วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

พ่อแม่รักษาศีลได้เฉพาะข้อ ๓ ตัวเองอยู่ต่างประเทศ รู้สึกเป็นห่วงที่ไม่สามารถทำให้พ่อแม่มีสัมมาทิฏฐิได้ ขอคำแนะนำ

 ดังตฤณ : คืออันนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้จริงๆนะครับว่า ถ้าจะคิดตอบแทนพ่อแม่ให้สมน้ำสมเนื้อกับที่ท่านทำให้เราได้เลือดได้เนื้อมานะครับ

วิธีที่จะเป็นแบบที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามันสมน้ำสมเนื้อได้จริงๆก็คือ เปลี่ยนพ่อแม่ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิให้กลายเป็นสัมมาทิฏฐิ คือให้พวกท่านมีที่พึ่งที่แท้จริงเป็นศรัทธาที่ตั้งมั่นอย่างเช่น ศรัทธาในพระพุทธเจ้า หรือศรัทธาในกรรม หรือศรัทธาในพระศาสนา อันจะเป็นสัญญาณนำร่องให้ท่านได้ไปเกิดใต้ร่มศาสนาที่มีเหตุผลที่สอนให้คิดดีทำดีอีกครั้งนึงนะครับ อย่างนี้เรียกว่าทำให้ท่านมีศรัทธาตั้งมั่น ตอบแทนท่านด้วยการทำให้ท่านมีศรัทธาตั้งมั่น

หรือถ้าจะดีกว่านั้นก็คือ ทำให้ท่านมีความตั้งมั่นในทาน คือมีจิตคิดเป็นเหมือนกับสละออกและทำลายความตระหนี่ ด้วยการที่เป็นคนคิดให้ ไม่ใช่คิดเอา เป็นคนคิดดี ไม่ใช่คนคิดร้าย

ตามโจทย์ของคำถามก็คือว่า ท่านน่าจะยังผิดศีลอทินนาอยู่ คือข้ออื่นผิดหมดเลย ยกเว้นข้อ ๓ ก็ถ้าทำให้ท่านหันมาถือศีลข้อ ๒ ได้ ก็จะเรียกว่าเป็นการตอบแทนท่านนะครับ แต่ถ้าหากว่ายังทำไม่ได้ก็ถือว่า .. เอาตามพระพุทธเจ้านะครับ ก็ถือว่ายังไม่ได้ตอบแทนท่านเต็มที่ แต่อาจจะตอบแทนวิธีอื่นได้นะครับ เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ตอบแทนเต็มที่

เรื่องของทาน เรื่องของศีล พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นที่พึ่งที่แท้จริง ยิ่งถ้าหากใครพาพ่อแม่มาปฏิบัติธรรมได้ ทำให้เข้าใจวิธีการทำสมาธิที่ถูกต้อง และก็วิธีเห็นกายใจเป็นรูปนามได้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน คือไม่ใช่คิดๆเอาเองว่ากายนี้ใจนี้เป็นรูปเป็นนามแล้วถือว่าจบแล้ว ไม่ใช่นะครับ คือในความหมายที่ว่า ถ้าใครพาพ่อแม่มาเข้าใจวิธีปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นกายใจโดยความเป็นรูปนามได้ อันนั้นคือสุดยอด สุดยอดของการตอบแทนที่สุด อันเป็นที่สุดในสังสารวัฏนะครับ

พระพุทธเจ้าท่านก็ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง โปรดพระบิดาให้เป็นอริยเจ้าได้ แล้วพระมารดาตามตำนานที่อาจจะไม่ได้บอกไว้ในพระไตรปิฎกฉบับดั้งเดิม ก็คือท่านไปโปรดพระมารดาบนสวรรค์ได้ แต่พระมารดาก็ไปเป็นเทวบุตรอยู่บนชั้นดุสิต อันนี้คือตัวอย่างของการตอบแทนในแบบที่พระพุทธเจ้าท่านก็ทำให้เห็นนะครับว่า ถ้าจะให้สมน้ำสมเนื้อกับที่พ่อแม่ให้เลือดเนื้อเรามาต้องอย่างนี้

ทีนี้เรามาพูดกันในทางปฏิบัติ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามของเราฝ่ายเดียว มันขึ้นอยู่กับความเต็มใจของพ่อแม่ที่จะให้เราเปลี่ยน หรือไม่ให้เราเปลี่ยนด้วยนะครับ

มันมีข้อนึง พ่อแม่ที่ให้เราเกิดมา ดูแล้วเหมือนกับว่าน่าจะเหนือกว่าเรา เพราะเป็นผู้ให้กำเนิด แต่ข้อเท็จจริงคือ ลูกอาจจะเป็นอภิชาตบุตร

อภิชาตบุตรก็คือ มีเส้นทางที่ฉีกออกไป แตกต่างจากพ่อแม่ได้ดีกว่าพ่อแม่ สูงกว่าพ่อแม่ แบบพ่อแม่ตามไม่ทันก็ได้

ซึ่งถ้าหากว่าลูกได้ดีเฉพาะตัว แล้วไม่มีอุบายหรือว่าไม่มีปฏิภาณภายในที่จะทำให้พ่อแม่เปลี่ยนใจ มันก็ไม่ใช่ความผิดนะ มันไม่ได้ถือว่าเราเป็นคนอกตัญญู หรือว่าไม่ได้เป็นคนดีไม่พออะไรแบบนั้น

เพราะมนุษย์คนนึงเนี่ย ความเชื่อ ปัจจัยที่จะใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองชอบ มันเหมือนกับกำแพง ถ้ากำแพงมันสูงเหลือเกิน สูงเกินไป เราปีนเท่าไหร่เท่าไหร่มันก็ปีนข้ามไม่ได้ หรือว่าเราพยายามเจาะเท่าไหร่เท่าไหร่มันก็หนาเกิน

ยกตัวอย่างๆเช่น พระสารีบุตร กว่าที่ท่านเห็นว่าถึงเวลาสมควรแก่เวลาที่จะตอบแทนคุณแม่ของท่าน โยมแม่ของท่าน โยมแม่ก็เกือบจะเรียกว่าอยู่ในช่วงท้ายวัยแล้ว

พระสารีบุตรตอนท่านชราแล้วนะ ตอนท่านอายุมากแล้วเนี่ย ท่านถึงมาพิจารณาว่า ท่านโปรดให้เวไนยสัตว์ คือผู้คนในเมืองทั้งหลายที่ท่านได้พบเจอ ได้บรรลุมรรคผลกันเยอะแยะเลย ได้เป็นพระโสดาบัน ได้เป็นพระสกทาคามี สอนลูกศิษย์ลูกหาของท่าน โปรดจนได้เป็นพระอรหันต์ก็มาก

แต่ว่ามารดาของท่านเอง แม่ของท่านเองยังเป็นพราหมณ์อยู่เลย คือยังเป็นคนนอกศาสนาอยู่ ยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เป็นเหมือนกับอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แล้วก็ท่านก็ไม่ได้กลับไปหา ท่านก็คิดขึ้นมาว่าอยากจะไปช่วยมารดา แล้วก็เห็นว่าถึงเวลาที่น่าช่วยได้

คือมันมีจังหวะ พระอรหันต์ระดับนี้เนี่ย ท่านจะมีสัญชาตญาณอะไรของท่านว่า เออเนี่ยจังหวะนี้รู้ได้ สามารถที่จะเข้าใจได้ ธรรมะไม่ยากแล้ว เพราะจิตใจของมนุษย์เนี่ยมันมีหนามีบาง มีหนักมีเบา มีทึบมีใส แบบที่คนที่ถึงธรรมแล้วจะเข้าใจว่า อันนี้เป็นจังหวะที่ใช่แล้วหรือยัง

แล้วพระสารีบุตรท่านสามารถส่องดูได้ว่า เออ ตอนนี้แม่ของท่านมารดาของท่านอยู่ในภาวะที่พอจะฟังได้มั้ย พอคนเราแก่ๆแล้วเนี่ย ทิฏฐิมันบางทีถ้าไม่มากขึ้นจนสูงเทียมเมฆ ก็ลดลงจนสามารถที่จะผ่านได้ไม่ยากนักนะครับ

เสร็จแล้วพอท่านไปโปรด มารดาท่านก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน อันนี้ก็ตัวอย่างว่าบางทีมันอยู่ที่จังหวะเวลาด้วย แล้วขนาดที่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วเป็นพระอรหันต์มือขวาของพระพุทธเจ้านะ ท่านก็ยังไม่สามารถช่วยมารดาของท่านได้ทันที ต้องมีอะไรที่ยิ่งใหญ่แบบพระพุทธเจ้าถึงจะไปโปรดพระบิดาแล้วสามารถเขี่ยผงในตาให้พระบิดาได้บรรลุเป็นพระโสดาบันได้ .. แต่ผมจำไม่ได้นะว่าในทันทีหรือเปล่า แต่ว่าที่ชัดก็คือว่า สามารถจะเขี่ยผงในตา เขี่ยธุลีในดวงตาของพระบิดาได้นะครับ

ทีนี้เราๆท่านๆเนี่ย ไม่ได้มีบารมีมากขนาดพระพุทธเจ้าหรือพระสารีบุตรนะครับ เราก็ทำเท่าที่จะทำได้ โดยสังเกตว่า พ่อแม่เนี่ยมีจุดอ่อนตรงไหน จุดอ่อนในแบบที่ว่า ความหมายก็คือว่า ที่จะเป็นการตั้งการ์ดมาต่อต้านธรรมะ หรือว่าจะไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนดี เห็นการเป็นคนดีเนี่ยคือความเป็นคนโง่อะไรแบบนั้นน่ะ ถ้าเรามีช่องที่รู้อย่างเช่นว่า พ่อแม่มีความทุกข์เรื่องไหน เราเอามาขยี้แล้วต่อยอดให้ท่านเห็นว่า ความทุกข์ที่มันเป็นปมในใจของท่านเนี่ย ไปๆมาๆมันก็สืบได้ว่า มีความเกี่ยวพันกัน กับการผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งอย่างนี้นะครับ

แล้วต้องมีจังหวะวิธีพูดในเวลาที่เราสามารถทราบได้ว่า พ่อ แม่ จะไม่มองเราเป็นลูก เพราะถ้ายังรู้สึกว่าเราเป็นลูกอยู่เนี่ย ถ้าคุณมีลูกคุณคงจะเข้าใจนะครับ ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยเนี่ยอุ้มมาเนี่ยนะครับ แล้ววันนึงจะมาสั่งสอนเราเนี่ย คือมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ

คือทำยังไงที่อยู่ในจังหวะเวลาที่พ่อแม่จะไม่รู้สึกว่าเราสอน พ่อแม่จะรู้สึกว่าเราไม่ได้ไปพยายามบีบบังคับให้ท่านมาเห็นถูกเห็นชอบ เลิกเห็นกงจักรเป็นดอกบัวอะไรแบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนะ ถ้าไปพูดประมาณว่า เนี่ยทำบาปอยู่เป็นคนบาปให้พ่อแม่รู้สึกว่า เราเป็นคนมีบุญแล้ว แล้วพ่อแม่ยังเป็นคนบาปอยู่เนี่ย แบบนั้นไม่ได้นะครับ

แต่ทำยังไงที่จะใช้ในเชิงจิตวิทยาว่า ที่พ่อแม่ยังมีความคิดมาก ยังมีความทุกข์ตรงนั้นตรงนี้อยู่อึดอัดตรงนั้นตรงนี้อยู่ เพราะว่ามันไม่สบายใจกับการผิดศีล ไม่ใช้คำว่าผิดศีลก็ได้ กับการที่ทำอะไรผิดๆอะไรแบบนี้นะครับ คืออย่าโยงให้มาเรื่องของสูงของต่ำ อย่าทำให้ท่านรู้สึกว่าเรากำลังบอกว่าเขาเป็นคนสกปรกจิตสกปรกนะครับ

ทำให้เขารู้สึกว่า เขามีความทุกข์เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป แต่ว่าด้วยการที่มีสิทธิ์เลือก ยังมีสิทธิ์เลือกที่จะละต้นเหตุของความทุกข์แบบนั้นๆมั้ย อันนี้มันฟังกันได้ แล้วก็ถ้าเราใช้น้ำเสียง ถ้าเราใช้สีหน้าอะไรแบบที่ เออ รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นกัลยาณมิตรที่มาเผื่อแผ่ประโยชน์

แล้วก็เรารู้หลักของจิตวิทยาที่จะทำให้จิตใจเป็นสุข ใจเราเย็นแล้วจริง แล้วก็คำพูดของเราดีแล้วจริง เราเป็นคนที่คิดอะไรดีๆแล้วมีความสุขมากว่าเขาได้แล้วจริงๆเนี่ย อย่างนี้มันถึงจะเกิดช่องที่จะช่วยให้เขาเกิดความรู้สึกว่า เออ ลูกพูดก็มีเหตุผล แล้วก็ไม่ใช่ว่าลูกมาสั่งสอนพ่อแม่นะครับ แต่ว่าลูกเนี่ยได้เอาวิธีคิดแบบผู้ใหญ่ ที่ผู้ใหญ่ด้วยกันเอามาคุยกันแล้วทำให้เกิดฉุกใจ แล้วเกิดความคิดที่ดีตามขึ้นมาอะไรแบบนี้นะครับ อันนี้แหละคือจังหวะที่เราจะต้องสังเกตเอาเองว่ามันอยู่ตอนไหนของชีวิตท่าน มันอยู่จังหวะไหนที่เรากำลังเข้มแข็งที่สุด

และจังหวะที่ดีที่สุดนะมันจะเป็นจังหวะที่เราเป็นฝ่ายให้ อย่างเช่นเรามีอะไรมากกว่าท่าน เอาของขวัญให้ หรือว่าไปเลี้ยงให้ท่านเอร็ดอร่อย หรือว่าพาท่านไปเที่ยวไหนที่มันดีๆ หรือว่าพาท่านไปชมวัดสวยๆ ถ้ามีโอกาสพาไปสังเวชนียสถานได้อะไรแบบนี้ แล้วท่านเกิดความปลื้มขึ้นมา แล้วพูดในจังหวะที่เรากำลังเป็นฝ่ายให้เนี่ยนะครับ มันจะมีภาษีมากกว่าที่อยู่ๆไปขอเอาดื้อๆว่าอย่าทำอีกเลยบาปกรรมเนี่ย กรรมเวรมีจริงเดี๋ยวจะต้องไปตกนรก อย่างนี้พูดแล้วจะชวนให้เกิดโทสะมากกว่าอย่างอื่นนะครับ

---------------------------------------------------

๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เคยทุบตีพ่อแม่ ห้ามมรรคผลหรือไม่?

คำถาม : พ่อแม่รักษาศีลได้สม่ำเสมอและหมดจดได้เพียงข้อ ๓ เข้าใจว่าอนัตตาภายในควบคุมไม่ได้ นับอะไรกับอนัตตาภายนอก แต่รู้สึกห่วงและติดอยู่ในใจเป็นสิบปีว่า เป็นลูกที่ไม่สามารถทำให้พ่อแม่มีสัมมาทิฏฐิได้ ตัวเองอยู่ต่างประเทศ ขอคำแนะนำค่ะ

ระยะเวลาคลิป    ๑๔.๐๙  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=OnzXMIngBNM&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=4

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น