปริมาณเท่าน้ำทะเลเลย รสเค็มของเกลือก็ไม่เหลือ
นี่ก็เหมือนกัน
พระพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้อย่างนี้ เหมือนกับการเจือจางรสเค็มของเกลือด้วยน้ำ
ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ รสเค็มยิ่งเจือจางลง ฉะนั้น ถ้าเราตั้งไว้ในความรู้สึกว่า
ความรู้สึกที่ผิดอยู่ มันเค็มแค่ไหน เอาความรู้สึกผิดเทียบเป็นรสเค็มทางใจ
แล้วคุณทำดีกับพ่อแม่เข้าไป ทำให้ท่านมีความสุข ทำให้ท่านได้ธรรมะ
ทำให้ท่านได้รู้จักครูบาอาจารย์ดีๆ ทำให้ท่านได้มีโอกาสจะไปทำบุญสุนทาน
จะด้วยกำลังทรัพย์ กำลังสมอง หรือว่าพูดคุยกันเรื่องธรรมะดีๆ ที่คุณไปศึกษามา
ที่คุณอยากได้มรรค อยากได้ผล หรือจะด้วยประการใดๆ ที่ทำให้ท่านรู้สึกดีก็ตาม
ลองทำไปเรื่อยๆ
ด้วยความตั้งใจว่าจะมาละลายความรู้สึกผิดนี้ แล้วดูไปวันต่อวันๆๆ พอผ่านข้ามวัน
ข้ามเดือน ข้ามปีไป ความรู้สึกนี้ ยังอยู่กับที่ไหม
คือย้ำนะ
ขออภัยก่อน ขอขมาท่าน จะใช้ดอกไม้ธูปเทียน หรืออะไรเป็นพิธีการ
แล้วกราบเท้าท่านด้วยความรู้สึกจากใจก็ตาม เป็นตัวตั้ง
เสร็จแล้วพยายามทำให้ท่านมีความสุข พยายามทำให้ท่านได้ดิบได้ดี
ทั้งทางโลกและทางธรรม ทำทุกอย่าง ด้วยความตั้งใจที่จะละลายความรู้สึกเค็มในใจนี่แหละ
นี่คือพอ
ที่จะสำรวจได้จริงๆ เนื่องจากว่า เคสนี้ เจ้าของคำถาม ทำสมาธิ
แล้วเกิดความรู้สึกผิดไปต่อไม่ได้ ก็ดูจากตรงนั้นแหละ
พอทำสมาธิแล้วเกิดความรู้สึกสบายใจ โล่งใจ หายเค็ม กลายเป็นรสจืด
หรือกระทั่งกลายเป็นรสหวานชื่นขึ้นมาแทนหรือเปล่า
ถ้าหากว่าสบายใจแล้ว
เห็นท่านมีความสุขเหลือเกินจากฝีมือของเรา ผ่านเดือนผ่านปีมา
แล้วท่านก็ให้อภัยแล้ว ไม่มีภาพติดค้างอยู่ในใจ หรือภาพเกิดขึ้นมาใหม่
ไม่ให้ความรู้สึกที่แสบสันต์เท่าเก่า ไม่เกิดความรู้สึกผิดเหมือนเดิม
แต่กลายเป็นความรู้สึกหวานชื่น กลายเป็นความรู้สึกว่า รื่นรมย์ อย่างนั้นแหละ
พ้นแล้ว เพราะว่าความดีจะเหมือนน้ำโอ่ง หรือน้ำแทงก์ หรือน้ำ(ปริมาณเท่า)ทะเล
ที่ทำให้เกลือไม่คงความเค็มเท่าเดิมอีกต่อไป
อันนี้
มิเตอร์เดียวในโลกที่จะวัดได้ ก็คือจิตของคุณเอง ความรู้สึกของคุณเองนะ
เรื่องของความรู้สึกนี่ ไม่ใช่แค่สัญชาติญาณ ไม่ใช่แค่คิดไปเอง
แต่เป็นมิเตอร์ชนิดหนึ่ง
คือจิตของมนุษย์นี่
หลอกตัวเองไม่ได้ แล้วความรู้สึกนี่ ที่ประมวลขึ้นมา จะซับซ้อนมากนะ
ไม่ใช่ว่าจะแกล้งให้หายรู้สึกผิดโดยไม่ทำอะไรเลย มาสะกดจิตตัวเองให้เลิกรู้สึกผิด
ทำกันไม่ได้หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับพ่อแม่ ต่อให้เก่งขนาดไหน
เป็นนักสะกดจิตระดับโลกอย่างไรก็ตาม เรื่องพวกนี้อย่างมากที่สุดก็คล้ายๆ กดทับไว้
แต่ในที่สุด ความรู้สึกผิด หรือปมชั่วที่ยังเป็นหนามแหลม ทิ่มตำก้นบึ้งของความรู้สึกอยู่
อย่างไรวันหนึ่งก็ต้องโผล่ขึ้นมา
แต่ถ้าเราทำดีกับท่านแล้ว
แล้วท่านให้อภัยแล้ว ปมตรงนี้ หายแล้วหายเลย คือถึงแม้ย้อนกลับมาอีก
ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกแบบเดิมๆ ไม่ได้ จะเหลือแต่ความรู้สึกว่า
เราได้เจือจางบาปนี้ลงไปแล้วนะ ส่วนที่จะต้องได้รับผลอย่างไร
มีวิบากในอนาคตอย่างไร ไม่ต้องไปสนใจ สนใจแค่ตรงนี้ที่เราทำจุดที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คือทำให้รสเค็มที่เจ็บแสบของความรู้สึกผิด หายไปด้วยความดีก็พอนะครับ
_________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน เคยทุบตีพ่อแม่ ห้ามมรรคผลหรือไม่?
วันที่
13 กุมภาพันธ์ 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=GmJbf-nmXcE
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น